บทที่ 1096 รักษาจินเหยียว

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“ข้าโม่วู๋เตา..คาราวะท่านลุงหลิง!”
  โม่วู๋เตาเห็นหลิงหยุนลุกขึ้นทำการคาราวะหลิงเสี่ยวเขาก็ลุกขึ้นทำตามเช่นกัน..
  หลิงเสี่ยวรีบตรงเข้าไปพยุงโม่วู๋เตาให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดออกไปด้วยความเกรงใจ..
  “ท่านนักพรตโม่..อย่าได้ทำเช่นนี้! เป็นเพราะช่วยหาที่ซ่อนของข้า ท่านจึงต้องได้รับบาดเจ็บจากการแอบดูความลับสวรรค์! ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อหลิงเสี่ยว ข้าควรต้องตอบแทนท่านต่างหากเล่า!”
  หลิงเสี่ยวใช้สรรพนามแทนชื่อโม่วู๋เตาว่า‘ท่าน’ แม้จะได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโม่วู๋เตากับหลิงหยุนว่ามีความสนิทสนมกันเพียงใด แต่นี่เป็นบุญคุณระหว่างเขากับโม่วู๋เตา..
  แม้ว่าหลิงเสี่ยวจะอาวุโสกว่าโม่วู๋เตามากแต่โม่วู๋เตาก็คือผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาไว้ เขาจึงควรปฏิบัติต่อโม่วู๋เตาเช่นนั้น!   และนี่คืออุปนิสัยและบุคลิกของคนตระกูลหลิง!
  “ท่านลุงหลิง..ข้ากับหลิงหยุนสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง จึงเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องช่วยท่าน ขอท่านลุงหลิงอย่าได้ถือเป็นบุญคุณอีกเลย..”
  “น่าเสียดายที่ข้าวรยุทธต่ำต้อยเกียจคร้านที่จะฝึกฝน จึงไม่สามารถตามไปช่วยสู้กับศัตรูของท่านด้วย..”
  ทันทีที่หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของโม่วู๋เตาที่ฟังดูประจบประแจงผิดปกติหลิงหยุนก็รีบดึงโม่วู๋เข้ามาหาพร้อมกับกระซิบเสียงเบา
  “นี่เจ้าประจบประแจงเกินไปหรือไม่หรือเจ้าไม่อยากจะมีลมหายใจอีกแล้ว..”
  โม่วู๋เตาที่ถูกหลิงหยุนกระชากร่างไปอย่างรุนแรงนั้นก็รีบกระซิบเสียงเบาว่า “ข้ายังพูดไม่จบเลย..”
  หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“เวลานี้ไม่มีใครว่างฟังเจ้าพล่ามหรอกน่า..”
  เมื่อหลิงเสี่ยวเห็นท่าทางของทั้งคู่ก็ถึงกับอึ้งไปทันที.. ในขณะที่ฉินตงเฉี่วยซึ่งคุ้นเคยกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของทั้งคู่ก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
  หลิงลี่เเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่กระแอมเบาๆและเมื่อทุกคนหันมามอง เขาก็หันไปพูดกับฉินตงเฉี่วย “แม่นางฉิน.. ไม่ทราบว่าเจ้าพักอยู่ในปักกิ่งหรือไม่ แล้วพักอยู่ที่ใด?”
  ฉินตงเฉี่วยยิ้มและตอบไปว่า“ข้าพักอยู่ที่บ้านของตระกูลฉินในปักกิ่ง!”
  “อ่อ..ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็คงไม่ต้องจัดเตรียมที่พักให้กับเจ้าสินะ!”
  จากนั้นหลิงลี่ก็หันไปถามหลิงหยุน“หลิงหยุน.. แล้วเจ้าล่ะ คิดอ่านจะทำอะไรต่อไป?”
  หลิงหยุนตอบโดยแทบไม่ต้องคิด“ท่านปู่.. ข้าต้องรักษาท่านป้าจินเหยียวก่อน!”
  หลิงลี่พยักหน้าเห็นด้วย“ถ้าเช่นนั้นสองสามวันนี้เจ้าก็พักอยู่ที่นี่ จะได้ทำการรักษาแม่นางจินเหยียวให้หาย อีกทั้งเจ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับตระกูลหลิงด้วย!”   “ทุกวันสารทจีนของทุกปี..ตระกูลหลิงของเราจะทำการกราบไหว้บรรพบุรุษ สมาชิกตระกูลหลิงทุกคนก็จะต้องมาสักการะด้วย และในวันนั้นข้าจะประกาศชื่อของเจ้าต่อหน้าบรรพบุรุษและทุกคนในตระกูลหลิง!”
  หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านปู่จะจัดการ!”
  จากนั้นหลิงลี่ก็หันไปสั่งเหล่ากุ่ยให้จัดเตรียมห้องหับให้กับหลิงหยุนและเหล่ากุ่ยก็รีบออกไปจัดการตามคำสั่งทันที
  “เอาล่ะ..นี่ก็เช้าแล้ว ทุกคนไม่ได้หลับได้นอนกันมาทั้งคืน ทุกคนกลับไปนอนพักผ่อนก่อน มีอะไรค่อยพูดคุยกันวันหลัง!”
  ฉินตงเฉี่วยกับโม่วู๋เตาเองก็รีบร่ำลาและต่างก็แยกย้ายกันไปทันที หลังจากทุกคนกลับไปแล้ว ภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่หลิงหยุน หลิงลี่ และหลิงเสี่ยว..
  เมื่อไม่มีคนนอกอยู่แล้วชายชราจึงได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยลูกชายออกมา เขายกมือสองข้างขึ้นจับไหล่หลิงเสี่ยวพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด
  “ลูกสาม..เจ้าคงทุกข์ทรมานมากเลยสินะ”
  “ท่านพ่อ..ลูกทนได้!” หลิงเสี่ยวยืดแผ่นหลังตรง และขบฟันแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
  หลิงลี่จ้องมองหลิงเสี่ยวพร้อมกับพูดต่อว่า“แต่นับว่าโชคดีที่เรื่องร้ายๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว!”
  จากนั้นหลิงลี่ก็หันไปเรียกหลิงหยุนให้เข้ามาใกล้แล้วจึงหันไปพูดกับหลิงเสี่ยว “ลูกสาม.. เจ้าดูให้ชัดๆสิ! เขาคือลูกชายของเจ้ากับชิงเฉวียน เจ้า.. เจ้าให้กำเนิดหลานชายที่เก่งกาจกับข้า!”
  “ช่างเป็นการรอคอยที่คุ้มค่านัก!”หลิงลี่พูดออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก
  แม้แต่หลิงเสี่ยวเองก็ยืนร่างกายสั่นเทิ้มและพยายามกัดฟันแน่นเพื่อข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
  “ท่านปู่..”   หลิงหยุนเองก็ถึงกับร้องเรียกหลิงลี่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเขาสัมผัสได้ถึงสายโลหิตที่อยู่ในตัว และดวงตาก็เริ่มเปียกชื้น..
  ผ่านไปครู่ใหญ่..หลิงลี่ก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา และพูดกับหลิงหยุนว่า
  “หลิงหยุน..อย่าได้ตำหนิพ่อ หรือแม้แต่แม่ของเจ้าที่ต้องส่งเจ้าออกจากพรรคมารเลย!”
  “พ่อของเจ้านั้นนับว่าเป็นผู้ที่เจ็บปวดที่สุดในโลกคนหนึ่งหนำซ้ำเขายังเฝ้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา เจ้าดูผมของเขาสิ! อายุเพียงแค่สี่สิบปี แต่กลับมีผมขาวไปครึ่งศรีษะแล้ว..”
  “ท่านพ่อ!”
  หลิงหยุนร้องเรียกพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าหลิงเสี่ยวอีกครั้งหลิงเสี่ยวโน้มตัวลงพร้อมกับดึงร่างของหลิงหยุนให้ลุกขึ้นจากพื้น
  “ท่านปู่..ท่านพ่อ.. ข้าสาบานว่าจะจัดการกับศัตรูที่มันทำร้ายทุกคน เพื่อล้างแค้นให้กับทุกคนในตระกูลหลิง และท่านแม่ของข้า!”
  หลิงลี่ร้องบอกอย่างยินดี“ดีมาก! แต่ศัตรูของตระกูลหลิงมีมากมาย และล้วนแล้วแต่แข็งแกร่ง พวกเราจำเป็นต้องวางแผนให้ดีและรอบคอบ!”
  จากนั้นหลิงลี่ก็บอกกับหลิงหยุนต่อว่า“เอาล่ะ.. เจ้าจะไปรักษาจินเหยียวก็ไปเถิด ส่วนข้ายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับพ่อของเจ้าต่อ!”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพร้อมกับขอตัวจากนั้นจึงเดินออกจากบ้านของหลิงลี่ และตรงไปหาจินเหยียวทันที แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น.. หลิงหยุนจึงได้เปิดจิตหยั่งรู้ออก เพื่อแอบฟังหลิงลี่กับหลิงเสี่ยวคุยกัน..
  “ลูกสาม..เวลานี้หลิงหยุนก็กลับเข้าตระกูลหลิงแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับยั่วหลานและหลิงซวี่!”
  หลิงเสี่ยวมีท่าทางอึดอัดและสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก จนหลิงลี่ต้องถามขึ้นว่า.. “นี่เจ้ายังต้องคิดอีกอย่างนั้นรึ”
  หลิงเสี่ยวขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับกระซิบเสียงเบา“ท่านพ่อ.. ข้าเองก็ยังไม่ได้คิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเช่นกัน คงต้องไปคิดดูก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป..”
  หลิงลี่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ“ลูกสาม.. เจ้าก็เป็นซะอย่างนี้! เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องรักๆใคร่ๆ เจ้าก็จะมีท่าทีลังเลไม่เด็ดขาด.. จนป่านนี้เจ้ายังไม่คิดแก้ปัญหาอีกงั้นรึ”
  “เมื่อครั้งชิงเฉวียนก็เช่นกัน!ไม่ใช่เพราะเจ้ามัวแต่ลังเลจนกระทั่งนางตั้งท้องหรอกรึ ตระกูลหลิงถึงได้ย่อยยับมาถึงทุกวันนี้?”
  “ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษที่ใกล้ถึงนี้หลิงซวี่ก็ต้องกลับมา และเมื่อนางกับหลิงหยุนพบหน้ากันเล่า”
  “เจ้าเป็นพ่อแท้ๆของนางย่อมรู้นิสัยใจคอของนางดีกว่าใครๆไม่ใช่รึ”
  และเมื่อฟังมาถึงตอนนี้..หลิงหยุนก็ได้เดินมาถึงห้องของจินเหยียวแล้ว จึงได้ถอนจิตหยั่งรู้กลับมา และได้แต่คิดในใจว่าคนตระกูลหลิงที่เขาได้พบก่อนใครๆนั้นก็คือหลิงซวี่ และเรื่องที่จะรับมือหลิงซวี่นั้น หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกังวลเลยแม้แต่น้อย..   จินเหยียวได้ยืนรอหลิงหยุนอยู่ที่หน้าประตูแล้วเวลานี้นางยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมตั้งแต่เมื่อคืน และยังคงสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้ายืนนิ่งเงียบราวกับภูติผีวิญญาณ
  แต่ทันทีที่ได้เห็นหลิงหยุนแววตาของนางก็แสดงความรักใคร่อบอุ่นออกมาอย่างเต็มเปี่ยม..
  “นายน้อย..เชิญเข้ามาข้างในก่อน!”
  หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านป้าจินเหยียว.. ท่านเรียกข้าว่าหลิงหยุนจะได้หรือไม่ ข้ารู้สึกอึดอัดหากท่านยังเรียกนายน้อยเช่นนี้อยู่!”
  “แต่ท่าน..ท่านเป็น..”
  “หยุด..หยุด..”
  หลิงหยุนร้องขัดขึ้นทันทีพร้อมกับหันไปยิ้มให้จินเหยียวและพูดกับนางว่า “ท่านป้าจินเหยียว.. ท่านเรียกข้าว่านายน้อยเช่นนี้ ท่านก็ต้องฟังคำสั่งของข้างั้นสิ”
  จินเหยียวพยักหน้าอย่างงุนงงแต่ยังไม่ทันไรหลิงหยุนก็พูดต่อว่า “ดี! ถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปข้าขอสั่งให้ท่านเรียกชื่อข้า – หลิงหยุน และห้ามเรียกว่านายน้อยอีก เข้าใจหรือไม่”
  หลิงหยุนรวบรัดเอากับจินเหยียวที่ยังคงไม่ฟื้นคืนสติเต็มที่และตอบกลับไปอย่างงุนงง “เข้าใจ.. หลิงหยุน..”
  หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาเสียงดัง“นั่นล่ะ.. เรียกข้าว่าหลิงหยุนถูกต้องแล้ว!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็จูงมือจินเหยียวไปนั่งบนโซฟาและสำรวจดวงดวงตาของนาง หลิงหยุนพบว่านัยน์ตาของนางนั้นไม่สามารถจดจ่ออยู่ที่หลิงหยุนได้นานนัก นางจ้องหน้าหลิงหยุนได้เพียงประเดี๋ยวเดียวก็เหม่อลอยไปทางอื่น
  หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจ..จินเหยียวฟื้นคืนสติเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไปนางก็กำลังจะกลับไปเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง
  “ท่านป้าจินเหยียว..วันนี้พวกเราจะยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น นอกจากให้ข้ารักษาท่าน!”
  “ข้าจะเชื่อฟังเจ้า..”จินเหยียวพยักหน้าและตอบกลับไป  “ถ้าเช่นนั้นท่านก็กำหินก้อนนี้ไว้”
  หลิงหยุนนำศิลากลั่นวิญญาณไปวางไว้ในฝ่ามือของจินเหยียวและสั่งให้นางกำไว้ให้แน่นๆ และทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับศิลากลั่นวิญญาณ นางก็เริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง..
  หลิงหยุนไม่รีรอที่จะเรียกยันต์ชำระใจระดับหกออกมาปิดไว้บนแผ่นหลังของจินเหยียวและสั่งให้ยันต์ออกฤทธิ์ทันที
  ครั้งนี้ศิลากลั่นวิญญาณและยันต์ชำระใจระดับหกนับว่าทำการรักษาได้ดีกว่าครั้งแรก แต่หลิงหยุนรู้ดีว่านี่คือการรักษาให้หายได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจเข้าไปภายในร่างกายของจินเหยียวเพื่อตรวจดูสภาพร่างกายภายในของนาง..
  ก่อนอื่น..หลิงหยุนจะต้องรักษาสมอง และระบบประสาทของจินเหยียวเสียก่อน เพื่อให้อาการเสียสตินี้หายเด็ดขาด และไม่กลับมาเป็นอีก  จากนั้น..หลิงหยุนจึงจะรักษาเส้นลมปราณที่เสียหาย ซึ่งเกิดจากการระเบิดปราณปีศาจ ทำให้ลมปราณภายในร่างกายตีกลับ จนทำให้สูญเสียความทรงจำ และค่อยๆกลายเป็นบ้า!
  หลังจากรักษาอาการเสียสติได้แล้วหลิงหยุนจึงจะทำการรักษาเส้นลมปราณ จากนั้นจะใช้ยันต์บำบัดรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก และแผลเป็นที่ถูกซือกงถูทำร้าย..
  และการรักษาจินเหยียวในครั้งนี้จะเป็นการทดสอบความสามารถของหลิงหยุนในฐานะหมออมตะอีกครั้ง!
  “ท่านป้าจินเหยียว..เวลานี้รู้สึกเช่นใดบ้าง”
  จินเหยียวตาโตด้วยความประหลาดใจ“ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก! ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมาก และรู้สึกว่าจิตใจเริ่มผ่อนคลาย ไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนก่อน!” novel-lucky
  เพียงแค่ได้ฟังคำอธิบายของจินเหยียวหลิงหยุนก็รู้ว่าอาการของนางในวันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนนี้มาก..   สิ่งที่หลิงหยุนกังวลระหว่างการรักษาจินเหยียวก็คือ..การที่นางยังคงเสียสติ งุนงง และไม่สามารถอธิบาย และสื่อสารอาการให้เขารู้ได้..
  “ท่านป้าจินเหยียว..แต่นี่เป็นผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น ข้ายังต้องทำการรักษาต้นเหตุให้หายก่อน ท่านจึงจะหายดี!”
  ความทรงจำของจินเหยียวฟื้นคืนมามากแล้วนางรู้ว่าหลิงหยุนก็คือลูกชายของหยิงชิงเฉวียนที่นางจะต้องคอยปกป้องคุ้มครอง ดังนั้นไม่ว่าหลิงหยุนจะพูดอะไร นางก็พยักหน้าแต่โดยดี..
  จากนั้น..หลิงหยุนก็ยื่นมือออกไปสัมผัสที่ศรีษะด้านบนของจินเหยียว และค่อยๆกดลงอย่างนุ่มนวล เพื่อใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจหาสาเหตุที่แท้จริงภายในสมองของจินเหยียว
  ด้วยจิตหยั่งรู้อันทรงพลังของหลิงหยุนเวลานี้ทำให้เขาสามารถสแกนคลื่นสมองของจินเหยียวได้อย่างง่ายดาย
  ภายในสมองของมนุษย์นั้นมีคลื่นชนิดหนึ่งอยู่และทันทีที่หลิงหยุนปล่อยกระแสไฟจากร่างของตนเองลงไปในสมองของจินเหยียว ร่างเล็กๆของนางก็ถึงกับสั่นเทิ้มด้วยความตกใจ
  และเพียงแค่สองสามวินาที..ภาพสมองของจินเหยียวก็ปรากฏขึ้นในจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนทันที และเขาก็พบต้นตอของปัญหา
  แต่การพบต้นตอของปัญหาก็ยังไม่ใช่การรักษาและครั้งนี้หลิงหยุนก็ไม่ใช้เก้าเข็มปลุกชีพทำการรักษาจินเหยียว
  หลิงหยุนยังคงกดฝ่ามือลงบนศรีษะด้านบนของจินเหยียวอยู่เช่นนั้นจากนั้นก็ใช้พลังจิตของตนเองกลั่นหยดเสินหยวนขึ้นมาหนึ่งหยด!
  ในระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่นั้น..หลิงหยุนจะสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้สามหยดต่อวัน และเขาก็ใช้มันในการรักษาจินเหยียว..
  ในการกลั่นหยดเสินหยวนแต่ละครั้งนั้นหลิงหยุนจะต้องใช้พลังของจิตหยั่งรู้มากกว่าปกติถึงสามเท่า และเวลานี้จิตหยั่งรู้ของเขาก็ครอบคลุมสมองของจินเหยียวอยู่ และกำลังถ่ายเทพลังปราณในร่างกายเข้าสู่จิตใจของจินเหยียว และซ่อมแซมเส้นประสาทในสมองที่เสียหาย!
  “ท่านป้าจินเหยียว..จงตื่น!”
  หลิงหยุนใช้มังกรคำรามร้องตะโกนบอกและเสียงนั้นก็ดังราวกับเสียงอสุนีบาตที่ดังก้องอยู่ในหูของจินเหยียว!
  “อ๊าก!”
  จู่ๆจินเหยียวก็กรีดร้องออกมา และความทรงจำเมื่อสิบแปดปีก่อนที่หายไป ก็เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นภาพที่นางกับซือกงถูกระโดดลงหน้าผาพร้อมกันเมื่อสิบแปดปีก่อน!
  จินเหยียวถึงกับนิ่งอึ้งไป!
  “หลิงหยุน!”
  จินเหยียวจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอยู่นานในที่สุดก็รำพึงรำพันออกมา
  “เด็กน้อย..นี่เจ้าเติบใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวรึ”
  หลิงหยุนยิ้มกว้างและได้แต่คิดว่า.. นี่สิจึงจะเป็นท่านป้าจินเหยียว อาการเสียสติของนางได้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว และความทรงจำของนางก็ได้ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด!
  หลิงหยุนค่อยๆถอนฝ่ามือออกจากศรีษะของจินเหยียว และคุกเข่าลงทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านป้าจินเหยียว..ข้าหลิงหยุน.. เวลานี้ข้าได้เติบใหญ่แล้ว!”
  ครั้งนั้น..จินเหยียวได้ช่วยชีวิตของเขาไว้ และครั้งนี้ถึงคราวที่เขาจะช่วยจินเหยียวเพื่อตอบแทนนางบ้าง!
  “เด็กดี..เจ้าลุกขึ้นเร็วเข้า!”
  เวลานี้จินเหยียวไม่มีอาการเหม่อลอยอีกไม่มีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ แต่เวลานี้ดวงตาของนางกลับสดใส..
  และครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้หลิงหยุนร้องเตือนนางเรียกชื่อหลิงหยุนแทนคำว่านายน้อย เพราะทั้งคู่นั้นแม้จะไม่ใช่แม่ลูกกันจริงๆ แต่ความผูกพันรักใคร่นั้นไม่ได้น้อยไปกว่าเลย..
  หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกว่า“ท่านป้าจินเหยียว.. ท่านอย่าด่วนเคลื่อนไหวขอให้ข้ารักษาเส้นลมปราณของท่านก่อน!’
  หลิงหยุนกลั่นหยดเสินหยวนขึ้นมานั้นไม่ใช่เพื่อต้องการใช้รักษาเส้นประสาทที่เสียหายของจินเหยียวเพียงเท่านั้น แม้เวลานี้อาการเสียสติของนางจะหายดีแล้ว แต่สิ่งสำคัญหลังจากนี้คือการรักษาเส้นลมปราณทั่วร่างกายของนางให้หายเป็นปกติ..
  ภายใต้จิตหยั่งรู้อันทรงพลังของหลิงหยุนเขาจึงได้เห็นสภาพเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายของจินเหยียวแล้ว และเวลานี้หลิงหยุนก็กำลังเดินวิชาพลังลับหยิน–หยางเพื่อรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายให้กับนาง..
  ไม่เพียงเส้นลมปราณที่เสียหายแต่ลมปราณทั่วร่างกายของนางยังหมุนกลับข้างอีกด้วย และเวลานี้หลิงหยุนก็กำลังทำให้ลมปราณในร่างกายของนางกลับมาหมุนเวียนได้อย่างเป็นปกติ..
  ขั้นตอนการรักษานี้นับเป็นขั้นตอนที่ทั้งยากและอันตรายยิ่งนักหากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย จินเหยียวก็อาจจะตายได้ในทันที!   แต่ถึงอย่างไรหลิงหยุนก็ยังมั่นใจ!เขาเริ่มต้นด้วยการถ่ายเทพลังชีวิตไปที่จุดตันเถียนของจินเหยียว จากนั้นจึงค่อยๆ ถ่ายเทกระแสวนหยิน–หยางไปยังจุดตันเถียน และเมื่อใดก็ตามที่กระแสวนหยิน–หยางในจุดตันเถียนของจินเหยียวเริ่มหมุน พลังปราณในร่างกายของนางก็จะเริ่มหมุนเวียนด้วยเช่นกัน!
  หลิงหยุนถึงกับเหงื่อออกเต็มหน้าผากในระหว่างที่กระแสวนหยิน–หยางเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกระแสวนหยิน–หยางนี้ดูดเอาพลังปราณตามเส้นลมปราณของจินเหยียวมาไว้ที่จุดตันเถียนจนหมด
  “ท่านป้าจินเหยียว..ต่อไปท่านจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่ขอให้ท่านอดทนไว้!”
  จินเหยียวรู้ว่าได้มาถึงนาทีสำคัญแล้วนางเพียงแค่พยักหน้า และไม่พูดอะไรให้เป็นการรบกวนการรักษาของหลิงหยุน..
  จากนั้น..หลิงหยุนจึงจัดการให้กระแสวนหยิน–หยางในจุดตันเถียนของตนเองหมุนกลับข้าง!   และได้ดูดเอากระแสวนหยิน–หยางภายในจุดตันเถียนของจินเหยียวหมุนกลับด้วยเช่นกัน!
  จินเหยียวกัดฟันแน่นแต่ไม่ปริปากร้องออกมาแม้แต่น้อย..
  การดึงกระแสลมปราณให้หมุนกลับเช่นนี้ไม่ต่างจากการลากเอาลูกธนูที่แหลมคมไปตามร่างกายด้วยความเร็ว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เจ็บปวดได้อย่างไรกัน
  และนี่คือสาเหตุที่หลิงหยุนต้องรักษาอาการทางสมองให้จินเหยียวเสียก่อนหาไม่แล้ว.. หากนางยังคงไม่มีสติ นางก็คงจะต้องกรีดร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด และจิตใต้สำนึกของนางก็จะต่อต้าน จนทำให้การรักษากลายเป็นอันตรายต่อตัวนางเอง!
  หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็เริ่มลดความเร็วของกระแสวนหยิน–หยางลง และค่อยๆ ใช้พลังปราณของตนเองนำพลังปราณในร่างกายของจินเหยียวให้กลับมาหมุนเวียนไปตามปกติ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังปราณของตนเองรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายให้กับจินเหยียวด้วย  และแน่นอนว่า..อาการเจ็บป่วยเรื้อรังนานถึงสิบแปดปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายในการรักษาเลย!
  หลิงหยุนไม่รีบร้อนและปล่อยให้พลังปราณในร่างกายของจินเหยียวหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จากสิบสองรอบใหญ่ เป็นสามสิบหกรอบใหญ่..
  จนกระทั่งมั่นใจว่าจุดตันเถียนเส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มต่างๆภายในร่างกายของจินเหยียวหายดีแล้ว หลิงหยุนจึงได้ถอนฝ่ามือออก..
  และในที่สุด..พลังปราณในขั้นครึ่งระดับของขั้นเซียงเทียน-9 ในร่างของจินเหยียวก็สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ และหยดเสินหยวนกลางหว่างคิ้วของเขาก็ได้ถูกใช้ไปจนหมด อีกทั้งพลังปราณในร่างกายก็หายไปกว่าเก้าสิบส่วน..
  แต่ทั้งหมดก็คุ้มค่ายิ่งนักสำหรับหลิงหยุน!
  และเวลานี้..อาการเสียสติ รวมถึงเส้นลมปราณ และลมปราณที่หมุนย้อนกลับ หลิงหยุนก็สามารถรักษาจนหายขาด!