เดิมทีหนานกงหว่านเอ๋อร์คิดจะใช้ประโยชน์จากการที่ซูจิ่นซีปลอมตัวอยู่ในแคว้นหนานหลี และยืมมือทุกคนกำจัดซูจิ่นซี กลับไม่คิดว่า ซูจิ่นซีจะเป็นคนเผ่าเม้ย
นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติ ตอนนี้สายเกินไปแล้ว ซูอวี้ได้รับตำแหน่งหมอวิเศษ อีกทั้งซูจิ่นซี เป่ยถางเย่ และตงหลิงหวงยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมอเทพ
มีสิทธิ์อันใด?
ซูอวี้มีสิทธิ์อันใดได้เป็นหมอวิเศษ ส่วนซูจิ่นซีเป็นหมอเทพ หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซี นางจะหมดสติจนไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงแข่งขันได้อย่างไร?
ทุกอย่างต้องโทษซูจิ่นซี!
หนานกงหว่านเอ๋อร์โยนเรื่องทั้งหมดไปให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซี ข้าเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า มีเจ้าต้องไม่มีข้า มีข้าต้องไม่มีเจ้า!
การกำจัดเจ้า ไม่เพียงสามารถบรรเทาความเกลียดชังในใจของข้าได้เท่านั้น ทว่ายังทำให้หนานกงลั่วอวิ๋น พี่สาวของข้าได้อภิเษกกับโยวอ๋องอย่างถูกต้อง และกลายเป็นพระชายาโยวอ๋อง
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ หนานกงหว่านเอ๋อร์ก็กัดฟันกรอด และพูดเสียงดังว่า “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าเป็นคนเผ่าเม้ย ทั้งยังมีพลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เหตุใดจึงปลอมตัวเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหนานหลี? เจ้ามีจุดประสงค์ใดกันแน่? สิ่งที่เจ้าทำทั้งหมด รวมถึงสถานะของคนเผ่าเม้ย โยวอ๋องทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่? ”
ผู้คนที่กำลังส่งเสียงโห่ร้อง ต่างพากันเงียบเสียงลงและหันไปมองซูจิ่นซี
โดยเฉพาะเหล่าคนจากแคว้นหนานหลี เมื่อพวกเขามองไปที่ซูจิ่นซี แววตาของพวกเขาพลันทอประกายแปลกประหลาด
กล่าวได้ว่า คำพูดของหนานกงหว่านเอ๋อร์ ทำให้ทุกคนเข้าใจซูจิ่นซีผิดเสียแล้ว
ตามตำนานเล่าว่า ผู้ที่ครอบครองอั้นหรานเซียวหุนจะเป็นผู้ครอบครองใต้หล้า ทว่ามีเพียงคนของเผ่าเม้ยเท่านั้นที่สามารถครอบครองอั้นหรานเซียวหุนได้ ตอนนี้โยวอ๋องได้ตัวคนของเผ่าเม้ยไป เท่ากับได้ครอบครองแผ่นดินใต้หล้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เป็นไปได้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้ว โยวอ๋องมีอั้นหรานเซียวหุนอยู่ในมือ?
หากอั้นหรานเซียวหุนอยู่ในมือโยวอ๋องจริง เช่นนั้น พระชายาโยวอ๋องเดินทางมาแคว้นหนานหลีครั้งนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงคืออันใด?
คำพูดแฝงนัยนั้น บางครั้งก็ใช้ได้ผลทีเดียว หนานกงหว่านเอ๋อร์พูดเพียงประโยคเดียว ทุกคนต่างก็คิดไปมากมาย
หนานกงหว่านเอ๋อร์เห็นการตอบสนองของพวกเขาแล้ว จึงยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ ชั่วพริบตาก็แสร้งทำท่าทางไร้เดียงสา “ทุกคนอย่าเข้าใจผิด หว่านเอ๋อร์เพียงถามพระชายาโยวอ๋องเท่านั้น หว่านเอ๋อร์หาได้มีเจตนาอื่นใด! ยังไม่ได้พูดเลยว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายในแคว้นหนานหลีวันนี้ เกิดขึ้นเพราะพระชายาโยวอ๋อง”
หากหนานกงหว่านเอ๋อร์ไม่พูด ทุกคนก็คงคิดไม่ถึงขั้นนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางพูดเช่นนี้ ทุกคนจึงคิดตามไปในทิศทางนั้นจริงๆ
พูดตามตรง ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของราชสำนักแคว้นหนานหลีในปัจจุบัน มีความเกี่ยวข้องกับพระชายาโยวอ๋องจริงๆ !
ก่อนหน้าที่พระชายาโยวอ๋องยังไม่ปรากฏตัว แคว้นหนานหลีมีการถ่วงดุลอำนาจจากมังกรทั้งสาม ซึ่งนับว่ามีความมั่นคงดีอยู่แล้ว
ทว่าตั้งแต่พระชายาโยวอ๋องปรากฏตัวอยู่ข้างกายฉีอ๋อง ความสัมพันธ์ระหว่างฉีอ๋องและมหาอุปราชก็ยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้น ทั้งความสัมพันธ์กับสกุลจงก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้นอีกด้วย
แม้ตอนนี้ เมื่อมองจากภายนอกยังดูสงบ ทว่าผู้คนที่อยู่ภายในกลับเข้าใจเป็นอย่างดีว่า มหาอุปราชต้องการกำจัดสกุลจง ทั้งยังคิดกำจัดฉีอ๋อง ฉีอ๋องเองก็คิดจะกำจัดสกุลจงและมหาอุปราชเช่นกัน
ตอนนี้ ความขัดแย้งของพวกเขาทั้งสามคนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ผู้ใดจะรู้ว่า หลังจากฉีอ๋องอภิเษกกับหลิงเซียวจวิ้นจู่แล้ว เขาจะร่วมมือกับสกุลจงเพื่อกำจัดมหาอุปราชหรือไม่
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ พวกเขาต่างรู้สึกว่าเรื่องของแคว้นหนานหลีช่างซับซ้อนและอันตรายยิ่งนัก
หนานกงหว่านเอ๋อร์ยั่วยุทุกคนได้สำเร็จ
แม้ผู้คนในแคว้นหนานหลีจะเกรงกลัวซูจิ่นซีในฐานะคนของเผ่าเม้ยและพระชายาโยวอ๋อง อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนต่างมองซูจิ่นซีด้วยแววตาของความเป็นศัตรู
เรื่องทั้งหมดนี้ ทำให้คนผู้หนึ่งฉวยโอกาสใช้ประโยชน์
นั่นคือ จงซูอี้ ผู้ดูแลสำนักโอสถสกุลจงทั้งหมด ผู้ที่นิ่งเงียบคอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวต่างๆ ตลอดการแข่งขันซิ่งหลิน
ขณะที่จงซูอี้ได้ยินว่าซูจิ่นซีเป็นสายเลือดของสำนักแพทย์สกุลจง เป็นบุตรสาวของจงซีจือ ทั้งยังเป็นคนของเผ่าเม้ย ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังคิดเหตุผลกำจัดซูจิ่นซีไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าหนานกงหว่านเอ๋อร์จะเป็นผู้ชี้นำ ทำให้เขาได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้
จงซูอี้ยืนขึ้น และค่อยๆ เดินไปหาซูจิ่นซีทีละก้าว
“วันนี้ หากแม่นางหนานกงไม่พูด ข้าคงไม่ทันได้นึกถึงจุดนี้ เมื่อลองมาคิดดูแล้วก็เป็นความจริง ขอบังอาจทูลถามพระชายาโยวอ๋อง ที่พระองค์บุกรุกสำนักโอสถสกุลจงในยามค่ำคืนครั้งแล้วครั้งเล่า มีจุดประสงค์ใดกันแน่? ”
ที่แท้… พระชายาโยวอ๋องยังบุกรุกเข้าไปในสำนักโอสถสกุลจง
ไม่นึกว่าคำพูดของจงซูอี้จะเพิ่มน้ำหนักในความคิดของทุกคน ทำให้ทุกคนไม่พอใจซูจิ่นซีมากขึ้นไปอีก
พวกเขาต่างนิ่งเงียบ รอฟังคำตอบของซูจิ่นซี
สายตาแก่ชราของจงซูอี้จับจ้องไปที่ซูจิ่นซีตลอดเวลา เพื่อเพิ่มกดดันให้แก่นาง
แม้ซูจิ่นซีจะใช้ยาระงับอาการบาดเจ็บชั่วคราว ทว่าเวลานี้นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แม้จะสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างมีสติ ทว่าต้องใช้ความอดทนยิ่งนัก
ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดท่ามกลางฝูงชน เขาตะโกนออกมาว่า “พระชายาโยวอ๋อง พระองค์คงไม่ใช่สายลับที่โยวอ๋องส่งมายังแคว้นหนานหลีของพวกเรากระมัง! ”
แท้จริงแล้ว ทุกคนต้องการถามเรื่องนี้มานาน ทว่าคนผู้นั้นกลับมีความกล้า กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ทุกคนคิดแต่ไม่กล้าถาม
ทันใดนั้น สนามประลองที่เงียบงันอยู่แล้ว ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นไปอีก ทุกคนต่างรอการตอบกลับของซูจิ่นซี ทว่าน่าเสียดายที่ซูจิ่นซีไม่ตอบสนองใดๆ
ซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด ทว่ามีบางคนที่คิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงความสามารถ
“พระชายาโยวอ๋อง เหตุใดท่านถึงไม่พูดสิ่งใดเลย? ท่านคงไม่ใช่สายลับจริงๆ กระมัง? หากเป็นสายลับจริง เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว! ทว่าหว่านเอ๋อร์มองว่าท่านหาใช่คนเช่นนั้น ท่านเป็นสายลับจริงหรือไม่! ” หนานกงหว่านเอ๋อร์พูดพลางเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย
แม้ไหวชิ่งกงจู่จะไม่คุ้นเคยกับใครหลายๆ คน ทว่าเมื่อเทียบกับคนเหล่านั้นแล้ว หนานกงหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ช่างน่าขยะแขยง และทำให้นางอดพูดบางคำออกมาไม่ได้
“แม่นางหนานกง เมื่อครู่เจ้าพูดว่าพระชายาโยวอ๋องเป็นคนเจ้าเล่ห์และร้ายกาจมิใช่หรือ? ตอนนี้กลับพูดว่านางดูไม่เหมือนสายลับ พวกเราควรจะเชื่อคำพูดใดของเจ้า? ”
ตอนนั้นเองที่หนานกงหว่านเอ๋อร์ตระหนักได้ว่า คำพูดของนางขัดแย้งกันเอง ทว่านางก็โต้ตอบอย่างรวดเร็วว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร! ได้ยินว่าตอนที่พระชายาโยวอ๋องอยู่ที่แคว้นจงหนิง หากนางไม่ชอบผู้ใดก็จะสังหารทันที ดังนั้นข้าจึงคิดว่า จากอุปนิสัยของนาง นางคงไม่กระทำเรื่องที่ไม่ซื่อตรงเช่นนั้น! ทว่าข้าไม่ได้รู้จักนางดีพอ! อาจเข้าใจผิดก็เป็นได้! ”
“เช่นนั้น เจ้าเข้าใจผิดว่าพระชายาโยวอ๋องเป็นสายลับหรือไม่กันแน่? ” ไหวชิ่งกงจู่ขมวดคิ้ว ทั้งยังขุดหลุมพรางขนาดใหญ่ให้หนานกงหว่านเอ๋อร์
หนานกงหว่านเอ๋อร์ชะงักด้วยความตกตะลึง ทว่าไม่ได้พูดสิ่งใด
ไหวชิ่งกงจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเหมือนการใช้คำพูดดูดีเพื่อทำร้ายผู้อื่นของเจ้ายังไม่เก่งกาจเท่าใดนัก ไปหาอาจารย์เรียนรู้ให้ดีกว่านี้เถิด! ”
จงซูอี้เห็นว่ามีบางคนออกมาพูดแทนซูจิ่นซีแล้ว เกรงว่าซูจิ่นซีจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ใบหน้าของเขาพลันปรากฏความเคร่งขรึม ทั้งยังมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาเปลี่ยนคำเรียกชื่อนางอย่างรวดเร็ว
“จงจิ่นซี ในเมื่อเจ้าเป็นคนสกุลจงของข้า เช่นนั้น เรื่องนี้ก็ยึดตามกฎสกุลจงของข้า สกุลจงของข้าจงรักภักดีต่อเชื้อพระวงศ์จากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียต่อเชื้อพระวงศ์และแว่นแคว้น ดังนั้น ข้าไม่อาจทนต่อความไม่ซื่อสัตย์ของเจ้า วันนี้ สิ่งที่เป็นข้อสงสัยในตัวของเจ้า ตามกฎสกุลจงของข้า ก็ควรควบคุมตัวเจ้าไปที่ศาลบรรพชน เพื่อให้ผู้นำสกุลและผู้อาวุโสสอบสวนอย่างเคร่งครัด”
จงซูอี้พูดจบก็ออกคำสั่งว่า “ทหาร จับตัวจงจิ่นซีไปที่ศาลบรรพชน! ”