การค้นพบของฉือซิง

 

ณ ห้องในสำนักงานแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังวางเอกสารที่เขาเพิ่งจะอ่านเสร็จลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นได้มีเสียงๆหนึ่งพูดออกมาว่า “นายน้อยครับ ผมขอแจ้งข่าวล่าสุดครับ ตอนนี้ซูจิ้งได้ตัวหลัวเทียนฟู่ไปร่วมงานแล้วครับ”

 

โจวเทียนรุยยกหัวขึ้นไปทางต้นเสียงพร้อมทำหน้าประหลาดใจ เขาจับเอกสารที่ชายคนนั้นส่งมาให้พร้อมทั้งดูอย่างละเอียดละออ ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นมาว่า

“ความสามารถของเขาไร้ที่เปรียบจริงๆ รักษาได้แม้แต่อาการตาบอด คุณซู คุณเป็นใครกันแน่เนี่ย พอคิดว่าได้เขามาเป็นมิตรกับเรานี่ถือว่าโชคดีจริงๆ”

ถึงจะว่ามาอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามหาความลับของซูจิ้งต่ออยู่ดี ตามข่าวที่ได้มานั้น ในช่วงกลางวันซูจิ้งไปนู่นไปนี่มากมายหลายที่ พอถึงบ้านเขาก็หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ช่วงที่เขาอยู่ในบ้านเขาทำอะไรบ้างนะ

 

ถึงภายในใจของเขาจะส่งสัญญาณเตือนออกมาทุกๆครั้งว่าให้เลิกติดตามสืบเรื่องของซูจิ้งในทุกช่องทาง

และไม่ควรล้ำเส้นซูจิ้งไปมากกว่านี้แล้ว

แต่เขาก็ยังคงสั่งให้คนติดตามซูจิ้งทุกครั้งและทุกเรื่องในยามที่เขาออกมาจากบ้าน

นอกจากจะเป็นเรื่องที่ดูแล้วเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ

เพราะว่าในใจเขาเองก็ยังมีความคิดหวั่นใจอยู่บ้างว่าสักวันซูจิ้งอาจจะก่อกบฏต่อประเทศขึ้นได้

 

นอกจากนั้นโจวเทียนรุยยังพบคนอื่นๆ ที่แอบลอบติดตามซูจิ้งอย่างลับๆ

ในระหว่างที่ซูจิ้งกำลังจัดการเรื่องของหลัวเทียนฟู่

แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่กล้าทำอะไรมากเพราะนอกจากตำแหน่งนายน้อยคนที่ 4 ของตระกูลหวังแล้ว

ซูจิ้งยังมีความสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเฉียนอยู่ นั่นทำให้ไม่กล้าผลีผลามเกินไปนัก

 

ซูจิ้งเองนั้นถึงเขาจะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจคนพวกนั้น เขาได้นำหลัวเทียนฟู่มาและช่วยกันเก็บเกี่ยวทรายดำไว้ เขานั้นมีความสุขมากๆในตอนนี้ และยังมีเรื่องที่น่ายินดีเพิ่มขึ้นนั่นก็คือไม้สามอย่างที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนแล้วทดลองนำไปชำไว้นั้นปรากฎว่ามีส่วนหนึ่งรอดชีวิตต่อไปได้ ส่วนที่เขาเอาไปชำไว้กับเศษหินวิญญาณ​ได้ตายลงไปแต่ในส่วนที่เขาเอาไปชำไว้ในดินจอมเขมือบกลับรอดชีวิตและเติบโตมากกว่าเดิม โดยดินจอมเขมือบพวกนี้สำหรับซูจิ้งถือว่าใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าเศษหินวิญญาณ​ไปแล้ว นอกจากนี้ไผ่ดำที่เขาเก็บมาจากกองขยะห้วงเวลาฯ ก็ได้เติบโตขึ้นในดินจอมเขมือบที่เติบโตเต็มที่ที่เขาแบ่งไว้แล้ว

 

นอกจากนี้เขายังพบวิธีการจัดการกับดินจอมเขมือบได้ซักที ซึ่งก่อนหน้านี้เขานั้นไม่สามารถหาวัตถุที่จะกักเก็บดินจอมเขมือบนี้ไว้ได้เนื่องจากทุกอย่างจะถูกย่อยไปหมดยกเว้นธาตุโลหะ

แต่ธาตุโลหะเองก็จะเร่งทำให้ดินจอมเขมือบเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็ว มันจึงสร้างความปวดหัวกับซูจิ้งไม่ใช่น้อย

แต่ตอนนี้เขาพบว่ามีเพียงพืชมีชีวิตเท่านั้นที่จะไม่ถูกดินจอมเขมือบดูดซึม

กลับกันมันเหมือนจะหยุดคุณลักษณะการดูดซึมและขยายตัวของมันและปลดปล่อยสารอาหารอันล้ำค่าให้กับพืชต้นนั้นแทน

แต่ดินส่วนที่หยุดการดูดซืมและขยายตัวนี้จะเกิดเฉพาะส่วนของดินที่สัมผัสกับพืชที่มีชีวิตเท่านั้น

 

จนในที่สุดเขาก็พบวิธีกักเก็บที่เหมาะสมที่สุดนั่นคือการให้พวกพืชมีชีวิต(พืชที่มีจิตวิญญาณ)ทำหน้าที่ในการกักเก็บพวกมันไว้

นอกจากจะหยุดการขยายตัวได้แล้วพวกมันยังเปลี่ยนสภาพเป็นการพึ่งพาอาศัยแทนซะอีก

เขาค้นพบเรื่องนี้ได้เพราะเต็งเต็ง(ไม้กินคน)

เพราะตอนที่ซูจิ้งกำลังทำงานอยู่เขาเห็นเต็งเต็งเอาดินจอมเขมือบมาโปะไว้ที่รากของมันในส่วนที่ใช้เดิน

ปรากฏว่านอกจากเจ้าดินนั่นจะยอมคงรูปคอยหุ้มรากของเต็งเต็งไว้แล้วมันยังคอยดูดซึมสารอาหารในพื้นที่ที่เต็งเต็งเดินผ่านแล้วส่งสารอาหารอันล้ำค่าให้เต็งเต็งอย่างต่อเนื่อง

ด้วยวิธีการนี้ทำให้เต็งเต็งสามารถออกจากรังของมันมาได้ไกลกว่าเดิมเพราะปกติแล้วมันสามารถออกห่างจากรังมาได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องรีบกลับเข้ารังไปเพราะสารอาหารไม่เพียงพอเหมือนปลาที่อยู่เหนือน้ำ

แต่ด้วยวิธีการนี้ทำให้เต็งเต็งสามารถอยู่นอกรังได้นานจนอาจเป็นเดือนๆได้เลยทีเดียว

ทันใดนั้นวิถีแห่งใต้หล้าในจิตสำนึกของซูจิ้งได้เคลื่อนไหวทำให้เขานึกอะไรได้บางอย่าง

เขาได้เรียกอินทรีทองแล้วให้มันบินตรงไปยังเกาะทะเลทรายในทันที

เขาขี่ไปจนถึงทุ่งราบแห่งหนึ่งบนเกาะที่นั่นมีเถาวัลย์ไม้เลื้อยอยู่ ลำต้นของมันหงิกงอจนคล้ายงูก็ว่าได้โดยมีขนาดผสมๆกันทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง

พวกมันถักทอกันเองจนดูมีหลายชั้น บางส่วนที่ดูเหมือนจะตายก็ได้จมลงไปอยู่ในดิน

 

“เจ้าผักบุ้งพวกนี้น่าจะเหมือนกับเต็งเต็งนะ ไม่รู้ว่าดินจอมเขมือบจะทำให้มันเชื่องได้รึเปล่า”

ซูจิ้งนำดินจอมเขมือบออกมาบางส่วน เขานั้นโรยมันลงไปบนราก ตอนนี้รากของมันกระตุกในทันทีเหมือนกับงูที่สัมผัสได้ถึงหนูที่เดินผ่าน

รากในบริเวณนั้นพุ่งทะลุพื้นขึ้นมาแล้วโอบผงของดินจอมเขมือบแล้วดึงลงดินไปในทันที

ซูจิ้งสังเกตุเห็นว่าเจ้าผักบุ้งนี่น่าจะยังไม่ฉลาดเท่าเต็งเต็งก็เพราะว่ามีบางส่วนที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้เนื่องจากรากไปไม่ถึงพื้น ส่วนใหญ่ที่รากของมันฝังอยู่ในดินก็ไม่มีการขยับเหมือนกัน

แสดงให้เห็นว่ามันยังไม่มีสติปัญญาเทียบเท่าเต็งเต็ง ไม่อย่างนั้นมันคงถอนรากทั้งหมดมาหาเขาเรียบร้อยแล้ว (เต็งเต็งตอนที่ได้ดินจอมเขมือบครั้งแรกนั้น พยายามสูบสารอาหารแบบไม่คิดชีวิต)

ถึงจะว่ามาอย่างนั้นแต่ซูจิ้งก็เชื่อว่าอย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ถือว่าโง่งมซะทีเดียว ยังมีความเป็นไปได้ที่ว่ามันเป็นพืชกินสิ่งมีชีวิตที่ใช้วิธีการรากสิ่งมีชีวิตลงดินแล้วรอให้สิ่งมีชีวิตตายแล้วย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยแล้วมันก็ดูดซึมผ่านดินอีกที

หลังจากที่ซูจิ้งลองไปเรื่อยๆจนตอนนี้พฤติกรรมของเจ้าผักบุ้งก็ได้เปลี่ยนไป พวกมันบางส่วนเลือกที่จะทิ่มรากเขาไปในดินจอมเขมือบโดยตรงเพื่อดูดซับสารอาหารซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ซูจิ้งเฝ้ารอคอยอยู่

 

“ไม่เลวเลยในที่สุดมันก็เขาใจซักที การดูดซับโดยตรงแบบนี้ย่อมดีกว่าการรอให้ดินจอมเขมือบย่อยสลายแล้วค่อยดูดซับเป็นไหนๆ ด้วยวิธีการนี้เจ้าผักบุ้งพวกนี้น่าจะเติบโตและพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วในอนาคต” ซูจิ้งยิ้มออกมา

 

ในขณะเดียวกันก็มีสิ่งหนึ่งทีซูจิ้งยังไม่ค้นพบนั่นก็คือตอนนี้ประตูสวนหลังบ้านของเขาได้ถูกเปิดออกมาและได้มีรถยนต์ออดี้R8คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทสั่งตัด ผมยาว ดูดีมีชาติตระกูล และสวยๆมากคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถ นั่นก็คือ ฉือชิง

 

ทันทีที่เหล่าสัตว์เลี้ยงสัมผัสได้ว่าใครมา พวกมันต่างวิ่งกรูเขาไปหาเธอด้วยท่าทางที่แสดงออกด้วยความรักและน่าเอ็นดู

ฉือชิงได้ยิ้มพร้อมทั้งลูบหัวเหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายจนครบ เธอนั้นได้รีบขึ้นไปชั้นสี่ในทันที

แต่ในขณะที่เธอกำลังจะขึ้นไปชั้นสี่เธอก็พบผงดินมากมายกระจายอยู่ทั่วพื้นบันไดไปจนถึงรอบๆสระน้ำซึ่งดูแล้วค่อนข้างสกปรกเลอะเทอะอย่างมากจนทำให้ฉือชิงต้องบ่นออกมา

 

“อาจิ้งทำอะไรกันเนี่ย” เธอเองตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะบรรดาสัตว์เลี้ยงแต่ปกติพวกมันไม่เคยทำพื้นสกปรกขนาดนี้เธอจึงโทษซูจิ้งได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

 

ฉือชิงพยายามเรียกหาซูจิ้งอยู่หลายหนแต่ไม่มีเสียงขานรับออกมา เธอได้ลองไปดูที่ห้องก็ไม่เจอ เธอจึงได้นำไม้กวาดพร้อมที่ตักผงมากวาดดินบนพื้น ดินพวกกระจายเป็นทางลากยาวไปจนถึงเถาวัลย์กลุ่มหนึ่ง

 

ฉือชิงหยุดในทันที เธอจ้องมองไปยังกองเถาวัลย์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ในขณะที่กำลังมองไปที่ราก

เธอเห็นรากๆหนึ่งมีดินเกาะอยู่มากเป็นพิเศษจนเหมือนกับรากรากนั้นเพิ่งถูกถอนออกมาจากดิน

ฉือชิงได้พูดออกมาว่า “ดูเหมือนดินนั่นจะเริ่มมาจากที่นี่นะ น่าจะหมามาถอนเล่นแน่ๆ น่าสงสารจริงๆ” ฉือชิงยิ้มออกมา

เธอนั้นเอื้อมมือไปจับรากนั้นโดยหวังจะจับมันฝังลงไปในดินอีกทีแต่ทันทีที่เธอจับ

รากนั่นได้หลบออกจากมือเธอ ฉือชิงนี่งอึ้งในทันที เธอกำลังคิดอยู่ว่าตาฟาดอยู่แน่ๆ เธอน่าจะจับผิดเองมากกว่า รากเถาวัลย์จะไปขยับได้ยังไง หรือว่าจะไม่ใช่ราก แต่เธอก็มองดูดีแล้วว่ามันเป็นราก เธอได้แต่สะบัดหัวและเอื้อมมือไปจับรากนั้นอีกครั้งเพื่อหวังจะจับไปกลบไว้ในดิน

แต่เธอไม่รู้ว่าส่วนที่เธอจับนั้นนั่นคือรากแก้วของเต็งเต็งที่ถือว่าเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของต้นไม้ ถึงแม้จะถูกหุ้มไว้ด้วยดินจอมเขมือบแต่นั่นไม่ได้ช่วยให้เต็งเต็งฝืนไม่ให้ขยับตัว เหมือนกับที่บางคนโดนจี้เอวแล้วสะดุ้งโหยง

ทันทีที่เธอจับรากนั้นเต็งเต็งได้สะดุ้งจนต้องเอารากส่วนอื่นไปโอบไปยังรอบบั้นท้ายของฉือชิง แล้วยกเธออย่างเบามือย้ายเธอออกไปห่างๆจากรากนั่น ประดุจดั่งที่คนกำลังอุ้มหมาตัวน้อยไปไว้ในที่นอนของมัน

เพราะมันรู้ว่าเธอคือแขกดังนั้นมันจึงไม่ทำอะไรรุนแรงกับเธอแน่นอน มันจึงเลือกที่จะยกเธอออกไปห่างๆ

หลังจากยกเธอออกไปแล้วเต็งเต็งจึงดึงรากกลับมาแล้วคงท่าทางไว้แบบเดียวกับก่อนหน้านี้

ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนกับมันเป็นเถาวัลย์ธรรมดากองนึงแค่นั้นเอง

 

ฉือชิงในตอนนี้ตกใจจนยืนนิ่งไม่ไหวติงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เธอจ้องทุกการกระทำของเต็งเต็งตั้งแต่ยกเธอมาไว้ห่างๆจนถึงตอนที่มันดึงเถาวัลย์ของมันกลับเข้าที่เข้าทางแล้วอยู่นิ่งๆไม่ไหวติงไป

พอเธอตั้งสติได้เธอกระโดดตัวโหยงถอยออกไปพร้อมตะโกนออกมาว่า “หมาป่าสงคราม อาต๋า ”

ทันใดนั้นหมาป่าสงครามแทบจะมาอยู่เคียงข้างในทันที ตามมาด้วยอาต๋าและลูกน้องหมาของมันรวมตัวกันเป็นกลุ่มรอบตัวฉือชิง