หาคนเพิ่ม

จนกระทั่งเย็นวันนั้นฉือชิงก็ไม่ยอมเรียกซูจิ้งว่าสามีซักทีเขาเลยไม่ได้บอกอะไรเธอเลย ซักประมาณสองทุ่มเขาได้รับโทรศัพท์จากหวังซือหยา เธอถามเขาว่า “อาจิ้งนายกำลังขาดเงินหรอ”

ซูจิ้งสงสัยในทันทีเลยถามกลับไปว่า “ห้ะ ไหงถามฉันอย่างนั้นหล่ะ”

หวังซือหยาเลยพูดต่อว่า “นายก็น่าจะรู้นี่ว่าตอนนี้ผู้คนภายนอกนั้นจับตาดูนายยู่แทบจะทุกฝีก้าว และพวกเราไม่สามารถละเลยเรื่องพวกนี้ได้ แล้วฉันก็รู้มาว่านายใช้เงินไปจำนวนมากเลยในช่วงนี้เหมือนกับนายกำลังรีบใช้เงินยังไงก็ไม่รู้”

“เรื่องนี้..” ซูจิ้งยิ้มก่อนจะพูดออกไปว่า “มันก็จริงที่ผมกำลังต้องใช้เงินแต่ผมก็ยังไม่ได้ขาดเงินขนาดนั้นหรอกนะ”

“เอางี้แล้วกัน เรื่องส่วนแบ่งของสินค้าเราควรจะเปลี่ยนใหม่นะเอางี้ละกัน ส่วนแบ่งสินค้าทั้งเปลี่ยนเป็นนายเอาไป 60% ส่วน40%ทีเหลือฉันกับพี่ซุนตกลงกันแล้วว่าจะแบ่งจากส่วนนั้น เป็นฉัน 50% และพี่ซุน 25% ที่เหลือเข้าบริษัท เรื่องนี้พี่ซุนเขาเห็นด้วยแล้ว นายไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ” หวังซือหยาพูดดักหน้าไว้ก่อน

“พี่ซือหยาไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลยนี่นา” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกเมื่อหวังซือหยาจะให้เงินเขาเพิ่ม

“เจ้าน้องชายผู้แสนดี อย่าปฏิเสธเลยน่า พวกเราได้มากกว่าที่นายคิดนะ ด้วยสูตรของนายน่ะปกติถ้าไปให้บริษัทอื่นล่ะก็นายน่าจะได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ที่ฉันได้ตอนนี้ก็ถือว่าได้เยอะอยู่แล้ว ถ้านายต้องการเงินจริงๆก็ควรรับมันไว้ซะ เมื่อไหร่ที่นายขาดเงินหล่ะก็โทรบอกฉันได้ทันทีเลยนะ และแน่นอนว่าถ้าฉันขาดหล่ะก็ฉันจะบอกนายเหมือนกัน” หวังซือหยาหัวเราะออกมา

“ก็ได้ก็ได้” พอซูจิ้งนึกถึงว่าความปลอดภัยของโลกนี้ขึ้นอยู่กับการที่เขาต้องใช้เงินในการพัฒนาสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแล้ว เขาจึงเปลี่ยนใจยอมรับมัน “พี่ซือหยาไม่คิดจะถามผมหน่อยหรอว่าผมจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะน่ะ”

“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆฉันก็รู้แค่ว่านายเอาเงินไปลงที่สถาบันวิจัยล้ำยุคของนายนั่นหล่ะ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่นายก็จะมีเหตุผลดีๆทุกครั้งเสมอไป อ้อสำหรับเรื่องที่นั่นนายต้องคอยระหวังตัวไว้ดีๆหล่ะ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนั้นไม่ต้องห้วงหรอกน่า” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมอธิบายต่อไปว่าเขานั้นได้วางระบบป้องกันไว้อย่างดีชนิดที่หนูซักตัวก็เข้าไม่ได้ ถ้าใครก็ตามที่บุกรุกเข้าไปจะโดนควบคุมตัวทันที รวมถึงพวกเอเลี่ยนด้วยเช่นกัน

มันนานหลังจากวางโทรศัพท์ไป หวังจ้าวก็โทรมาหาเขาและพูดด้วยเรื่องเดียวกัน เขาเองก็เพิ่มส่วนแบ่งให้กับซูจิ้งด้วยหวังจ้าวมีธุรกิจร่วมกับซูจิ้งมากกว่าซือหยาซะอีก
ซึ่งซูจิ้งยอมรับแต่โดยดีพร้อมทั้งที่ใจเขารู้สึกได้ว่าทั้งสองคนตอนนี้กลายเป็นพี่น้องของเขาจริงๆไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ซูจิ้งเริ่มคิดถึงแผนการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารมากกว่าเดิมซึ่งตอนนี้เรื่องเงินไม่มีปัญหาแล้ว แต่ปัญหาก็คือเรื่องคน เขากำลังขาดกำลังคนจากเหล่าอัจฉริยะ แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรมากเขาให้เฉิงหนานหาคนที่เหมาะสมกับการร่วมงานกับเขามา โดยบอกไปว่าให้หามาก่อนคนนึงแล้วค่อยๆทยอยหามาเรื่อยๆ

การจ้างครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการระดมคนเลยก็ว่าได้

ความจริงนั้นซูจิ้งเคยคิดจะจ้างคนแบบนี้มาแล้วแต่ตอนนั้นเขาคิดว่าบนมือจองโจวเทียนรุยน่าจะมืข้อมูลของเหล่าอัจฉริยะมากกว่า
แต่พอเอาเข้าจริงๆก็มีคนเข้าตาเขาแค่คนเดียวคือหลัวเทียนฟู่ซึ่งเขาก็ได้ตัวมาแล้ว เขาก็เลยเลือกที่จะไม่สนใจคนในรายการของโจวเทียนรุย แล้วกลับมาใช้วิธีการเดิมแทน

เย็นวันถัดมาเฉิงหนานโทรหาเขาพร้อมบอกว่า “บอสคะ พวกเราได้คัดเลือกคนพร้อมสัมภาษณ์ไว้จำนวนหนึ่งแล้ว หนึ่งในนั้นค่อนข้างโดดเด่นเลย เขาสามารถตอบแบบทดสอบของเราได้ทั้งหมด คุณสนใจจะมาดูหน่อยรึเปล่า”

ซูจิ้งตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินจึงตอบไปว่า “ไปแน่นอนเดี๋ยวฉันไปนะ” โชคดีจริงๆที่มีคนตอบพวกมันได้หมดเร็วขนาดนี้
ต้องรู้ก่อนว่าซูจิ้งได้ให้ทั้งเอเลี่ยน ปันฉาง และหลัวเทียนฟู่ทำงานด้วยกันเพิ่มจัดการปัญหาหลายอย่างในงานการผลิตปฏิสสาร
แล้วเขาก็ให้พวกนี้หยิบยกปัญหาส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นโจทย์คำถามพวกนี้
ใครก็ตามที่ตอบคำถามพวกนี้ได้หมดถือได้ว่าจะต้องรู้เรื่องปฏิสสารดีมากเลยทีเดียว
แต่จากการสัมภาษณ์ที่ผ่านมาต่อให้เก่งมาจากไหนแต่ไม่เคยมีใครทำได้เกินยี่สิบคะแนนมาก่อน นี่ถึงทำให้เขาตาเป็นประกายขึ้นมา

ซูจิ้งบอกเฉิงหนานไปว่าเขานั้นจะร่วมสัมภาษณ์ด้วย เพราะซูจิ้งไม่ได้แค่อยากได้ที่มีความรู้แต่ต้องเป็นคนที่ไว้ใจและเชื่อใจได้ด้วย เพราะถ้าเรื่องเอเลี่ยนและการผลิตปฏิสสารหลุดออกไปล่ะก็มีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว

ซูจิ้งรีบตรงไปที่บริษัทกลุ่มทุนฯทันที เฉิงหนานได้พอซูจิ้งเขาไปในห้องสัมภาษณ์ มีชายคนหนึ่งอายุประมาณสามาสิบปีอยู่ในชุดเสื้อเชิตสไตล์ตะวันตกอยู่ เขาลุกขึ้นทันทีที่เห็นซูจิ้ง เขายื่นมือออกมาพร้อมพูดออกมาว่า “สวัสดีครับคุณซู”

“สวัสดีครับคุณโอว” ซูจิ้งยื่นมือไปจับตอบเป็นการทักทาย

“ผมได้ยินชื่อคุณซูมานานแล้ว ผมรีบมาทันทีเลยเมื่อได้ยินมาว่าที่นี่กำลังรับพนักงาน การที่สามารถทำงานในบริษัทของคุณได้นี่ถือว่าเป็นบุญของผมเลยครับ” โอวฉิงหยุนกล่าวออกมา

“คุณโอวก็พูดเกินไป บริษัทของผมก็แค่บริษัทเล็กๆที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานเอง เอาจริงๆผมก็ต้องมาเพื่อผลาญเงินเล่นเฉยๆน่ะไม่ได้หวังว่าจะสร้างรายได้อะไรมากมายหรอก ผมจะรับคำชมของคุณได้ยังไงกัน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณซูก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะเพิ่งตั้งมาได้ไม่นานแต่กลับมีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนแผงพลังงานแสงอาทิตย์นี่ไม่มีใครเทียบได้เลย ผมเชื่อว่าบริษัทของคุณจะเติบโตในระดับโลกในไม่ช้านี้หรอกครับ อีกอย่างคุณซูเองก็ยังทำอีกตั้งหลายอย่าง อย่างสถาบันวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเองก็เหมือนกัน ดูเหมือนคุณซูเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย ด้วยสถาบันนั่นผมเชื่อว่าจะทำให้คุณซูเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน” โอวฉิงหยุนยังกล่าวสรรเสริญต่อไป

ซูจิ้งได้มองไปที่โอวฉิงหยุนในทันที เขานั้นก็ได้หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร เขาหันไปบอกเฉิงหนานว่า “คุณออกไปก่อนแล้วกัน ผมมีเรื่องที่จะต้องคุยกับคุณหยุนตัวต่อตัว”

“ได้ค่ะ” เฉิงหนานรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที ซูจิ้งนั้นให้เธอมาเป็นผู้จัดการทั่วไปซึ่งเธอได้มีส่วนร่วมในทุกเรื่องไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความไว้วางใจเธออย่างมาก ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็ควรจะให้เธอมีส่วนร่วมด้วยไม่น่าจะต้องให้เธออกมาก่อน แต่เธอนั้นก็คิดว่าเขาคงมีเหตุผลมากพอที่จะต้องให้เธอออกมาเธอจึงยอมออกมาแต่โดยดี

เมื่อเฉิงหนานออกไปและปิดประตูลงพร้อมล็อคห้อง ซูจิ้งได้นั่งลงพร้อมจ้องไปที่โอวฉิงหยุน เขานั้นได้ปลดปล่อยกระแสจิตอัดเค้าไปในสมองจองของโอวฉิงหยุนในทันทีเพิ่อสะกดจิตเขา แล้วซูจิ้งก็ได้พูดออกมาว่า “ว่ามา ใครสงนายมา และนายมีจุดประสงค์อะไร”
ซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนขี้ระแวงหรอกเพราะเขาไม่เคยเชื่อใจคนที่สัมภาษณ์งานอยู่แล้ว แต่การสัมภาษณ์ครั้งนี้เขาจับพิรุธของโอวฉิงหยุนได้ว่ากระแสวิญญาณ(ออร่า)ของเขาจะผิดปกติทุกครั้งที่กล่าวชื่นชมสรรเสริญซูจิ้ง แถมยังแสดงความผิดปกติอย่างรุนแรงทันทีที่พูดถึงสถาบันวิจัย ซึ่งความผิดปกติของกระแสวิญญาณ(ออร่า)นั้นไม่ว่าจะเป็นใครสภาพไหนก็ไม่มีทางปกปิดได้อย่างแน่นอน

“ลูกพี่หวู่ส่งผมมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์ให้ผม…..” โอวฉิงหยุนกล่าวออกมาอย่างว่าง่ายโดยพูดทุกอย่างอย่างหมดเปลือก