ตระกูลหวู่

 

“เป็นตระกูลหวู่ที่ส่งผมมาที่นี่ เป้าหมายของผมในการมาที่นี่ก็แค่เรื่องง่ายๆ คือต้องลอบเข้าไปในสถาบันวิจัยฯ และค้นหาความลับทุกอย่างของคุณ ลูกพี่หวู่คิดว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างที่คุณทุ่มเงินไปกับสถาบันวิจัยแห่งนี้มากมาย” โอวฉิงหยุนพูดออกมา

 

“ลูกพี่หวู่งั้นหรอ แล้วววว..ลูกพี่หวู่ไหนกันหล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมา

 

“เขาเป็นนายน้อยตระกูลหวู่ชื่อว่าหวู่ฉิงติง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของจังหวัดนี้” โอวฉิงหยุนอธิบายเพิ่มเติม

 

“โอ้” ซูจิ้งพยักหน้ารับเล็กน้อย เขานั้นรู้จักชื่อนี้แต่ไม่ใช่เพราะว่าเป็นนายน้อยตระกูลหวู่แต่เป็นในฐานะอดีตสามีของเฉิงหนาน ไอ้ระยำนี่เลิกกับเธอไปตอนที่เธอกำลังเจอมรสุมชีวิต

 

ในจังวัดนี้มีตระกูลใหญ่อยู่ด้วยกันสี่ตระกูลประกอบด้วย ลู่ เกา เฉิง และหวู่ เมื่อเทียบกันในตระกูลแล้วตระกูลหวู่ถือได้ว่ามีพลังที่สุดทั้งในด้านการเงินและอำนาจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตอนที่เฉิงหนานถูกตระกูลหวู่รังแกตระกูลเฉิงถึงได้เงียบเฉยไม่สนใจไยดีเธอ

 

“ตระกูลหวู่นี่ช่างหาญกล้าซะจริงๆ” ซูจิ้งสบถออกมา ความจริงแล้วมีผู้คนมากมายจับตาดูเขาอยู่แต่ไม่มีใครกล้าลงมือ ไม่คิดว่าคนแรกที่เข้ามาลองของจะเป็นตระกูลหวู่

 

“แล้วนายมีความสัมพันธ์ยังไงกับตระกูลหวู่ แล้วทำไมนายยอมทำตามคำสั่งของพวกมัน” ซูจิ้งถามออกมา

แล้วโอวฉิงหยุนก็เล่าออกมาแบบหมดเปลือกอีกครั้ง เขาบอกมาว่าตัวเขานั้นไม่ใช่คนดีอะไร เขานั้นยุ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกีย์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น กิน ดื่ม เที่ยวผู้หญิง ติดการพนัน และเขาเองก็ติดหนี้ไว้มากมาย บอกได้เลยว่าเขานั้นเป็นคนที่สกปรกตั้งแต่หัวจรดเท้า

เขานั้นเกือบติดคุกมาแล้วแค่ได้ตระกูลหวู่ช่วยเหลือเอาไว้เพราะพวกเขาอยากได้คนไว้ใช้งาน เขาเองก็ไม่อยากเป็นแต่ด้วยการตระกูลหวู่เป็นตระกูลใหญ่ทำให้เขาต้องจำยอม

 

ด้วยการที่เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง และไม่ใช่แค่หนึ่งแต่บอกได้เลยว่าแทบจะรอบด้านทำให้ต่อให้เขาทำตัวแย่ยังไงแต่ก็ยังถือว่าเขาเป็นคนดีได้นิดหน่อย

เพราะความดีเดียวที่เขามีนั้นก็คือการคอยช่วยเหลือคนในครอบครัว ก่อนที่เขาจะมีปัญหาเขาเองก็แบ่งเงินไปให้ครอบครัวของไว้ใช้จ่าย ต่อให้เขายากจนค่นแค้นยังไงก็ไม่เคยขอเงินจากทางบ้านแม้ซักแดงเดียว

 

“ถ้าควบคุมหมอนี่ได้โดยสมบูรณ์แล้วล่ะก็นอกจากจะไม่ทำให้ความสามารถของเขาสูญเปล่าแล้วยังช่วยให้เขาเดินในทางที่ถูกต้องได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว แต่ก่อนหน้านั้นสงสัยต้องไปจัดการเรื่องตระกูลหวู่ซะก่อนแหะ” ซูจิ้งนึกขึ้นมาอย่างนั้นได้เขาก็ได้จัดการบังคับให้สมองของโอวฉิงหยุนลืมการสนทนาเมื่อครู่นี้และปลดปล่อยเขาจากการสะกดจิต

 

โอวฉิงหยุนมึนหัวเล็กน้อยก่อนที่จะได้สติและไม่ได้สงสัยอะไรเพราะซูจิ้งทำเหมือนเขากำลังถามคำถามกับโอวฉิงหยุนอยู่ทำให้โอวฉิงหยุนต้องรีบตอบเลยไม่ได้ใส่ใจ

 

หลังจากโอวฉิงหยุนออกไปเฉิงหนานก็เข้ามาพร้อมถามออกมาว่า “บอสคะ คุณคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”

 

ซูจิ้งยิ้มพร้อมพูดออกไปว่า “เขาถือว่าดีมากเลยหล่ะ พรุ่งนี้ค่อยบอกเขาไปว่าเขาผ่านการสัมภาษณ์แล้วนะ”

 

เฉิงหนานเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทุกครั้งที่ซูจิ้งทำแบบนี้เธอเหมือนเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง

 

ความจริงเขาก็อยากบอกความจริงไปเหมือนกันเพราะมันเป็นเรื่องของสามีเก่าของเฉิงหนาน

แต่เขาก็คิดว่าบอกไปก็เท่านั้นแถมยังจะกลายเป็นปัญหาหนักใจให้เธอซะเปล่าๆ

แถมตอนนี้เฉิงหนานก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหวู่แล้วเขาจึงเลือกที่จะแก้ปัญหาเงียบๆเองดีกว่า

 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาที่วิลล่าสุดหรูได้มีชายคนหนึ่งในชุดสูทอายุประมาณสามสิบปีกำลังคุยกับชายร่างอวบอายุประมาณห้าสิบและอีกคนหนึ่งนั่นคือโอวฉิงหยุน เขาได้มารายงานเรื่องทุกอย่างที่เกิดในระหว่างสัมภาษณ์ยกเว้นเรื่องที่ถูกทำให้ลืมไปแล้ว

 

“ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ” หวู่ฉิงติง ชายอายุสามสิบปีในชุดสูทยิ้มออกมา

 

“คุณโอวนี่ฉลาดจริงๆ ขนาดซูจิ้งยังไม่รู้ตัวเลย ถ้าเขารู้ความจริงเข้าคงประหลาดใจไม่น้อย” หวู่หลิวหยิง(ชายร่างอวบ)พูดออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดต่อว่า “ฉิงหยุน ถ้านายได้รับการว่าจ้างจริงก็แค่ทำตามที่เราตกลงกันไว้ตอนแรกก็พอ ค่อยเริ่มงานและทำอย่างตั้งใจทีละก้าวไม่ต้องรีบร้อนจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตุ หลังจากนี้เราจะไม่ติดต่อกันโดยตรงแบบนี้อีกแล้ว นายคอยแอบรายงานพวกเราก็พอ”

 

“ได้ครับ” โอวฉิงหยุนผงกหัวรับ

 

“ซูจิ้งได้ทุ่มเงินลงไปในสถาบันวิจัยของเขาอย่างกระทันหันอย่างนี้แสดงว่าเขาเองต้องมีความลับบางอย่างเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจจะเป็นความลับทั้งหมดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้งหลายรวมถึงสมบัติมากมายของเขา หลังจากเข้าไปได้แล้วต้องสืบให้กระจ่างซะ” หวู่ฉิงติงพูดออกมา

 

“ผมจะทำสุดความสามารถครับ” โอวฉิงหยุนผยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

 

“ไม่มีอะไรแล้วนายไปได้” หวู่ฉิงติงพูดออกมา โอวฉิงหยุนเลยออกไป

 

“ฉิงติงไม่ต้องรีบไปหรอกนะ ค่อยๆสืบไปดีกว่า” หวู่หลิวหยิงพูดออกมา

 

“พ่อ ผมรู้ดีว่าที่เรากำลังทำอยู่น่ะมันเสี่ยงแค่ไหน แต่โอวฉิงหยุนเองก็เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง

ต่อให้พลาดจริงๆความสัมพันธ์ของเรากับโอวฉิงหยุนนั้นไม่มีทางที่ซูจิ้งจะสืบกลับมาได้หรอก ไอ้บ้านั่นไม่ได้รู้เรื่องโลกภายนอกดีขนาดนั้น” หวู่ฉิงติงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

“ดี ฉันก็หวังเอาไว้จริงๆว่าเราสามารถขุดความรับของซูจิ้งออกมาได้ ตระกูลเราตอนนี้แทบไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยแถมยังมีหนี้สินซะอีก

ถ้าเราไม่รีบหาวิธีตัดผ่าน(ยกระดับ)ไปละก็พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากทั้งตระกูล” หวู่หลิวหยิงพูดออกมา

 

สองพ่อลูกได้คุยกันอีกพักใหญ่ก่อนที่หวู่ฉิงติงจะออกไป หวู่หลิวหยิงได้หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบจนหมดมวนก่อนที่จะไปนั่งดื่มชา แต่ในขณะที่กำลังรินชาอยู่นั้นเขาก็พบว่าซูจิ้งกำลังนั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว

 

“แก แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” หวู่หลิวหยิงพูดละล่ำละลักไม่เชื่อกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ซูจิ้งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขาและเหมือนจะนั่งอยู่มานานแล้วแต่เหมือนไม่มีใครรู้สึกตัวมาก่อนหน้านี้

อย่าว่าแต่เขาจะไม่รู้ตัวเลย แม้แต่พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยกับสุนัขยามที่อยู่ในสวนตอนนี้ก็เหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ

 

อันที่จริงหวู่หลิวหยิงนั้นก็พอรู้แล้วล่ะว่าทำไมซูจิ้งถึงมา แต่ไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าเขาเป็นคนส่งโอวฉิงหยุนไปเร็วขนาดนี้ ต่อให้เป็นนักกลยุทธก็ไม่มีทางรู้ได้เร็วขนาดนี้ คำถามมากมายพุดขึ้นมาในใจของหวู่หลิวหยิง ทันใดนั้น หวู่หลิวหยิงรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกวิ่งเข้าไปในหัวเขา เขารู้สึกได้ในทันทีว่าซูจิ้งนั้นเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก

 

“มา…” หวู่หลิวหยิงนั้นเมื่อตั้งสติได้เลยพยายามจะเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยแต่เขาก็ไม่สามารถตะโกนออกไปได้

เพราะอยู่ๆเขาก็รู้สึกหัวหมุน สายตาพล่าเลือน หลังจากนั้นก็หมดสติไป ซึ่งนั้นหมายความว่าเขาโดนซูจิ้งสะกดจิตเรียบร้อยแล้ว

 

เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตกระหน่ำเข้าไปในจิตสำนึกของหวู่หลิวหยิง เขาลองสะกดจิตซ้ำอีกตรั้งหนึ่งและเขาก็ทำได้สำเร็จอย่างง่ายได้ ถ้าเขาสามารถสะกดจิตหวู่หลิวหยิงได้ในตอนนี้ก็เปรียบได้ว่าเขานั้นได้จับหัวหน้าโจรได้เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ความสามารถในการสะกดจิตของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขานั้นรังเกียจสังคมออนไลน์แบบสุดๆถ้าเลี่ยงปัญหาที่เป็นข่าวได้ก็อยากจะเลี่ยง เพราะว่ามันสามารถส่งผลต่อคนที่เขามีสัมพันธ์ด้วยโดยตรง แถมยังอาจส่งผลต่อธุรกิจของเขาได้เลย เขาจึงเลือกที่จะมาจัดการศัตรูโดยการเปิดประตูบ้านศัตรูเพื่อตีหัวโจกตรงๆแบบนี้ดีกว่า

 

“หวู่หลิวหยิงนี่มีขวัญค่อนข้างดีเลยแหะ น่าจะเป็นปัญหานิดหน่อยล่ะนะ” ซูจิ้งรู้หนักใจเล็กน้อยแต่เขาก็นึกอะไรดีๆได้ขึ้นมาเขาเลยมองสายตาเหี้ยมเกรียมในทันที

เมื่อเทียบกับที่ทุกคนที่ซูจิ้งรู้จักมานั้น หวู่หลิวหยิงนั้นถือได้ว่ามีจิตใจ(ขวัญ)แกร่งกว่าหลายๆคน ถึงจะไม่เท่าหยางเซี่ยวแต่ก็ยังเหนือกว่าจ้าวหยวนอยู่ดี ถึงแม้การสะกดจิตทั่วไปจะทำได้ง่ายๆ

แต่ถ้าจะสะกดจิตแบบสมบูรณ์ได้น่าจะยากไปซักหน่อย เอาจริงๆก็ฝืนได้แต่นั่นจะทำให้หวู่หลิวหยิงปัญญาอ่อนไปในทันที

เขายังต้องการใช้ประโยชน์จากหวู่หลิวหยิงแถมยังต้องระวังไม่ให้เขาปัญญาอ่อนจนเป็นที่ผิดสังเกตุของคนอื่นอีก ครั้งนี้เขาลองใช้พลังจิตของเขาไปสิบสองส่วนเพื่อหวังจะสำเร็จในทีเดียวแต่ก็ยังไม่ได้ผล