ที่บ้านผีสิง มีผู้เข้าชมบางคนนั้นเริ่มเขียนไกด์ผ่านฉากระดับสามดาว เฉินเกอต้องมีฉากใหม่เพื่อรักษาความสดใหม่ของบ้านผีสิงเอาไว้ เพื่อที่จะรักษาความคาดหวังของผู้เข้าชมให้สูงเข้าไว้ตลอดเวลา

เมืองหลี่ว่านระดับสามดาวครึ่งนั้นเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดของเขาในตอนนี้ ในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาว ฉากพิเศษนี้จะทำให้ผู้เข้าชมของเขาได้มีระยะปรับตัวที่จำเป็นมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผู้เข้าชมที่เพิ่งผ่านฉากระดับสามดาวแล้วจะมุ่งหน้าไปท้าทายฉากระดับสี่ดาวในทันที

“แกเป็นยังไงบ้าง? ต้องการความช่วยเหลือไหม?” เสียงมือกรรไกรดังมาจากประตู และเมื่อเขาพูด เฉินเกอก็ได้ยินเสียงชายมีรอยสักพูดกับมือกรรไกร “เงียบหน่อย! พยายามอย่าส่งเสียงดังในสถานที่แบบนี้ แกไม่รู้หรอกว่าแกจะดึงดูดตัวอะไรมา!”

ได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้องนอน เฉินเกอก็ตอบอย่างรวบรัด “ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณอันตรายอะไรในบ้าน พวกคุณเข้ามาในนี้ได้”

เฉินเกอหยิบรองเท้าส้นสูงสีแดงแล้วเดินออกมาจากห้องนอน มืออีกข้างถือค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเอาไว้ และเจ้าแมวขาวก็ขดอยู่รอบไหล่ของเขา ด้วยลักษณะของเขาตอนนี้แล้ว เป็นไปได้ยากมากที่คนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา

“คุณเจออะไรบ้าง?” ชายมีรอยสักเดินเข้าไป เหตุผลที่เขาติดตามเฉินเกอก็เพราะว่าเฉินเกอนั้นทรงพลังมาก ดังนั้นโอกาสที่เขาจะหนีออกไปได้เมื่อติดตามเฉินเกอนั้นสูงที่สุด เป้าหมายของเขานั้นชัดเจนและเรียบง่าย

“ประตูถูกซ่อนเอาไว้ น่าจะมีห้องลับอยู่ในนี้” เฉินเกอเดินไปยังตู้ในห้องนั่งเล่นและผลักมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี หมอกสีเลือดนั้นเห็นได้ชัดจนแทบจะเหมือนวัตถุจริง ๆ มันพุ่งออกมาจากทางเข้าลับ และเหมือนกับคลื่นลูกหนึ่ง มันผลักเฉินเกอถอยหลังไปหลายก้าว

“นี่คือแหล่งที่มาของหมอกสีเลือด พวกเราต้องระวังให้มาก” หมอกสีเลือดนั้นทิ้งความรู้สึกเหนียวหนึบเอาไว้บนผิวของพวกเขา และมันก็ให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดเมื่อเดินผ่านไป เสื้อผ้าของพวกเขานั้นแนบติดกับร่างของพวกเขา และหลอดเลือดที่ในอากาศก็ราวกับกำลังพยายามคืบคลานเข้าไปในหูและรูจมูกของแต่ละคน

“คุณแน่ใจเหรอว่าพวกเราควรจะลงไป?” ลูกกระเดือกของชายขี้เมาสั่นระริก “ทำไมมันเหมือนกับพวกเรากำลังจะส่งตัวเองเข้าไปในกับดักเลยล่ะ?”

เขาส่ายหน้าและถอยไปก้าวหนึ่งทั้งที่ยังแบกหมอเอาไว้

หลังจากเฉินเกอเห็นทุกคนในกลุ่มเข้ามาใกล้ขึ้น เขาก็ออกความเห็น “ไม่มีใครรู้ว่าข้างในอุโมงค์ลับจะมีอะไรอยู่ พวกเราครึ่งหนึ่งควรจะอยู่จับตามองที่รอบ ๆ ด้านนอกนี่ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งตามผมลงไปที่นั่น นี่น่าจะเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด”

“คนที่อยู่ด้านนอกต้องไม่อ่อนแอเกินไป พวกเขาอย่างน้อยต้องสามารถเตือนพวกเราได้เมื่อถูกโจมตี ดังนั้นผมแนะนำให้มือกรรไกรกับตำรวจอยู่ข้างหลัง” เฉินเกอให้ความเห็นของตัวเอง ในทุกคนที่นี่ เขาเชื่อมือกรรไกรที่สุด “คนหนึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องบ้าคลั่งและอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีปืน มีพวกเขาคอยจับตามองทางออก นั่นน่าจะไม่เป็นปัญหาเกินไป

“ผมขออยู่ข้างนอกด้วยได้ไหม?” ชายขี้เมายกแขนสูง “ผมแบกคุณหมอเอาไว้ ดังนั้นจึงวิ่งได้ไม่เร็ว ถ้าผมตามคุณไป อาจจะตายครั้งเดียวสองศพ”

“คุณแน่ใจเหรอว่านั่นเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการอธิบายสถานการณ์ของคุณน่ะ?” ชายมีรอยสักเบ้ปาก อันที่จริง เขาก็ไม่อยากจะลงไปตามเส้นทางนี้เช่นกัน แต่เขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่เหมาะสมได้

“เอาละ พวกคุณสองคนอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่คนที่เหลือตามผมมา” จากนั้นเฉินเกอก็หันไปมองชายหน้ายิ้ม อันที่จริง ผู้ชายคนนี้น่าจะแข็งแกร่งที่สุดถัดจากเฉินเกอ แต่ทิ้งการปกป้องทางออกหนึ่งเดียวไว้กับคนแปลกหน้า เฉินเกอนั้นระแวดระวังเกินกว่าจะทำอะไรอย่างนี้ แต่ผิดจากที่เฉินเกอคาดเอาไว้ ชายหน้ายิ้มไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปที่ประตูและดูจริงใจ

“เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้กัน? ทำไมเขาถึงต่างไปจากผู้ชายที่อยู่บนรถเมล์ก่อนหน้านี้?” เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางพิจารณาผู้ชายคนนี้ใกล้ ๆ เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้เห็นความกระอักกระอ่วนและแข็งทื่อของสีหน้าของชายคนนี้ มีเหงื่อเป็นหยดสีแดงเลือดไหลลงไปตามจอนผมของเขา เขาดูเหมือนจะไปเจอเข้ากับปิศาจที่อยู่เหนือความคาดคิดของเขาที่ในเมืองหลี่ว่านนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการออกไปจากที่นี่เป็นที่สุด

เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียด เขาและชายหน้ายิ้มนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ พวกเขาทำงานด้วยกันเพราะว่ามีเป้าหมายเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาคิดไม่ตรงกันเมื่อไหร่ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะขายอีกคนออกไป

“นี่เป็นคนร้ายที่ผมได้รับมอบหมายให้มาจับกุม ดังนั้นผมต้องจับตามองเขาเอาไว้ ดังนั้น ต้องขอโทษด้วย แต่ว่าเขาไม่สามารถตามคุณลงไปที่นั่นได้” หลี่เจิ้งกดบ่าของเจียหมิงเอาไว้แน่นและน้ำเสียงของเขาก็มั่นคงไม่เปลี่ยนใจ

“คุณหาคนร้ายอันตรายได้ทุกหนแห่งที่นี่นั่นแหละ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานเพื่อความยุติธรรมที่นี่หายได้ยากกว่าเยอะ” เด็กนักเรียนมัธยมเผยร้อยยิ้มลึกลับ และสีหน้าของเขาก็ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ

“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอต้องการแยกเจียหมิงและหลี่เจิ้งและจากนั้นก็ใช้วิธีการของเขาประเมินว่าเจียหมิงคือเงานั่นหรือไม่ แต่ในเมื่อหลี่เจิ้งยืนยันท่าทีเช่นนี้ เฉินเกอก็ไม่ดึงดัน อย่างไร หลี่เจิ้งก็ยังมีพฤติกรรมอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ว่าเป็นปกติของเขาเอง ถ้าเขาส่งตัวเจียหมิงไปโดยไม่ลังเล อย่างนั้นเฉินเกอจึงจะเริ่มสงสัยขึ้นมา

“ช่วยพวกเราเฝ้าทางออกเอาไว้ พวกเราจะกลับมาไม่นาน” อุโมงค์ด้านหลังตู้นั้นแคบอย่างไม่น่าเชื่อ และบีบตัวเดินผ่านไปได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น แน่นอนว่า เฉินเกอเป็นฝ่ายนำไป เขาเรียกซู่อินออกมา ถือรองเท้าส้นสูงสีแดงเอาไว้แล้วคืบคลานไปข้างหน้าทีละก้าว หลังจากเดินไปได้ประมาณห้าเมตร เฉินเกอก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ถูกหุ้มห่อเอาไว้ในหมอกสีเลือดแล้ว แต่ว่าเขาตกลงไปในทะเลสาบเลือดแทน และทุก ๆ ก้าวนั้นก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับก้าวก่อนหน้า

เงานั่นวางกับดักชนิดแบบไหนไว้กันแน่? ถล่มทั้งตึกเพื่อฝังพวกเราทั้งเป็น? หรือว่าระเบิดประตูที่หลุดออกจาการควบคุมทิ้งและฆ่าพวกเราทั้งหมดไปพร้อมกัน?

ภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นในใจเขา แต่ก่อนที่เฉินเกอจะหาคำตอบได้ ประตูที่เสี่ยวปู้เปิดที่เมืองหลี่ว่านก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

ประตูของกรงเหล็กที่ใช้ขังแม่ของเสี่ยวปู้เอาไว้นั้นบิดเบี้ยวผิดรูป หลอดเลือดหนาคืบคลานพันเกี่ยวอยู่บนประตูเหมือนพวกมันมีความคิดเป็นของตัวเอง เทียบกับประตูธรรมดาแล้ว มีรายละเอียดมากมายที่ค่อนข้างเฉพาะกับประตูนี้

อย่างแรก ประตูที่เต็มไปด้วยหลอดเลือดพันเกี่ยวอยู่นี้นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกเหมือนมันจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างที่สอง ทั้งสี่ด้านของประตูนั้นดูเสียหายอย่างเห็นได้ชัด และตรงกลางประตูนั้นดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนหายไปเป็นชิ้นใหญ่ ถ้าประตูเทียบกับร่างกายคน มันก็เหมือนว่าส่วนหัวและแขนขาทั้งสี่ถูกตัดออกไป

“ดูที่ด้านล่างประตู” เฉินเกอพบความแตกต่างใหญ่ของ ‘ประตู’ นี้– มีนิ้วสีแดงดำหลายนิ้วเอื้อมออกมาจากที่ใต้ประตูดึงกรอบประตูไม้เอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันปิดสนิท

“ฉันเคยเห็นประตูมาหลายบาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจออะไรแบบนี้” นิ้วเหล่านี้นั้นมีปุ่มนูนและแผลหลุมเหมือนกับเหยื่อที่ป่วยโรคฝีดาษ ไม่ว่าอย่างไร ก็ดูน่ากลัวมากจริง ๆ

“นิ้วเหล่านี้น่าจะเป็นของวิญญาณสัมภเวสีของผู้ป่วยในโรงพยาบาลตอนที่เกิดโรคระบาดล้างเมืองหลี่ว่าน จำนวนคนที่ตายที่นี่นั้นไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ แต่มันก็ปกคลุมเมืองเล็ก ๆ นี้เอาไว้ด้วยความแค้นหนาหนักจนหายใจไม่ออก” ชายมีรอยสักเช็ดเหงื่อเย็นเยียบที่หน้าผาก เขาให้ตัวเองยืนอยู่ห่างจากนิ้วพวกนั้นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เงานั่นน่าจะเลือกประตูในเมืองหลี่ว่านเพราะต้องการใช้ความรู้สึกด้านลบมากมายเหล่านี้”

หมอกเลือดมากมายม้วนตัวออกมาจากช่องว่างที่ในประตู หมอกนั้นหนักไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กระทั่งเฉินเกอที่มีเส้นประสาทเหนียวราวกับเส้นลวดยังประสบกับภาพหลอนตอนที่เข้าไปใกล้กับประตู ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่เหลือเลย

“พวกเราเจอประตูแล้ว แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นทางออก” เฉินเกอมองผ่านซี่กรงเล็ก ที่อีกด้านของประตูนั้นเป็นสีแดงไปหมด “พวกเราพยายามทุบนิ้วพวกนี้ให้เป็นชิ้น ๆ เป็นไง? นั่นจะปลดพลังของพวกมันที่มีต่อประตูออกไปไหม?”

“พวกเราไม่ควรไปสนใจนิ้วพวกนั้น พวกมันก็แค่สิ่งหล่อเลี้ยงความเจ็บปวดและความรู้สึกด้านลบ พวกมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเราเลย” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหน้ายิ้มพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “เรื่องใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือนี่เป็นประตูที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ถ้าพวกเราอยากจะหนีออกไปทางประตูนี้ พวกเราต้องซ่อมส่วนที่หายไปของประตู”

“เมืองหลี่ว่านใหญ่เกินกว่าที่จะเล่นตามหาสมบัติแบบนั้น” ชายมีรอยสักยอมแพ้แล้ว “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงไม่มีคนคอยระวังที่นี่เอาไว้– ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด เงานั่นวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว– เขานำเราอยู่ก้าวหนึ่ง”

“อย่าเพิ่งยอมแพ้เร็วขนาดนั้น” เฉินเกอพิจารณาประตูที่เสียหายรุนแรงและจู่ ๆ ก็หันมาหาชายมีรอยสัก “ก่อนหน้านี้คุณพูดว่าคนนอกส่วนใหญ่ผ่านอพาร์ทเม้นท์ผีเพื่อเข้ามาที่นี่?”

“ใช่ แต่อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นก็เหมือนควันสายหนึ่ง” ชายมีรอยสักนั้นรู้สึกถึงความไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าเงานั่น หลายปีของการสืบของเขานั้นไร้ค่า

“ไม่ เงานั่นไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอย่างไม่มีจุดหมาย เขาต้องมีจุดประสงค์บางอย่างที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ผีขึ้นมา” เฉินเกอเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าประตู “อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นอยู่ที่เขตที่พักหมิงหยาง ผมเคยตามตำรวจเข้าไปในเขตที่พักหมิงหยางระหว่างการสืบครั้งหนึ่งของพวกเขาและพวกเราก็พบชิ้นส่วนร่างกายของเด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่น มีแขนขารวมสี่ข้างและศีรษะ ร่างกายที่ถูกแยกชิ้นส่วนของเธอถูกซ่อนเอาไว้ในสี่อาคารของเขตที่พักหมิงหยาง และศีรษะของเธอก็ถูกฝังเอาไว้ที่ตรงกลางของเขตที่พักอาศัย”

“คุณกำลังพยายามจะบอกอะไร?” ชายมีรอยสักยังจับความหมายของเฉินเกอไม่ได้

“เด็กหญิงที่ถูกฆ่าคือคนที่เปิดประตูบานนี้ เธอยังถูกแยกชิ้นส่วนและซ่อนเอาไว้ในเขตที่พักหมิงหยาง ซึ่งก็คือตำแหน่งของอพาร์ทเม้นท์ผี และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…” เฉินเกอชี้ไปที่ประตูสีเลือดที่หลุดออกจากการควบคุม “ไม่ใช่ว่าประตูนี้ดูเหมือนคนที่สูญเสียหัวและแขนขาทั้งสี่ไปหรอกเหรอ?”

นั่นทำให้ชายมีรอยสักเข้าใจขึ้นมา และเขาก็เป็นคนแรกที่อธิบายรายละเอียดเพิ่ม “สำหรับผู้ผลักประตูแล้ว ประตูคือหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงวิญญาณของพวกเขาหรือก็คือร่างกายของพวกเขา! ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว คุณกำลังบอกว่าชิ้นส่วนที่หายไปจากประตูถูกเงานนั่นเอาไว้ซ่อนไว้ที่เขตที่พักหมิงหยาง! ส่วนที่เหลือของเด็กหญิงก็คือประตูพัง ๆ นี่!”

“ผู้ผลักประตูที่เมืองหลี่ว่านนี่ไม่ใช่เงานั่น แต่ว่าก็ถูกเงานั่นควบคุม เพื่อที่จะเติมเต็มเป้าหมายของมัน มันจงใจทำให้ประตูหลุดออกจากการควบคุม ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้ผลักประตูคนแรกอยู่ที่ไหนกัน? เธอเลือกยอมแพ้ หรือว่าเธอถูกประตูนั่นควบคุมเอาไว้ด้วยสักวิธีการหนึ่ง?” เฉินเกอนั้นไม่ได้ค้นพบอะไรที่น่าทึ่ง แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่มีเวลาค่อย ๆ ย่อยเรื่องเหล่านี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ที่สุดเช่นนี้

“ดูเหมือนว่าตำแหน่งของประตูนั้นจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นแล้ว ผมประเมินสถานการณ์ทั้งหมดนี้ต่ำไป” ชายมีรอยสักมีสีหน้าขมขื่น “งั้น คุณจะไปที่อพาร์ทเม้นท์ผีตอนนี้เลยใช่ไหม? หลายปีมานี้ มีคนพยายามไปที่นั่นมากมายแต่ไม่มีใครได้กลับมาเลย”

“พวกเราต้องหาส่วนที่หายไปของประตูถ้ายังต้องการออกไปจากที่นี่” เฉินเกอโบกมือให้พวกเขาขยับตัว ได้เวลาที่พวกเขาจะไปแล้ว ”อุโมงค์นี่แคบเกินไป ถ้าเงานั่นวางกับดักไว้ที่นี่ พวกเราก็ไม่มีทางหนีแล้ว หลังจากพวกเราหาส่วนที่หายไปเจอ ผมยังต้องเปิดอุโมงค์นี้อีกครั้ง”

“ประตูที่สูญเสียการควบคุมนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของหมอกเลือดที่ปกคลุมเมืองหลี่ว่าน อันที่จริง พอคุณพูดถึง ผมก็ประหลาดใจว่าทำไมพวกเราถึงไม่เจอการต่อต้านเลย แน่นอนว่าไม่นับว่าเงานั่นวางแผนสละทิ้งที่นี่แล้วน่ะนะ” ชายมีรอยสักนั้นเข้าใจเงานั่นได้ดีกว่าใคร เขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากที่ด้านนอกอุโมงค์

“เป็นเจียหมิง!” ได้ยินเสียงร้อง คนในอุโมงค์ก็เดินเร็วขึ้น พอเฉินเกอพุ่งออกมา เขาก็เห็นมือสีแดงคู่หนึ่งคว้ามือกรรไกรเอาไว้และลากเขาขึ้นไปด้านบน ตอนที่เฉินเกอเริ่มไล่ตามพวกเขาไป มือกรรไกรก็หายลับไปในทางเดินแล้ว

รอบด้านเงียบอย่างน่าขนลุกเหมือนกับสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งในจินตนาการของเขาเท่านั้น หลี่เจิ้ง เจียหมิง มือกรรไกร และชายขี้เมา… ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้หายตัวไป มันใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี่

“คุณนี่มันปากศักดิ์สิทธิ์ดีแท้” เฉินเกอมองไปทางชายมีรอยสัก ฝ่ายหลังก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเหมือนกัน

“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอะไรต่อ? ไปที่อพาร์ทเม้นท์ผีหรือว่าไปตามหาพวกเขาก่อน?”

“พวกเราต้องไปช่วยพวกเขา” ช่วยเหลือเหยื่อผู้บริสุทธิ์จะทำให้เฉินเกอได้รับรางวัลเพิ่ม และเขาก็แน่ใจว่าคนที่ถูกจับตัวไปนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด– คนที่ยังอยู่กับเขานั้นเป็นปิศาจและฆาตกร เฉินเกอกำค้อนเอาไว้แล้ววิ่งไปทางที่มือกรรไกรหายตัวไปก่อนหน้านี้ เด็กนักเรียนมัธยมและชายมีรอยสักตามหลังเขาไปติด ๆ แต่ว่าชายหน้ายิ้มนั้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

“พวกแกทุกคนอยากตายขนาดนั้นเลยหรือ?” เสียงเย็น ๆ ดังมาจากปากที่มีรอยยิ้มแปะติดอยู่ ชายหน้ายิ้มมองเฉินเกอ “ประตูนี้เป็นแหล่งกำเนิดของหมอกสีเลือดและการวางกับดักเอาไว้ที่นี่นั้นส่งผลต่อประตูอย่างไม่คาดคิด นี่ขัดกับจุดประสงค์ของเงานั่น ดังนั้นเขาน่าจะใช้การค้นหาประตูของพวกเราทำให้พวกเราลดการระวังลงและค่อย ๆ ล่อพวกเราไปยังกับดักร้ายแรงอย่างช้า ๆ มากกว่า”

“ผมคิดต่างจากคุณ เงานั่นเก่งในด้านการทำสงครามจิตวิทยา– มันบอกใบ้เรานับครั้งไม่ถ้วนด้วยการบ่อนทำลายการสงบศึกของพวกเราเพื่อจุดประสงค์ของมัน ด้วยกลยุทธ์แบบนี้ ยิ่งพวกเรามีคนมาก มันก็ยิ่งง่ายที่จะยุแยง ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องทำร้ายคนพวกนั้น อีกอย่าง ผมรู้สึกเหมือนเขาเริ่มตื่นตระหนกเพราะสิ่งต่าง ๆ เริ่มหลุดออกจากการควบคุมของเขา นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขาเลือกที่จะเข้ามาสอดแทรกด้วยการกระทำชัดเจนอย่างนี้”

พวกสามสี่คนนั้นหายลับไปตามทางเดินแล้ว เฉินเกอที่ลากค้อนอยู่กลับไม่ได้ดูรีบร้อนมากนัก เขาตรวจดูทุกห้องทีละห้อง ในเมื่อยังมีที่ว่างในกระเป๋าสะพายหลังและในหนังสือการ์ตูน เขาก็จะฉวยเอาทุกอย่างที่เขาคิดว่าใช้การได้ไป

“แต่ไม่มีใครในพวกเราทำอะไรเสียหน่อยไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นเพราะคุณคาดเดาตำแหน่งของชิ้นส่วนที่หายไปของประตูได้ทำให้เงานั่นกระวนกระวาย?” ในใจชายมีรอยสัก เงานั่นก็เหมือนกับเทพเจ้าแห่งเมืองหลี่ว่าน และเทพเจ้านั้นไม่ทำอะไรผิดและไม่ตื่นตระหนก

“นั่นน่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ถ้าผมเดาไม่ผิด มันอาจจะเป็นเพราะว่ามีผู้มาเยือนคนอื่นมายังเมืองหลี่ว่านวันนี้ และเงานั่นก็ใช้เวลาหมดไปกับการรับมือกับผู้บุกรุกที่ว่า” เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตั้งแต่แรกที่เงานั่นไม่ลงมือกับเขาด้วยกำลังทั้งหมดแล้ว เงานั่นดูเหมือนจะวุ่นวายอยู่กับบางอย่าง เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกอย่างนั้นตอนที่เขาจัดการกับผีหิวโหยที่โรงแรม และหลังจากเขาตระหนักได้ว่าที่บ้านของฟ่านฉงนั้นมีอันตรายเท่า ๆ กัน ความสงสัยนั้นก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

“ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา” เฉินเกอสรุป “ผมไม่กลัวว่าเงานั่นจะออกมาหาพวกเรา ตราบใดที่เขาลงมือ ความลับของเขาก็จะถูกเปิดเผย ผมกลัวว่าเขาจะซ่อนตัวเองไว้ต่อมากกว่า ยิ่งเขาซ่อนลึกไปเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น”

อยู่รวมกับฆาตกรตัวจริงหลายคน เฉินเกอกลับไม่ได้รู้สึกผิดที่ผิดทาง อันที่จริง เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขากลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มไปแล้ว เฉินเกอมุ่งหน้าขึ้นบันไดไปแล้วก็พบว่ามีรอยเปื้อนรูปร่างคนสีเทาหลายรอยถูกทิ้งเอาไว้บนกำแพง ร่างของพวกเขาถูกบิดจนมีท่าทางต่างกันไป แต่ทั้งหมดแล้วบ่งบอกความเจ็บปวด

“ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอพาร์ทเม้นท์สำหรับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน และมันก็ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะเกิดโรคระบาด แต่ว่า เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักของผู้ป่วยโรงพยาบาลด้วยเหมือนกัน?” เฉินเกอไม่ได้แตะรอยเปื้อนเหล่านั้น เขาสงสัยว่าไพ่ตายของเงานั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยด้วยโรคระบาดพวกนั้น