จิ่วเจียงตะวันออกนั้นใหญ่มาก แต่เงานั่นเลือกเมืองหลี่ว่าน– ต้องมีเหตุผลเรื่องนั้น รอยเปื้อนรูปคนที่ระหว่างทางนั้นไม่มีรูปแบบให้คิดถึงได้ และเฉินเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมรอยพวกนี้ถึงถูกทิ้งเอาไว้บนกำแพง มันเหมือนพวกผู้ป่วยใช้วิธีการประหลาดเหล่านี้บันทึกความเจ็บปวดที่พวกเขาผ่านมา
“เป็นวิญญาณสัมภเวสีหรือเปล่า?” เฉินเกอยืนอยู่ที่ข้างรอยเปื้อนและใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงแตะไปที่รอยหนึ่ง รองเท้าส้นสูงซึ่งนิ่งเฉยมาตลอดจู่ ๆ ก็หลั่งเลือดสีแดงเข้มออกมา มันเหมือนมีคนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดหลังจากถูกทำให้เสียเกียรติ เห็นการตอบสนองจากรองเท้าส้นสูงสีแดงเฉินเกอก็ดึงรองเท้ากลับทันที “รอยเปื้อนบนกำแพงนั้นเป็นมากกว่าที่เห็น กระทั่งรองเท้าส้นสูงสีแดงยังไม่ยอมเข้าใกล้พวกมัน ดังนั้นนี่น่าจะหมายความว่ามีมากกว่าแค่วิญญาณสัมภเวสีธรรมดา”
เฉินเกอตรวจดูทุกห้อง แต่เขาก็ยังหาคนที่เหลือไม่เจอ “อพาร์ทเม้นท์ก็ใหญ่แค่นี้ พวกเขาจะไปซ่อนอยู่ที่ไหนได้? หรือว่าพวกเขาถูกดึงเข้าไปในกำแพงแล้วถูกเปลี่ยนไปเป็นรอยเปื้อนพวกนี้?”
กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ไปถึงที่ชั้นบนที่รอยเบื้อนบนกำแพงนั้นกลายเป็นมากมายนับไม่ถ้วน และสีก็เข้มขึ้นด้วยเช่นกัน มันเหมือนว่าพวกเขากำลังจะหนีออกมาจากกำแพงได้ในไม่ช้า
“ร่างกายของรอยเปื้อนทั้งหมดนี้นั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดชนิดไหนกันที่พวกเขาต้องเจอก่อนที่จะตายไป?” ประวัติของเมืองหลี่ว่านนั้นถูกลืมเลือนไป กระทั่งบนอินเตอร์เนตก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเล็ก ๆ นี้เพียงไม่มาก อันที่จริง มันเหมือนกับมีใครจงใจลบข้อมูลของพวกเขาออกจากบันทึก
“ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ในตึก อย่างนั้นพวกเขาก็คงถูกส่งออกไปผ่านช่องทางลับ” ชายมีรอยสักรู้สึกไม่สบายใจ “พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ก่อน ตราบใดที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นพวกเราก็ยังมีทางเลือก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราด้วย อย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้แล้ว”
“ตอนที่ผู้โดยสารคนหนึ่งถูกลากไป ผมสังเกตเห็นว่ามือที่จับเขาอยู่นั้นคล้ายกับรอยเปื้อนที่บนกำแพงพวกนี้ บิดเบี้ยวและมีรอยโรคฝีดาษ”
“คุณกำลังจะบอกอะไร?” ชายมีรอยสักนั้นไม่เข้าใจกระบวนการคิดของเฉินเกอ
“พวกคุณอาศัยอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่คุณไม่เคยเห็นรอยเปื้อนพวกนี้มาก่อน?” เฉินเกอโยนคำถามกลับไป
“ไม่! พูดโดยสัตย์จริงเลย ผมเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว แต่ตอนที่ผมมา รอยเปื้อนพวกนี้ไม่ได้มีอยู่ในตึก”
“หมายความว่าพวกมันเพิ่งปรากฏขึ้นที่นี่” เฉินเกอนั้นไม่สามารถลดความระมัดระวังลงได้ เขารู้ว่ารอยเปื้อนรูปคนเหล่านี้ที่กระทั่งรองเท้าส้นสูงยังไม่ยอมสัมผัสถูกเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเงานั่น ก่อนที่เฉินเกอจะเปิดไพ่ของตัวเอง เงานั่นก็ถูกบีบให้ต้องเผยไพ่ตายใบหนึ่งออกมาแล้ว
“ต้องเกิดบางอย่างขึ้นที่เมืองหลี่ว่าน ไม่อย่างนั้นเงานั่นจะไม่ทำอย่างนี้” เฉินเกอไม่สนใจรอยเปื้อนที่บนกำแพง และเปิดประตูที่นำไปยังดาดฟ้าออก เขาเดินผ่านประตูไป
สายลมพัดโหยหวนและหอบเอาความรู้สึกหายใจไม่ออกจากไปด้วย เฉินเกอมองท้องฟ้าด้านหลังหมอกเลือดและค่อย ๆ เลื่อนสายตาลงไปที่พื้น หมอกเลือดที่เมืองหลี่ว่านดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยบางอย่าง และมันก็กระเพื่อมไปทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน มันเหมือนว่าหมอกเลือดกำลังสร้างกำแพงเพื่อหยุดบางอย่างไม่ให้เข้ามา
“หมอกตรงนั้นมีบางอย่างน่าสงสัย” นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินเกอได้เห็นเมืองหลี่ว่านจากมุมสูง เทียบกับครั้งก่อนแล้ว สายตาของเขาดีขึ้นเพราะความช่วยเหลือจากดวงตาหยินหยาง เขามองเห็นได้ไกลกว่าเดิม
“แกมีผู้ช่วยเหลือคนอื่นเหรอ?” เป็นชายหน้ายิ้มที่พูดขึ้น สถานการณ์นั้นชัดเจน เหมือนที่เฉินเกอพูดถึงก่อนหน้านี้ มีกลุ่มที่สามมาถึงยังเมืองหลี่ว่าน และกลุ่มนี้นั้นก็ดึงดูดความสนใจส่วนใหญ่ของเงานั่นไป การคาดเดาของเฉินเกอทำให้ชายหน้ายิ้มตื่นตัว เขากลัวว่ากลุ่มกำลังใหม่นี้จะเกี่ยวข้องกับเฉินเกอ และถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะทำลายสมดุลของตาชั่งที่เปราะบางอยู่ก่อนแล้วระหว่างพวกเขา
“มันน่าจะไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือของผม และถ้าผมเดาไม่ผิด กลุ่มใหม่นี้ก็เป็นศัตรูของผมเหมือนกัน ความปรารถนาจะฆ่าผมของเขาไม่ต่ำไปกว่าเงานั่นแน่นอน” เฉินเกอบอกสิ่งที่เขาคิดออกมาตรง ๆ
“แกมีศัตรูเยอะเสียจริงนะ กระทั่งเวลาอย่างนี้ แกก็ยังมีศัตรูไล่ตามมา ฉันไม่รู้แล้วว่าควรจะบอกว่าแกโชคดีหรือโชคร้าย” ชายหน้ายิ้มยิ้มต่อ เฉินเกอนั้นสามารถดึงดูดความโกรธเกรี้ยวของตัวตนน่ากลัวได้มากมายขนาดนี้นั้นเป็นการแสดงว่าชายคนนี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
“นั่นเป็นแค่ข้อสงสัยของผมเท่านั้น…” เฉินเกอต้องการเดินไปต่อตอนที่มีเสียงตูมดังมาจากทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ กลุ่มของเฉินเกอก็ยังรู้สึกได้ว่าตึกที่พวกเขายืนอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย
“เป็นการต่อสู้แบบไหนกันเนี่ย?” ชายมีรอยสักเตือนเฉินเกอ “ตอนนี้เงานั่นถูกศัตรูของคุณดึงดูดอยู่ นี่เป็นช่วงเวลาอันดีให้พวกเราไปตามหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู ตอนที่พวกเราได้มันมาแล้ว พวกเราก็สามารถออกไปตอนไหนก็ได้ นั่นน่าจะเป็นจุดประสงค์ที่พวกเราต้องยึดมั่นเข้าไว้”
หมอกเลือดพุ่งไปทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่านไปล้อมส่วนนั้นของเมืองเล็ก ๆ เอาไว้ กระทั่งดวงตาหยินหยางของเฉินเกอก็ไม่สามารถมองผ่านหมอกไปได้ เขาบอกได้แค่ว่ามีบางอย่างที่สะดุดความสนใจของเขาอยู่ในหมอกเลือด ยืนอยู่ที่ขอบตึก เฉินเกอหรี่ตาลงมองโซ่ที่ตวัดไปมาอยู่ในหมอก สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เฉินเกอรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่อยู่ในโซ่และหมอก
“เขาดูเหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ที่นี่และกำลังเคลื่อนที่มาทางผม” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงบางอย่างและเปิดกระเป๋าสะพายหลังออก มีชายหน้ายิ้มและชายมีรอยสักจับตามองอยู่ เฉินเกอดึงเอารายชื่อผู้ป่วย จดหมายรัก และเอกสารปึกหนึ่ง และสุดท้ายก็คือใบปลิวที่พูดถึงสมาคมเล่าเรื่องผีออกมา
“มันน่าจะเป็นเพราะสิ่งนี้แหละ!”
ใบปลิวเดิมเป็นสีแดงเข้ม และครึ่งหนึ่งของประตูสีเลือดถูกพิมพ์เอาไว้บนนั้น แต่ว่า ประตูนั่นเป็นตัวแทนของความสยองขวัญและความสิ้นหวังที่ยังไม่ใช่เพียงแค่ถูกเปิดออก แต่ยังมีแขนบิดเบี้ยวที่มีโซ่พันอยู่ยื่นออกมาจากช่องเปิดแคบ ๆ ด้วย
แขนที่ยื่นออกมานอกประตูนั้นจับประตูเอาไว้เหมือนพยายามจะผลักให้ประตูเปิดให้กว้างที่สุด!
“ทำไมมันถึงเปลี่ยนไป? นี่เป็นสัญญาณบอกการกลับมาของเขา?” เฉินเกอนั้นเพิ่งหยิบใบปลิวออกมา สมองยังหมุนเพื่อหาทางแก้ไขตอนที่แขนบนใบปลิวนั้นเอื้อมออกมาภาพใบปลิวที่เป็นสองมิติโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า!
ปัง!
เฉินเกอถูกกระแทกถอยหลังไปด้วยแรงลึกลับ ตอนที่เขารู้สึกตัวก็เห็นแขนข้างนั้นจับแขนซู่อินเอาไว้ ซู่อินสลายแขนข้างนั้นของตัวเองทิ้งอย่างไม่ลังเล ยอมแพ้อย่างง่ายดาย และใช้แขนข้างที่เหลือพับใบปลิวเก็บไป
กลิ่นเลือดอ้อยอิ่งอยู่ที่จมูกเฉินเกอ หลอดเลือดคืบคลานออกมาจากร่างของซู่อินสร้างแขนใหม่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ แขนข้างใหม่นั้นก็ยังมีรอยฝ่ามือสีแดงอยู่รอบข้อมือซู่อิน
ซู่อินมองรอยฝ่ามือที่บนข้อมือตัวเอง ไม่สนใจมันโดยสิ้นเชิงก่อนที่จะหายตัวไป เสียงแทรกดังอยู่ในหูของเฉินเกอเป็นสัญญาณว่าเครื่องเล่นเทปนั้นทำงานได้ปกติดี มันเหมือนว่าซู่อินใช้วิธีการนี้ในการบอกเฉินเกอว่าเขาไม่เป็นอะไร
“นายไม่แม้แต่จะอยู่ให้นานอีกสักนิด เป็นเพราะนายไม่รู้ว่าจะรับความขอบคุณของฉันยังไงใช่ไหม?” หลังจากซู่อินเก็บใบปลิวไป ก็มีเสียงก้องดังมาจากทางตะวันออกของเมืองอีกสองสามครั้ง มันเห็นได้ชัดเจนว่าหมอกสีเลือดถูกผลักดันกลับมา และปิศาจนั่นก็เคลื่อนที่มาทางเฉินเกอช้า ๆ
“กับดับถูกวางเอาไว้ในใบปลิว และประตูที่บ้านผีสิงของฉันก็ถูกทำสัญลักษณ์ ดูเหมือนว่าคุณหมอเกาจะทำอะไรไว้มากมายก่อนตาย– จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ ในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?”
เฉินเกอแน่ใจว่านั่นคือคุณหมอเกาที่สู้อยู่กับเงานั่นที่ทางตะวันตกของเมืองหลี่ว่าน อย่างไรเสีย สมาชิกของสมาคมเล่าเรื่องผีที่ยังเหลืออยู่ก็คือเฉินเกอและคุณหมอเกา เฉินเกอไม่ได้เป็นคนวางกับดัก ดังนั้นคนเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือคุณหมอเกา
ตอนที่เฉินเกอกำลังตรึกตรอง หมอกเลือดก็ถูกผลักกลับมาอีกครั้ง ประธานคนใหม่และคนเก่าของสมาคมเล่าเรื่องผีมาเจอกันเข้าที่เมืองหลี่ว่าน และเหยื่อผู้โชคร้ายรายแรกก็คือเงานั่นที่ถูกบีบเอาไว้ตรงกลาง