ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK

สารบัญ อาณาจักรวิญญาณ

••••••••••••••••••••

**บทที่****254:**มังกรที่น่าเกรงขาม

ซ่งจงไม่เคยคาดคิดว่ามังกรตัวเมียตนนี้จะบ้าคลั่งมากถึงเพียงนี้ หลังจากที่พูดคุยกับเขาเพียงชั่วครู่ นางเริ่มแสดงท่าทีอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่านางเป็นพวกชื่นชอบการฝึกฝนแบบผิดปกติ ปรากฏคลื่นลมรุนแรงพุ่งออกมาด้านหน้า ส่งก้อนหินทั่วทั้งบริเวณพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่ซ่งจง แน่นอนว่าเพียงแค่แรงลมก็สามารถฉีกเขาเหล่านั้นเป็นชิ้นได้แล้ว

ขอบคุณสวรรค์ ซ่งจงนั้นไม่อ่อนแอ แสงศักดิ์สิทธิ์ของร่างกายเขาเปิดการใช้งานทันที มันป้องกันหินและแรงลมอย่างได้อย่างสวยงาม ดังนั้นที่เหลือก็คือซ่งจงต้องอดทนต่อความรุนแรงของหมัดเอาไว้

อย่างไรก็ตามในขณะที่เขารับกำปั้นไว้ได้ พลังของมันช่างน่ากลัวและไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะอดทนต่อมันได้ทั้งหมด เขากระเด็นออกไปสูงกว่าร้อยฟุตก่อนที่จะล่วงลงมา

ซ่งจงมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หลังได้รับการปรับแต่งจากไฟต้นกำเนิด พลังกายก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัวไม่น้อย ความแข็งแกร่งนี้เทียบเท่าอุปกรณ์วิเศษเลยทีเดียว ทว่าขณะนี้สภาพของเขากลับน่าเวทนายามต้องรับการโจมตีที่รุนแรง แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก ยามเมื่อปีนขึ้นจากกองหินที่พังทลายสภาพของเขานั้นยังปกติดีอยู่

จักรพรรดินีเห็นเช่นนั้น นางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ไม่เลว ไม่เลวเลย ข้าใช้พลังห้าในสิบที่มีและเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ในตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะต้องเสียเลือดสักเล็กน้อยด้วยซ้ำ!”

ซ่งจงนั้นไม่ได้พ่นเลือดออกมาเพราะการโจมตี แต่เขารู้สึกอยากจะอ้วกเป็นเลือดเพราะคำพูดของนาง จากนั้นเขาคิดในใจ ‘สตรีบ้าคลั่งเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? นางต้องการให้ข้าพ่นเลือดออกมาในครั้งแรกที่พบกัน นี่คือวิธีต้อนรับแขกงั้นหรือ?’

ไม่เพียงแค่ซ่งจง เหลยซานเอ๋อและเหล่าเฟิงก็รู้สึกกังวลอย่างมาก การที่จักรพรรดินีดื้อดึงเช่นนี้ นางจะไม่พลั้งมือกับซ่งจงจนตายแน่นอน ทั้งคู่เลยทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นและไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด

แต่ในขณะนั้นจักรพรรดินีเหมือนจะสนุกกับการเล่นครั้งนี้แล้ว นางไม่รอให้ซ่งจงกล่าวอะไรพร้อมกับยืนหัวเราะอยู่ตรงหน้าเขา “เจ้ายอดเยี่ยมมากที่รับการโจมตีข้าได้ งั้นมาลองกันอีกครั้งเถอะ!”

ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น จักรพรรดินีปล่อยกำปั้นที่บ้าคลั่งใส่ซ่งจงอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้ซ่งจงทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น แต่เขาไม่สามารถทนต่อการโจมตีทุกครั้งได้ เขากระเด็นลอยไปไกลทุกครั้งเมื่อต้องรับการโจมตี แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตี แต่เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวด ซ่งจงรู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย ท้ายที่สุดซ่งจงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาปล่อยเสียงคำรามออกมา พร้อมกับปลดปล่อยการโจมตีที่บ้าคลั่งเช่นกัน เขาไม่ได้ปฏิบัติกับนางดังเช่นสตรีทั่วไป เขาปล่อยหมัดสุดกำลังไปที่หน้าอกของนางสองครั้งอย่างเต็มแรง

แต่ช่างน่าเวทนา ซ่งจงนั้นเรียนรู้เพียงเคล็ดวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และไม่เคยเรียนรู้วิชาการต่อสู้ระยะประชิดเลย แต่อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีนั้นเชี่ยวชาญอย่างมาก นางป้องกันการโจมตีของเขาอย่างง่ายดาย ไม่ยอมให้เขาแตะแม้แต่ปลายเสื้อของตน นอกจากนี้นางยังโต้กลับด้วยการโจมตีที่รุนแรงขึ้น

ตอนนี้ซ่งจงพบกับปัญหาใหญ่ เขากลายเป็นกระสอบทรายที่ถูกทุบตีจนกระเด็นลอยออกไปตลอด ทั่วทั้งเกาะเต็มไปด้วยหลุมและซากกองหินที่แตกหักเพราะพวกมันต้องรองรับร่างกายของซ่งจง

การทุบตีที่โหดร้ายนี้ดำเนินการไปเนิ่นนานเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ในขณะนี้ซ่งจงไม่ได้อยู่ในรูปร่างของมนุษย์อีกแล้ว ชุดคลุมทั้งหมดของเขาถูกทำลายเหลือไว้เพียงกางเกงในที่ถูกสร้างมาอย่างดี ร่างกายของซ่งจงเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะยืนขึ้นอีกต่อไปแล้ว

จักรพรรดินีกำลังมีความสุขอย่างมาก ซึ่งมันตรงกันข้ามกับซ่งจงที่อยู่ในสภาพที่น่าสังเวช นางเหยียดร่างกายอย่างเกียจคร้านพร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “ข้าไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว! ในขณะที่เจ้าดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่กลับอดทนต่อการโจมตีได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งร่างกายของเจ้ายังแข็งแกร่งมาก เหล่าเฟิง เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเจ้ามากนัก! เจ้าเป็นอสูรกายขั้นหก แต่ทำไมถึงไม่สามารถเทียบกับมือใหม่ขั้นสี่ได้?”

เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางหันหน้าไปหาเหล่าเฟิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูก

สำหรับเหล่าเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างเสียใจ “ฝ่าบาท ท่านกำลังล้อเล่นงั้นหรือ? แม้เหล่าเฟิงไม่ได้มีพรสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอก ถูกไหม?”

“มันเป็นเรื่องจริง!” จักรพรรดินีไขว้มือไว้ด้านหลังพร้อมกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “โดยเฉพาะการโจมตีครั้งสุดท้ายของข้านั้นใช้กำลังมากถึงเจ็ดในสิบ แต่ทำร้ายเขาได้เพียงเล็กน้อย ถ้าหากเป็นเจ้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถอยู่ในสภาพเดียวกับเขาได้ ถูกไหม?”

เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาอุทานออกมา “เรื่องเช่นนี้มันไม่ถูกต้องเลย เขา… เขาบ้าพลังเกินไปแล้ว!”

“อืม แน่นอน แต่อย่างไรก็ตามเขามีลายเส้นสายธารโลหิต นั่นคือสิ่งที่ลึกลับอย่างมาก มันสามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้ถึงสามในสิบ นอกจากนี้มันยังซึมซับปราณจิตวิญญาณของข้าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขา ต้องยอมรับว่าเต่าดำตนนี้มีการป้องกันที่ยอดเยี่ยมมาก! แม้แต่ข้าที่มาจากเผ่ามังกรศักดิ์สิทธิ์ยังขอยอมแพ้ในเรื่องนี้!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าเฟิงตอบกลับ “เหตุใดกัน? ฝ่าบาทยืนยันได้แล้วงั้นหรือ?”

“แน่นอน มีเพียงเต่าดำที่เก่าแก่มาก ๆ เท่านั้นจึงจะสามารถรับการโจมตีของข้าได้! แม้ว่าความจริงเขาจะดูแปลกนิดหน่อย แต่ร่างกายของเขามีสายเลือดแห่งจักรพรรดิเต่าดำแน่นอน!”

ซ่งจงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านทุบตีข้าจนสภาพเป็นเช่นนี้ เพื่อที่จะยืนยันตัวตนของข้างั้นหรือ?”

“ฮี่ฮี่!” ในขณะที่จักรพรรดินีกล่าวเช่นนั้น นางหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน “เป็นเช่นนั้น! ท้ายที่สุดแล้วสายเลือดแห่งจักรพรรดิอสูรกายนั้นสำคัญอย่างมากและข้าต้องตรวจสอบให้ชัดเจน!”

“ท่านไม่สามารถตรวจสอบด้วยวิธีที่ดีกว่านี้งั้นหรือ?” ซ่งจงอดไม่ได้ที่จะท้วงถาม

“มันไม่ดีงั้นหรือ? เจ้าได้ฝึกฝนร่างกายและข้าได้มีความสุขกับการเล่นสนุก เราฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว!”

หลังจากซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบจะตายอยู่ตรงนั้น แต่ในตอนนี้เขาอยู่ในพื้นที่ของนาง เขาจึงทำได้เพียงลดระดับความโกรธพร้อมตอบกลับอย่างเฉื่อยชา “ยอดเยี่ยม!”

“ฮี่ฮี่!” เมื่อเห็นซ่งจงแสดงท่าทีเช่นนั้น จักรพรรดินีรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่พอใจ ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “เอาล่ะ ข้าเพียงออกกำลังกายเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นคนคิดมากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงจะต้องชดเชยด้วยการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์!”

“ข้าไม่ต้องการมัน!” ซ่งจงกำหมัดพร้อมคำนับและกล่าวว่า “ข้าไม่เต็มใจที่จะเป็นพระราชาหรือว่าผู้สืบทอด! ข้าต้องการที่จะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝน วันหนึ่งเมื่อข้าวิ่งแซงหน้าท่านไป ข้าจะกลับมาทุบตีท่านเพื่อระบายความโกรธของข้า!”

“ฮ่าฮ่า!” เมื่อจักรพรรดินีได้ยินเช่นนั้น นางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ยอดเยี่ยม เจ้าช่างมีความทะเยอทะยาน! แต่เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์! เพราะว่าเจ้ามีสายเลือดแห่งจักรพรรดิอสูรกาย ผู้ที่มีสายเลือดแห่งราชวงศ์จะต้องดูแลเหล่าอสูรกายทั้งหมดในทะเลตะวันออก ตอนนี้มีเพียงเราสองคนที่เหลืออยู่ ถ้าเจ้าไม่สืบทอดแล้วผู้ใดกันจะทำหน้าที่นี้?”

“เราไม่สามารถละทิ้งมันได้งั้นหรือ? ข้าต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ!” ซ่งจงตอบกลับทันที

“ข้าขอโทษด้วย เจ้าไม่สามารถหนีไปไหนได้!” จักรพรรดินีกล่าวออกมา “ในอีกสองร้อยปีข้าจะต้องเข้ารับทัณฑ์เมฆา ถ้าหากว่าข้าทำไม่สำเร็จ ร่างกายของข้าจะถูกทำลายและไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย และถ้าหากข้าทำสำเร็จ ข้าจะจากโลกนี้ไปอยู่โลกใหม่ เพราะว่าโลกนี้ไม่เหมาะกับข้าอีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทะเลตะวันออกจะต้องถูกปกครองโดยเจ้าในอีกร้อยปีข้างหน้าอย่างแน่นอน!”

“อะไรนะ?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างสับสน “หลังจากนี้ร้อยปีข้าคงพัฒนาได้มากที่สุดเพียงแค่ขั้นห้าเท่านั้น แต่ท่านกลับต้องการให้ข้าปกครองอสูรกายขั้นหกงั้นหรือ? ท่านกำลังกล่าวเรื่องตลกอะไรกัน? มันคงมหัศจรรย์มากถ้าหากพวกเขาฟังข้า!”

“อย่าเล่นตลกกับข้า! ความแข็งแกร่งของเจ้าในขั้นสี่ สามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ ถ้าหากอีกร้อยปีเจ้าอยู่ในขั้นห้า แน่นอนว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะเหล่าเฟิงได้!”

เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความอึดอัดใจ สำหรับซ่งจงเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านกล่าวเกินจริงมากไป!”

“ไม่เกินจริง!” จักรพรรดินีกล่าวออกมาอย่างขึงขัง “เจ้าแตกต่างจากคนอื่นตรงที่มีสายเลือดแห่งจักรพรรดิ ด้วยสายเลือดที่มีเจ้าอยู่ในกลุ่มนักสู้ที่แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ของเต่าดำ สิ่งที่เจ้าได้รับคือพรจากสวรรค์ การฝึกฝนของเจ้านั้นแตกต่างจากคนอื่น อีกทั้งการต่อสู้ของเจ้ายังเหนือว่าระดับของตนเองหนึ่งขั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ในอนาคตทะเลตะวันออกจะต้องตอบรับเจ้าอย่างแน่นอน!”

“แต่…” ซ่งจงต้องการปฏิเสธแต่ถูกขัดจังหวะโดยจักรพรรดินี “ไม่มีแต่! เพราะว่าเจ้ามีสายเลือดแห่งราชวงศ์ หน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมดเจ้าต้องแบกรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาดในเผ่าพันธ์ของเต่าดำ!”

หลังจากที่จักรพรรดินียื่นคำขาด ซ่งจงจะสามารถต่อต้านนางได้อย่างไร? ถ้าหากเขายังดื้อดึง มังกรดุร้ายตนนี้จะสังหารเขาทันที จากนั้นเขาจึงกล่าวออกไปอย่างขื่นขม “ก็ได้ ข้ายอมแล้ว!”

“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม!” จักรพรรดินีระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “อ้าว พวกเจ้ามัวยืนทำอะไร ทำไมยังไม่แสดงความเคารพต่อเจ้าชายอีก?”

“แสดงความเคารพเจ้าชาย!” เหล่าเฟิงและเหลยซานเอ๋อกล่าวออกมาพร้อมกับคุกเข่า

เมื่อได้ยินว่าทั้งคู่เรียกเขาว่าอย่างไร เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก เขาเป็นเพียงมนุษย์ที่บริสุทธิ์และได้พบเจอกับเหล่าอสูรกายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าชายแห่งทะเลตะวันออกไปแล้ว! สถานะของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งรับได้ทัน!

ในช่วงเวลาที่ซ่งจงกำลังฝันกลางวันอยู่นั้น จักรพรรดินีหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกมือ “เด็กน้อย เรือมังกรทองคำเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าจะมอบมันให้เป็นของขวัญกับเจ้าเนื่องในโอกาสที่เราได้พบกัน!”

“ว่าอะไร?” ซ่งจงตกตะลึงทันที เรือมังกรทองคำนั้นเป็นสมบัติที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่นางกลับยกให้เขาง่ายเช่นนี้งั้นหรือ?

เมื่อจักรพรรดินีเห็นซ่งจงตกใจ นางหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เด็กน้อยเอ๋อ อย่าได้คิดว่ามันมีประโยชน์หรือล้ำค่านักเลย หลังจากที่เจ้าได้ใช้มัน เจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งนี้นั้นแทบจะทำให้เจ้าเป็นบ้าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอาจไม่คิดจะใช้มันอีกแล้ว!”

เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาคิดภายในใจ ‘อย่าบอกนะว่ามีบางอย่างที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเรือมังกรทองคำ?’

จักรพรรดินีไม่สามารถอธิบายทุกอย่างให้ซ่งจงเข้าใจได้ นางหันหน้าไปหาเหล่าเฟิง “เจ้าชายมีสายเลือดแห่งเต่าดำและชื่นชอบน้ำ ใครที่ใช้วังวารีบริสุทธิ์อยู่?”

“รายงานฝ่าบาท เอ๋าเทียนใช้มันอยู่!” เหล่าเฟิงรีบตอบกลับ “เขายังมีสิทธิ์ที่จะใช้มันอีกร้อยปี!”

“บอกให้เขาไปเสีย จากนี้ต่อไปวังวารีบริสุทธิ์จะยกให้กับเจ้าชาย!” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางชี้ไปที่ซ่งจง

เหล่าเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น เขาหยิบธนูขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “รับทราบ! ข้าจะไปจัดการกับเอ๋าเทียนและขับไล่เขาเอง!”

“แน่นอน เขาเป็นเพียงเต่าชราภาพและอยู่ในตระกูลเดียวกันกับเด็กน้อยผู้นี้ เขาคงจะรู้สึกไม่ชอบใจสักเล็กน้อย” จักรพรรดินีกล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง “น่าเสียดายที่สายเลือดของเขานั้นจางเกินไป ไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในสิบของเด็กคนนี้ ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนมากมายเพียงใด ขั้นเจ็ดคือขีดจำกัดของเขาแล้ว!”

“ใช่แล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว!” เหล่าเฟิงกล่าวเสริม

“ลืมมันไป เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เขาจะต้องไปจัดการด้วยตนเอง!” จักรพรรดินีกล่าวพร้อมกับยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน “วันนี้เป็นวันที่ข้าได้พบกับการต่อสู้ที่ดี ตอนนี้ข้าจะกลับไปพักผ่อน พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้รบกวนข้าเป็นเวลาสิบปี ถ้าไม่เช่นนั้นจงเตรียมรับผลที่จะตามมา!”

เมื่อนางกล่างเช่นนั้น นางหันหลังและหายไปจากสายตาของพวกเขา ซ่งจงนั้นมองเห็นมังกรตัวใหญ่กว่าพันฟุต เกล็ดของมันดำสนิทบินอยู่ในอากาศและหายไปในก้อนเมฆอย่างรวดเร็ว

นางอยู่ขั้นหกอย่างสมบูรณ์แล้วและมีสายเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากวันหนึ่งนางเข้าสู่ขั้นเจ็ดหรือแปดพร้อมด้วยสายเลือดนี้ นางจะน่ากลัวเพียงใด? เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่งจงรู้สึกหวาดกลัวมังกรยักษ์ตนนี้ เขามองตามนางไปโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

เหล่าเฟิงไอเบา ๆ สองครั้งเพื่อเรียกให้เจ้าอ้วนคืนสติ จากนั้นเขาคำนับและหัวเราะออกมา “ยินดีด้วยเจ้าชาย ขอแสดงความยินดีที่ท่านได้รับขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทะเลตะวันออก เรือมังกรทองคำ!”

เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขานึกบางสิ่งขึ้นมาได้พร้อมกับรีบถามทันที “อย่าเพิ่งรีบแสดงความยินดีกับข้าเลย ข้าขอถามอะไรสักอย่าง เรือมังกรทองคำนั้นมีอะไรงั้นหรือ? เหตุใดจักรพรรดินีจึงไม่อยากใช้มัน?”

“ฮี่ฮี่!” เหล่าเฟิงยิ้มออกมา “แท้จริงแล้วไม่มีอะไรมาก นั้นเป็นเพราะว่าสิ่งนี้ใช้จ่ายสิ้นเปลืองมากเกินไป!”

“ใช้จ่ายมากเกินไป? หมายความว่าอะไร?” ซ่งจงถามอย่างสับสน

“อย่างเช่นเรือมังกรทองคำนั้นใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากและอย่างน้อยต้องใช้หินจิตวิญญาณระดับสูง ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้มันแน่นอนว่าจะต้องเสียเงินจำนวนมาก ซึ่งท่านคงรู้ดีว่าหินจิตวิญญาณระดับสูงนั้นหาได้ยากยิ่ง มันไม่เพียงแค่พบชิ้นเดียวในเหมืองจำนวนหนึ่งร้อย แต่มันยังเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วโลกนิยมใช้เพื่อฝึกฝน ใครกันจะยินยอมใช้มันสำหรับการเดินทาง? อย่างน้อยที่สุดขาของพวกเขาเองก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับหินจิตวิญญาณระดับสูงได้!”

เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจไปชั่วขณะพร้อมถามว่า “แต่นางเป็นจักรพรรดินี? อย่าบอกนะว่านางไม่สามารถจ่ายหินจิตวิญญาณจำนวนเล็กน้อยเหล่านี้เพื่อเดินทางได้?”

“จำนวนเล็กน้อยงั้นหรือ?” เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะอย่างขื่นขม “ฝ่าบาทน้อย เรือมังกรทองคำนั้นเผาไหม้หินจิตวิญญาณทุกสิบนาที ระยะทางประมานสามพันลี้ ทะเลตะวันออกนั้นกว้างใหญ่มาก อย่างน้อยระยะทางคือหมื่นลี้ต่อการเดินทางจากเกาะหนึ่งไปเกาะหนึ่ง เช่นนี้จะต้องสูญเสียหินจิตวิญญาณไปมากมายเท่าใด? จักรพรรดินีเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่นิ่งได้และคิดไปไหนมาไหนตลอดเวลา แม้ว่าเราจะมอบหินจิตวิญญาณระดับสูงทั้งหมดที่มีอยู่ในทะเลตะวันออกให้กับนาง แน่นอนว่ามันก็ยังไม่เพียงพอ!”