ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
**บทที่****256:**เต่าทะเลอายุพันปี
แน่นอนว่าซ่งจงจะไม่ดูหมิ่นใครที่แข็งแกร่งกว่า เขารีบคำนับกลับทันที หลังจากนั้นทั้งคู่ยิ้มให้กันด้วยความพอใจ ทั้งหมดรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง ในตอนนี้ซ่งจงได้เปลี่ยนไปและไม่น่าสมเพชอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าวังที่หรูหราตรงหน้าเขาได้ วังวารีบริสุทธิ์นี้เป็นที่อยู่ของผู้ฝึกตนโบราณ แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่มาก ด้านในเต็มไปด้วยค่ายกล อีกทั้งตกแต่งด้วยดอกไม้มากมาย อุปกรณ์ตกแต่งของมันทำมาจากปราณจิตวิญญาณ หากเดินเข้าไปด้านในจะสัมผัสได้กับปราณจิตวิญญาณที่หนาแน่นอย่างมาก ทุกคนที่เหยียบลงบนหยกขาวในตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับทิวทัศน์ที่สวยงาม
สุดท้ายแล้วซ่งจงและพวกพ้องได้เข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของวังวารีบริสุทธิ์ที่หรูหรา มันกว้างกว่าร้อยฟุตพร้อมกับมีโคมไฟระย้าอยู่กลางห้องโถงย้อยลงมาอย่างสวยงาม ทั้งหมดนั่งลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจตำแหน่งของตนเอง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเองอย่างมาก ด้านหน้าของทุกคนนั้นเป็นโต๊ะหยกและเต็มไปด้วยผลไม้และไวน์ชั้นเลิศ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเทียบเท่าผลไม้บนเรือมังกรทองคำได้ แต่มูลค่าของพวกมันนับได้ว่าสูงมากเช่นกัน หลังจากที่ทั้งหมดนั่งลง เอ๋าเทียนได้ถามถึงชาติกำเนิดของซ่งจง เหล่าเฟิงรีบแนะนำซ่งจงอย่างรวดเร็ว เขาเน้นสิ่งสำคัญสองอย่าง อย่างแรกเขาเล่าถึงความแข็งแกร่งของซ่งจง วิธีที่ซ่งจงใช้ทำร้ายผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินและเขารับมือกับจักรพรรดินีได้อย่างไร แน่นอนเพื่อรักษาใบหน้าของซ่งจงไว้ เขาไม่ได้เล่าว่าซ่งจงถูกทุบตีอย่างน่าสังเวช เขากล่าวเพียงว่าแม้แต่จักรพรรดินียังยอมรับในความแข็งแกร่งของซ่งจง
ประการอื่นเกี่ยวกับเรื่องที่ซ่งจงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชายสืบทอดบัลลังก์พร้อมด้วยวังวารีบริสุทธิ์จะมอบให้กับซ่งจงและสถานที่แห่งนี้จะได้รับการเปลี่ยนชื่อว่าวังแห่งผู้สืบทอด
เมื่อได้ยินเรื่องแรก เอ๋าเทียนตกใจและเข้าใจทุกอย่างพร้อมยกย่องซ่งจงอย่างแท้จริง หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่สอง ทุกอย่างเป็นไปตามที่เหล่าเฟิงคาดไว้ เอ๋าเทียนไม่ได้ตกใจมากนักและไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด แต่เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “แน่นอน ความจริงแล้วนอกเหนือจากเจ้าชายคงไม่มีผู้ใดเหมาะสมที่จะอาศัยอยู่ที่วังวารีบริสุทธิ์!”
เมื่อซ่งจงเห็นว่าเอ๋าเทียนมีท่าทีอย่างไร มันก็คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าหากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง นอกจากนั้นสถานที่แห่งนี้เอ๋าเทียนจ่ายหนักมากเพื่อได้มันมาและคงไม่ถูกต้องสำหรับซ่งจงที่จะเข้ามาแย่งชิงมันไป ซ่งจงยกกำปั้นขึ้นเพื่อทำความเคารพเขาอย่างจริงใจ “ข้าต้องขออภัยจากใจที่เข้ามายึดครองพื้นที่ของท่านทันทีที่มาถึง ทั้งที่ท่านใช้จ่ายเงินไปเยอะมาก แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะจ่ายเงินเพื่อเช่าสถานที่แห่งนี้ต่อ แน่นอนว่าข้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์!”
“ว่าอะไร?” เมื่อเอ๋าเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาโบกมือพร้อมกับกล่าวว่า “ฝ่าบาทน้อยเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะสามารถรับเงินของท่านได้อย่างไร? ข้าเป็นเพียงชายชราผู้ยากจน แน่นอนว่าข้าจะต้องนำบางสิ่งบางอย่างออกไปจากที่นี่สักเล็กน้อย!”
“เรื่องนั้น…” เมื่อเห็นว่าเขายังสุภาพ ซ่งจงไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อ อย่างไรก็ตามเอ๋าเทียนกล่าวต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ซ่งจง “ฝ่าบาท ฝ่าบาทน้อย ข้าได้เห็นเลือดเนื้อที่แท้จริงของท่านแล้ว ถ้าหากท่านจะให้อะไรกับข้า มันไม่เท่ากับการตบหน้าข้างั้นหรือ? ถ้าในอนาคตข้าได้พบกับพี่น้องเต่าดำ ข้าคงไม่มีใบหน้าที่จะไปพบพวกเขาอย่างแน่นอน ปล่อยให้ข้าทำแบบนี้เถิด ได้หรือไม่?”
ได้ยินว่าเอ๋าเทียนกล่าวอะไร ซ่งจงเลิกมากพิธีรีตองอีกต่อไป เขากล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ย่อมได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรับมันไว้และจะตอบแทนท่านในอนาคต!”
เอ๋าเทียนนั้นรอคอยคำนี้อยู่ เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเมื่อซ่งจงได้พัฒนาไปอย่างไร้ขีดจำกัด!
อย่างไรก็ตามในขณะที่เอ๋าเทียนกำลังคิดเรื่องนี้ เขากล่าวออกมาอย่างใจกว้าง “ฝ่าบาทช่างสุภาพมากนัก มากเกินไป! นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ได้โปรดอย่านำไปใส่ใจ! มาเถิด มาดื่ม!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขายกแก้วไวน์ขึ้น
แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่ล่าช้าและรีบยกแก้วไวน์ของตนเองทันที
หลังจากดื่มไวน์ เอ๋าเทียนคิดอะไรสักอย่างได้พร้อมกับถามออกมา “ฝ่าบาทมาที่นี่อย่างเร่งรีบ ท่านมีองครักษ์หรือยัง?”
“องครักษ์?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างขื่นขม “เรื่องนั้น… ยังไม่มี!”
“ฮ่าฮ่า!” เอ๋าเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาตบต้นขาตนเองพร้อมกับตะโกนออกมา “ด้วยสถานะของท่าน เหตุใดจึงยังไม่มีองครักษ์?”
“เรื่องนั้น…” ซ่งจงมึนงงจนไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา
เอ๋าเทียนลูบมืออย่างคาดหวังพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านคิดอย่างไรกับชายชราผู้นี้? ถ้าหากท่านไม่รังเกียจ ทำไมท่านไม่ให้ชายชราผู้นี้เป็นพ่อบ้านและองครักษ์ให้ท่านล่ะ?”
“ว่าอะไร?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจและรีบถาม “ท่านอยู่ในระดับหก อีกทั้งเป็นอาวุโส แต่ต้องการจะเป็นพ่อบ้านน่ะหรือ? เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”
“มันเป็นเรื่องปกติ! ท่านคือเต่าดำที่มีลายเส้นสายธารโลหิต! ไม่ต้องกล่าวถึงพ่อบ้านที่อยู่ในระดับหก โดยปกติแล้วท่านจะต้องมีองครักษ์อยู่ในระดับเจ็ดถึงแปดด้วยซ้ำ! นอกจากว่าท่านจะไม่ได้สนใจในชายชราผู้นี้มากนัก!?” เอ๋าเทียนกล่าวพร้อมกับมองไปที่เหล่าเฟิงอย่างกังวล “เหล่าเฟิงช่วยข้ากล่าวอะไรสักอย่างสิ!”
เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาเผยเสียงหัวเราะอันขมขื่นออกมา จากนั้นเขาส่ายหัวพร้อมกล่าวกับซ่งจง “ฝ่าบาทน้อย ศิษย์พี่เอ๋าเทียนนั้นมีความภักดีและเชื่อถือได้ อีกทั้งเขายังมีความสามารถบางอย่าง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีใครดูแลท่าน ท่านควรรับเขาไว้!”
สำหรับเหลยซานเอ๋อที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น นางกล่าวเสริม “ฝ่าบาทน้อย อาวุโสลุงเอ๋าเป็นคนดี เขาดูแลซานเอ๋ออย่างดีเสมอมา รับเขาไว้เถิด! เขาเป็นคนซื่อสัตย์แน่นอน!” เมื่อซ่งจงได้ยินว่าทั้งหมดกล่าวอะไร เขารู้สึกงุนงงอย่างช่วยไม่ได้ เหตุใดกันเขาจึงอยากจะเป็นพ่อบ้านให้กับซ่งจง ราวกับว่ามันได้รับเกียรติมาก?
ซึ่งความจริงแล้วซ่งจงไม่รู้เลยว่ามันเป็นเกียรติที่แท้จริง ในตอนนี้ความจริงคือเอ๋าเทียนเป็นอสูรกายขั้นที่หก ซึ่งมันคือขีดจำกัดของเขาแล้ว โอกาสของเขามีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่เจ็ด สำหรับระดับแปดนั้นถ้าหากจะเกิดขึ้นได้คงต้องพึ่งพาปาฏิหาริย์เท่านั้น
แต่สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปถ้าหากเขาติดตามซ่งจง ด้วยศักยภาพของซ่งจงที่มีลายเส้นสายธารโลหิต ซ่งจงจะต้องก้าวเข้าสู่ขั้นที่เก้าได้อย่างแน่นอนในระยะเวลาไม่เกินหมื่นปี ในขณะนั้นใครจะรู้ว่าเขาจะได้พบกับสมบัติล้ำค่าขนาดไหน ถ้าหากซ่งจงเพียงมอบมันให้เขาอย่างไม่ตั้งใจอะไรนัก แน่นอนว่ามันเพียงพอที่จะทำให้เอ๋าเทียนเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเองได้ อย่างน้อยที่สุดเขาจะมีโอกาสได้เข้าสู่ขั้นที่เจ็ดและมีโอกาสที่จะไปสู่ขั้นที่แปด นี่คือโอกาสสุดท้ายของเขาที่ยังเหลืออยู่
แม้ว่าในระยะเวลาหนึ่งหมื่นปีอาจเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่อายุของเต่าดำนั้นยืนยาวมากจึงถือได้ว่านี่เป็นข้อได้เปรียบของพวกเขา แม้แต่เต่าธรรมดายังมีอายุกว่าร้อยปี สำหรับเอ๋าเทียนที่ประสบความสำเร็จในการฝึกตนนั้นไม่มีปัญหาที่เขาจะสามารถมีชีวิตอยู่เป็นหมื่นปี ตอนนี้อายุของเขาเพียงแค่เจ็ดถึงแปดพันปีเท่านั้น และมันไม่ยากเย็นนักถ้าหากเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหมื่นปี ซึ่งในตอนนี้ซ่งจงยังเด็กและไม่มีองครักษ์คุ้มครอง เอ๋าเทียนจึงใช้โอกาสนี้เพื่อเสนอตนเองดูแลและติดตามเขา ถ้าหากเอ๋าเทียนรอให้ซ่งจงเลื่อนสู่ขั้นที่เจ็ดหรือแปด เหล่าคนที่มีสายเลือดเจือจางดังเช่นเอ๋าเทียนจะตามล่าเขาและไม่มีโอกาสให้เขาได้เสนอตัวรับใช้อีก
เอ๋าเทียนนั้นมีชีวิตอยู่มานานหลายพันปี เขามีความคิดที่ยอดเยี่ยมและมองการไกล ดังนั้นด้วยสถานะของซ่งจงในตอนนี้ เอ๋าเทียนจึงเสนอตัวเพื่อเป็นพ่อบ้านให้กับเขา แต่ในส่วนของการเป็นองครักษ์นั้นเอ๋าเทียนลืมมันไปโดยสิ้นเชิง เขาสามารถได้รับพิจารณาได้ในอนาคต เมื่อซ่งจงเข้าสู่ขั้นที่เจ็ดหรือแปดในอนาคต ฝ่ายตรงข้ามของซ่งจงจะต้องอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน และกระดูกของเอ๋าเทียนไม่สามารถอดทนต่อสิ่งเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตามมันแตกต่างกันถ้าหากเขาได้รับตำแหน่งพ่อบ้าน เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับซ่งจงมากขึ้นและเป็นคนที่จะได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมจากการต่อสู้ นี่นับได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมาก!
แต่ซ่งจงนั้นไม่เข้าใจกระบวนการเหล่านี้ เขาคิดว่าเอ๋าเทียนนั้นจริงใจที่จะติดตามเขา นอกจากนี้เหล่าเฟิงและเหลยซานเอ๋อยังยืนยันหนักแน่นว่าให้เขารับเอ๋าเทียนไว้ ซ่งจงไม่ได้มีจิตใจที่โหดร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการที่จะสูญเสียอาวุโสระดับหกไปและยอมให้เขามาเป็นพ่อบ้านแทนก็ยังถือว่าไม่เลว เมื่อคิดได้เช่นนี้ซ่งจงตอบออกไปอย่างลำบากใจ “ถ้าหากว่าอาวุโสเต็มใจ ข้าก็ยอมรับ”
“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม!” เอ๋าเทียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เขารีบคุกเข่าต่อหน้าซ่งจงพร้อมตะโกนออกมาทันที “ทาสผู้นี้นามว่าเอ๋าเทียน ขอทำความเคารพนายท่าน!”
“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเถอะ!” ซ่งจงรีบจับให้เขาลุกพร้อมกล่าวอย่างขื่นขม “ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่านายท่าน ข้าว่ามันแปลกนัก โอ เรียกข้าว่านายน้อยก็พอ!”
“แต่นายท่านกำลังจะขึ้นเป็นจักรพรรดิ ถ้าหากนายท่านไม่ชอบคำนี้ ให้ข้าเรียกท่านว่าฝ่าบาทแล้วกัน!” เอ๋าเทียนรีบกล่าวออกมา “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านคือผู้สืบทอดบัลลังก์ของทะเลตะวันออก!”
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ได้!” ซ่งจงโบกมือ
“ยินดีด้วย ยินดีด้วยจริง ๆ!” เหล่าเฟิงเข้ามาแสดงความยินดีกับเอ๋าเทียน หลังจากนี้อนาคตของเขาจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนในฐานะผู้ติดตามของสายเลือดจักรพรรดิอสูรกาย ถ้าหากไม่ใช่เหตุผลที่ว่าเหล่าเฟิงนั้นติดตามจักรพรรดินีไปแล้ว เขาจะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งนี้กับเอ๋าเทียนอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเอ๋าเทียนอารมณ์ดีอย่างมากขณะที่กล่าวออกมา “มา มาเถิด นั่งลงและดื่มกันต่อเถอะ!”
ในเวลานั้น ซ่งจงถูกเอ๋าเทียนดึงไปนั่งที่หัวโต๊ะและเหล่าเฟิงกับเหลยซานเอ๋อเป็นแขกไปทันที ส่วนเอ๋าเทียนนั้น นั่งอยู่ด้านท้ายสุด
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่แก้ว ซ่งจงวางแก้วลงพร้อมถามออกไปว่า “อาวุโสเอ๋า ข้าขอถามสักอย่างว่าชิ้นส่วนของอุปกรณ์วิเศษด้านนอกนั้นมาจากที่แห่งใดกัน?”
“เรื่องนั้น!” เอ๋าเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่รู้สึกผิด “มันเป็นเพียงลูกหลานของข้าที่ต้องการส่งมอบในงานเลี้ยงวันเกิดข้า ทำไมหรือ ฝ่าบาทไม่ชอบมันงั้นหรือ? ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะขอให้พวกเขานำมันออกไปทั้งหมด!”
“ไม่ ไม่ใช่!” ซ่งจงรีบโบกมือทันที “ชิ้นส่วนเหล่านี้มีประโยชน์มากสำหรับข้า ข้าอยากรู้ว่าสามารถมอบมันให้ข้าได้หรือไม่?”
“โอ ฝ่าบาทพูดอะไรอยู่ ทุกสิ่งในวังวารีบริสุทธิ์นั้นเป็นของท่านรวมถึงตัวข้าเองด้วย ท่านสามารถหยิบพวกมันได้เลยโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจากข้า!” เอ๋าเทียนรีบกล่าวออกมา
“ฮี่ฮี่!” ซ่งจงเผยยิ้มออกมา “คงดีกว่าถ้าหากข้าแจ้งให้เจ้าทราบ! นอกจากนี้ข้าคิดว่ามันน้อยเกินไป เจ้ามีมันมากกว่านี้หรือไม่?”
“แน่นอน!” เมื่อเอ๋าเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาทันที “สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียจากสงครามเมื่อครั้งที่พวกเราได้ต่อสู้กับเหล่าผู้ฝึกตนมนุษย์ อุปกรณ์เหล่านี้นั้นส่องแสงได้และหนาแน่นไปด้วยปราณจิตวิญญาณ เด็ก ๆ มักจะเก็บรวมพวกมันไว้อย่างสนุกสนาน พวกเรานั้นต่อสู้กับเหล่ากลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกมายาวนานนับพันปี ถ้าหากท่านต้องการมัน เพียงแค่บอกข้ามาคำเดียวก็พอ!”