เสียงของกู่จิ้งค่อยๆกระจายออกไปจากการดีดอย่างช้าในโทนเสียงที่ทุ่มต่ำแทบจะขีดสุดที่มนุษย์จะได้ยินประดุจดั่งเสียงร้องแห่งพระเจ้า สร้างความรูสึกน่าหลงไหลแก่ทั่วทุกคนที่ได้ยินเสียงนี้ จิตใจของทุกคนที่ได้ยินเหมือนดั่งได้อาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์จนชำระล้างจิตใจสู่ความสุขสงบ
“ปึ้ก ปึ้ก” หลิวฉิง ผู้จัดการหวัง และคนอื่นๆโดยรอบต่างคุกเข่าลงโดยหันไปทางที่ซูจิ้งอยู่ มือของพวกเขาประกบมาไว้ละยื่นไปห่างหน้าเพียงเล็กน้อยประหนึ่งดังพวกเขากำลังทำความเคารพบูชาเทพเจ้าด้วยการไหว้
ถึงแม้คนที่กำลังดูการสตรีมอยู่นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับคนที่อยู่ในห้องของซูจิ้ง
แต่ก็ยังมีหลายๆคนได้คุกเข่าลงต่อหน้าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เปิดสตรีมอยู่ พวกเขาทำไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกับร่างกายและจิตใจของเขากำลังได้รับการชำระล้าง
ในหอพัก ณ ห้องๆหนึ่งที่มีรูมเมตด้วยกันสี่คนที่กำลังเล่นเกมกันอยู่ อยู่ๆหนึ่งในนั้นก็ได้ทรุดลงไปคุกเข่าลงกับพื้น
คนอื่นๆที่เห็นก็แซวออกมาว่า “เฮ้เจ้าสามถึงแม้นายจะกำลังดูท่านเทพ(ซูจิ้ง)สตรีมอยู่ก็ไม่เห็นต้องลงไปคุกเข่าเคารพจริงๆเลยนี่นา” ถึงเขาจะพูดไปดังนั้นแต่เขาก็เห็นเพื่อนไม่สนใจ
เขาคิดว่าเป็นเพราะเขาเสียบหูฟังอยู่จึงได้แกล้งดึงที่เสียบออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นเขาและเพื่อนอีกสองคนได้ทรุดลงไปคุกเข่าในสภาพที่ไม่ต่างกันแทบจะในทันทีที่ได้ยินเสียงกู่จิ้ง
ในรถบัสคันหนึ่ง มีเด็กผุ้ชายคนหนึ่งในขณะที่เขากำลังโหนรถอยู่นั้นอยู่ๆ เขาก็ทรุดลงไปกับพื้นในท่าคุกเข่าพร้อมประกบมือต่อหน้ามือถือที่เขากำลังเสียบหูฟังรับฟังการสตรีมอยู่ เพื่อนเขาที่เห็นในต่างแรกก็นึกว่าเขาเป็นลมเลยทรุดลงไปเลยพยายามที่จะพยุง
แต่เขาพยามพยุงขึ้นมาแล้วแต่เขาไม่ขยับตัวเลยซักนิด เมื่อเขาสังเกตดูดีๆแล้วเห็นว่าเพื่อนของเขากำลังคุกเข่าเคารพบูชามือถืออยู่ แถมเห็นคนอื่นที่หันมามุงอย่างสนใจเขาเลยตัดสินใจว่าจะทำเป็นว่าไม่รู้จักแล้วยืนสังเกตุการณ์แทน
เหตุผลที่คนเหล่านี้ไม่ทำตามเป็นเพียงเพราะเด็กคนนี้ใช้หูฟังเสียบเอาไว้ ไม่งั้นพวกเขาก็คงทำไม่ต่างกัน
ในคาเฟ่ห้องหนึ่งมีคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังทะเลาะกัน พวกเขาในตอนนี้ต่างคนต่างเล่นมือถือของตัวเองเหมือนกำลังทำสงครามประสาทกันอยู่
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มได้ผลักเก้าอี้ออกและทรุดลงคุกเข่าลงบนพื้นโดยนำมือทั้งสองจับไว้ที่ขอบโต๊ะ
ทำให้แฟนของเขาตกใจขึ้นมาทันทีเธอตกใจมากเมื่อเห็นพร้อมร้อนลนพูดออกมาว่า “ถึงเราจะโกรธกันแต่ให้เวลาฉันเตรียมตัวหน่อยสิ จะให้ฉันสัญญากับนายก่อนก็ได้ ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย”
หลังจากเธอพูดออกแบบนั้นแต่พอผ่านไปซักพักเธอก็ยังไม่เห็นชายหนุ่มพูดอะไรออก
ทำให้เธองงไปในทันที แต่ทันทีที่เธอเริ่มสังเกตุเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มองเธอแต่กลับไปมองที่มือถือเธอเลยเริ่มโวยวายขึ้นมา
เหล่าผู้ที่กำลังรับชมการสตรีมนี้อยู่ทั่วทั้งโลกต่างประสบเหตุการณ์เดียวกันนั่นก็คือการทรุดลงไปคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมพนมมือคล้ายกำลังรับศีลล้างบาป สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับผู้ที่พบเห็นโดยรอบ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้คุกเข่านั่นก็คือเหล่าผู้คนที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับซูจิ้งมาในระดับหนึ่งแล้วอย่าง มู่หรงเซียนเอ๋อ นาลันเฟย กู่เย่ว กู่หยุน มู่หรงฉิน ซี่เหลา และคนอื่นๆ หรือก็คือเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยกับเรื่องแปลกพิศดารที่ซูจิ้งเป็นต้นเหตุจนปลงตกเกี่ยวกับซูจิ้งได้แล้ว
ในขณะเดียวกันนั้นซูจิ้งก็รู้ได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์(พลังวิญญาณ)ในร่างกายเขากำลังเพิ่มมากขึ้น
ห้วงทะเลวิญญาณของเขาขยายตัวออกในทุกทิศทาง รวมไปถึงเหรียญตราเทวฑูตที่มีพลังมากขึ้นและส่งผลไปเสริมความแข็งแกร่งของจิตใจของซูจิ้งโดยการปล่อยพลังแทรกซึมเข้าไปในสมองของเขา เหมือนกับไฟฉายที่กำลังส่องแสงตรงไปยังสมองของเขา
ตามปกตินั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาจัดว่าเป็นพลังที่ได้รับการพัฒนาได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับพลังอื่น
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างเขาเพิ่มพูนจนแทบจะบอกได้ว่าพลังด้านอื่นของซูจิ้งไม่แข็งแกร่งเท่า
นี่ได้ทำให้ซูจิ้งมีความสุขและยินดีอย่างมากในการตัดสินใจใช้ประโยชน์ของเหรียญตราเทวฑูตอย่างเต็มประสิทธิภาพซักที
นอกจากนั้นบทเพลงที่เขาบรรเลงได้เกื้อหนุนพลังของตราเทวฑูตให้มีศัพยภาพสูงขึ้นไปอีก
ท่วงทำนองที่เขากำลังเล่นอยู่ตอนไม่ได้เล่นในท่วงทำนองปกติ
แต่เป็นการเล่นที่เสริมพลังศักดิ์เข้าไปทำให้ทุกคนต่างรู้สึกถึงพลังของเทพแฝงอยู่ทุกท่วงทำนองของกู่จิ้ง
จนทำให้เหล่าคนที่ฟังเชื่อว่าเป็นเทพเทวาที่กำลังเล่นกู่จิ้งอยู่
เหมือนกับตอนที่ผู้คนกราบไหว้ดวงจันทร์ยอมที่มันส่องแสงสีคราม(เทศกาลไหว้พระจันทร์) ในขณะที่ทุกคนในห้องของซูจิ้งคุกเข่าอยู่นั้นพวกเขาคาดเดาได้ทันทีเลยว่าคนที่กำลังฟังอยู่กำลังประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน ถึงมันอาจจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แต่ซูจิ้งกำยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ
ไม่นานนักประมาณสองนาที เสียงกู่จิ้งค่อยแผ่วเบาลงจนกระทั่งเงียบไป ผู้คนในห้องของซูจิ้งนิ่งอึ้งไปซักพักก่อนที่จะถยอยรู้สึกตัวและเริ่มลุกขึ้นมา พวกเขาในตอนนี้ต่างจ้องมองไปยังซูจิ้งราวกับเห็นผีอยู่ก็ไม่ปาน และหน้าของพวกเขาเริ่มแดงหลังจากนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พระเจ้าพวกเขาจะทำยังไงต่อเนี่ย ทำไมพวกเขาถึงได้คุกเข่าให้กับซูจิ้งกัน
“พี่จิ้ง เพลงที่พี่เล่นนี่คือเพลงอะไรกันแน่ มันไม่ธรรมดาเลยซักนิด พี่ได้เตรียมเล่นมันเอาไว้แล้วใช่ไหมเนี่ย” หลิวฉิงรู้สึกสลดเล็กน้อยที่เขาต้องคุกเข่าให้คนอื่น แต่ก็ไม่ได้สลดมากมายอะไรเพราะคนที่เขาคุกเข่าให้เป็นซูจิ้ง แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันดี
“ไม่ตลกเลยนะ” เว่ยเสี่ยวหยวนเองก็หน้าแดงเหมือนกันที่ต้องคุกเข่า
“….” ผู้จัดการหวังที่รู้สึกไม่ต่างกันก็พูดอะไรไม่ออก พวกเขานั้นไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้ยังไง ต่อให้มันดูขัดกับสามัญสำนึกที่ต้องคุกเข่าให้ใครซักคน
แต่การคุกเข่าให้กับซูจิ้งกับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้รับการชำระบาปแถมยังทำให้จิตในสุขสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่พวกเขาเป็นพวกรสนิยมเอ็ม(S&M)กันงั้นหรอเนี่ย
เด็กในหอพักชายในตอนนี้พวกเขาได้กระแอมออกมาสองทีเพื่อแก้เขินกันเอง
เด็กชายในรถตู้ทันทีที่รู้ตัวว่าเขากำลังคุกเข่าอยู่เขารีบกดกริ่งแล้วรีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่แดงไม่แพ้กัน เพื่อนของเขาเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมาก่อนที่จะรีบตามลงไปจับตัวในทันทีกลัวว่าเด็กชายจะทำอะไรไม่คิดอีก
เด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ในร้านอาหารทันทีที่รู้สึกตัวเห็นแฟนเขาเตรียมตัวจะอาละวาดใส่
เขารีบพุ่งตรงไปคุกเข่าตรงหน้าเธอในทันทีพร้อมพูดออกมาอย่างเสียงดังว่า “เซี่ยวหนิงจ๋า ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรไปโกรธคุณเลย ให้อภัยผมเถอะนะคนดี”
ตอนนี้คนที่ต้องคุกเข่าในที่สาธารณะทุกคนนั้นต่างสาปแช่งซูจิ้งขึ้นมาทันที สำหรับคนที่ดูการสตรีมอยู่ที่บ้านพวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้นแต่พวกเขาทำได้แค่อึ้งได้อย่างเดียว คล้ายกับคนที่ไม่ได้คุกเข่าแต่พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับงงจนเป็นไก่ตาแตก
“พระเจ้า เพลงอะไรกันเนี่ย” มู่หรงเซียนเอ๋อเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
“เพลงบ้าอะไรเนี่ย” ผุ้จัดการของเธอตกใจไม่น้อยไปกว่าเธอจนต้องสบถออกมา เพลงๆนี้ของซูจิ้งเหนือกว่าเพลงใดๆที่จะสามารถทำความเข้าใจได้(เหนือความคาดหมายกว่าเพลงทั่วไป)
ความจริงตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์จากซูจิ้งสักเพลงก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มสตรีม
แต่หลังจากที่ฟังเธอได้โยนความคิดนี้ทิ้งไปทันที เพลงแบบนี้อย่าว่าแต่มู่หรงเซียนเอ๋อเลย ระดับปรมาจารย์จะเล่นได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้ ซื้อมาก็เหมือนซื้อรถหรูมาจอดทิ้งขว้างเท่านั้นเอง
“นี่สินะมนต์เสน่แห่งเสียงเพลง” หลังจากได้ยินเพลงนี้แล้วนาลันเฟยรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเพลงขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเลยทีเดียว
“เพลงนี้สมควรเป็นเพลงที่คงอยู่ไปอีกนับพันปี” กู่เย่วและกู่หยุนพูดออกมาด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น ช่างเป็นท่วงทำนองที่ดูเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ จนทำให้ทรงพลังยิ่งนัก พวกเขาเองก็เกือบจะคุกเข่าไปแล้วเหมือน ทั้งสองเริ่มกลัวเพลงนี้จนแทบจะไม่อยากฟังอีก
“กลายเป็นว่ากูจิ้งสามารถเล่นบทเพลงที่ทรงพลังได้ถึงขนาดนี้” ซี่เหลาที่นั่งอยู่ในห้องดื่มชาถึงกับตบเข่าฉาดเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย ควรจะเป็นฉันเองที่เป็นคนพูดสิ ฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินเพลงแบบนี้นี่ล่ะ ไม่คิดเลยว่ากู่จิ้งจะบรรเลงเพลงที่ทรงพลังได้ถึงขนาดนี้ มู่หรงฉินได้แต่พึมพำคำนี้ออกมา เขานั้นเมื่อได้ยินเวลาคนเรียกว่าเขาเป็นที่หนึ่งในเหล่าปรมาจารย์ด้านกู่จิ้ง เขาดีใจมาก ต่อพอมาฟังเพลงของซูจิ้ง เขากับรู้สึกว่าเพลงที่เขาเคยเล่นมาชั่วชีวิตนี่เด็กน้อยชัดๆ”