หลังจากนั้น เขาก็เลิกปรบมือ หันหน้ากลับมา ยกมุมปากพูดขึ้นอย่างยากลำบากว่า “ฉันมีธุระต้องไปก่อนนะ”
พูดจบก็ไม่ได้รอให้พวกเขาตอบ หัสดินหันหลังเดินออกไปนอกโบสถ์ ภาพด้านหลังของเขาทิ้งไว้แต่ความโดดเดี่ยวเดียวดาย มีความรู้สึกเย็นซาบซ่านที่พูดออกมาไม่ได้
ผู้หญิงที่เขารักได้แต่งงานกับชายอื่นไปแล้ว
ตลอดทางหัสดินไม่ได้หันหน้ากลับมามอง เขาไม่สามารถหันหน้ากลับมาได้และก็ไม่กล้าที่จะหันกลับมาด้วย ทางถนนด้านหลังถูกเขาตัดขาด มีแต่การก้าวเดินไปข้างหน้า ต่อให้ทั่วทั้งร่างของเขามีเลือดสดๆหรือบาดแผลก็ตาม
ทุกคนต่างรู้ว่าเขาน่าสมน้ำหน้า มันเป็นสิ่งที่เขาก่อไว้ ตอนนั้นความเจ็บปวดที่ยู่ยี่ได้รับและความผิดที่เธอได้รับต่างก็เป็นสิ่งที่เขาได้ก่อขึ้น
แต่ว่าดูท่าทางชายชาตรีในตอนนี้สิ กลับมีความเศร้าโศกเสียใจ
ยู่ยี่มองไปที่ด้านหลังของเขาชั่วขณะ หลังจากนั้นก็เก็บสายตาแล้วปรบมือต่อ
พิงอยู่ที่มุมข้างกำแพงโบสถ์อยู่คนเดียว ร่างของเขาก็ให้ทรุดลง ช่วงจมูกเริ่มมีอาการฟุดฟิด ในที่สุดก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีเสียง
น้ำตาลูกผู้ชายไม่ได้ไหลกันออกมาง่ายๆ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เจอจุดที่ให้เสียใจ
เป็นผู้ชายไม่มีสิทธิที่จะน้ำตาไหล หัสดินจำคำนี้ได้ ดังนั้นเขาไม่เคยร้องไห้เลย และไม่กี่ครั้งที่ร้องไห้นั้นต่างก็เป็นเพราะยู่ยี่
ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถรักษาเธอไว้ได้ แล้วยังเสียเธอไปอีก
เธอเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขา
น้ำตาที่เคยไหลออกมาไม่กี่ครั้งนั้นก็เพื่อเธอ เขายอมและรู้สึกว่าคู่ควร ผู้หญิงคนอื่นเขารู้สึกไม่คู่ควรกับน้ำตาของเขา!
นั่งยองๆอยู่ตรงนั้นนานเมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะยี่สิบนาทีหรือมากไปกว่านั้นสี่สิบนาที จนกระทั่งขาทั้งสองข้างเริ่มชาจนไม่สามารถทรงตัวยืนได้
หลังจากนั้นเขาถึงค่อยๆจากไปช้าๆ เนื่องจากขาทั้งสองข้างชาเลยเดินได้ไม่สะดวกนัก เขาไม่ได้ทักทาย ไม่ได้หยุดพัก เขามุ่งหน้าไปเก็บของที่โรงแรมแล้วจากไป
เขาไม่อยากหยุดอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว
……
ตอนกลางคืนเป็นเวลาดื่มให้กับแขกผู้มีเกียรติ คุณแม่ธันยวีร์และคุณท่านประเสริฐกังวลว่าร่างกายของยู่ยี่จะรับไม่ไหว จึงยกเลิกจุดตรงนี้ไป
จริงๆยู่ยี่ก็กำลังตั้งครรภ์แปดเดือนกว่าแล้ว ถ้าเหนื่อยมากไปไม่ดี
ดังนั้นให้คนทั้งสองนั่งกินอะไรอยู่ในงานเลี้ยง แล้วก็ออกไปกลับไปพักผ่อนที่ห้องใหม่
คนทั้งสองกับเพื่อนของฉันทัชนั่งด้วยกัน หัวข้อที่สนทนาก็เป็นเรื่องทั่วๆไป ในเวลานี้อาคิระกลับโอ้เอ้มาสาย
ข้างกายเขามีผู้หญิงคนนึง แล้วก็พาเด็กมาด้วย มุ่งหน้าเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้า อาคิระก็หยุดลง หรี่ตาและเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีอย่างนี้ ควรดื่มสักแก้วไม่ใช่หรอครับ?”
สายตาของยู่ยี่มาตกอยู่ที่อาคิระ พลางขมวดคิ้วน้อยๆ
ฉันทัชยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วดื่มจนหมด “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
อาคิระก็ดื่มจนหมดแก้วเหมือนกัน สีหน้าของเขาไม่สู้ดี มีความค่อนข้างตึงๆ
เห็นดังนั้นผู้หญิงเลยไปขวางเขา “คุณยังเป็นโรคกระเพาะ อย่าดื่มเลย เมื่อกี้ก็ปวดจนยืนไม่อยู่ไม่ใช่หรอ”
“พูดมาก!” อาคิระมีความรำคาญเพิ่มขึ้น เลยยื่นมือไปออกไปสะบัด เท้าของผู้หญิงก็ไม่คงที่อยู่แล้ว ถูกเขาสะบัดออกไปอย่างนี้เลยไปล้มอยู่ที่พื้น
เสียงดังกังวาน คนรอบข้างหันมามองอย่างอดไม่ได้ ภาพของผู้หญิงนั้นให้เปลี่ยนมาเป็นไม่น่าดู
ยู่ยี่เห็นใบหน้าแดงเป็นเลือดฝาด เธอลุกขึ้นแล้วประคองผู้หญิงคนนั้นขึ้น ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คุณไม่เป็นไรนะคะ”
ผู้หญิงนั้นอายมาก หัวก้มลงต่ำมองดูปลายเท้าของตัวเอง
อาคิระหันมามองทางผู้หญิง ความรำคาญให้มีมากขึ้น ในเวลานี้เด็กผู้ชายก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆผู้หญิง “แม่ เจ็บตรงไหนมั้ยครับ?”
ผู้หญิงส่ายหน้า ยิ้มอ่อนๆ แต่กลับมีความรู้สึกเสียใจอย่างแปลกๆ “ในเมื่อคุณไม่เป็นไร งั้นฉันกับลูกก็จะกลับบ้าน ฉันรู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบาย
พูดจบผู้หญิงก็จูงมือเด็กผู้ชาย ในท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาตัวเธอตรง เดินออกไปด้วยท่าทางอิดโรย
อาคิระให้รู้สึกรำคาญอย่างยิ่ง สายตานั้นกวาดมามองที่ฉันทัชอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ยกเท้าก้าวเดินตามออกไป
“นั่นเป็นภรรยาของเขาหรอ?” ยู่ยี่ถามฉันทัชที่อยู่ข้างกาย
ฉันทัชพยักหน้า “แล้วก็ยังมีลูกชายของเขา”
“ภรรยาของเขาสวยจริงๆ แล้วก็ลูกชายที่หน้าตาเหมือนเธอมาก ไม่เหมือนเขาเลย” เสียงทุ้มต่ำ ยู่ยี่พูดขึ้นว่า “เหมือนหญิงงามกับชายขี้เหร่โดยแท้”
ในเวลานี้ก็ได้จุดพลุขึ้น ท้องฟ้าสีดำพลุจุดขึ้นไปทำให้หลากสีสัน มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไปปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ดูน่าดู
เธออยู่ในอ้อมกอดของเขา รอดูจนพลุหมด และหลังจากทักทายเสร็จเลยกลับมาที่บ้านตระกูลยศณะราคิน
ตระกูลยศณะราคิณตั้งใจเตรียมห้องให้คนทั้งสองที่ตกแต่งไว้เป็นที่เรียบร้อย กลับมาถึงห้องยู่ยี่เหนื่อยจนร่างแทบทรุด เธอไม่อยากที่ขยับเคลื่อนแต่น้อย
ฉันทัชยกมุมปากขึ้นจางๆไม่ได้หุบยิ้ม เขานั่งอยู่ด้านหลัง มือคลึงด้านหลังของเธอเบาๆเพื่อนวดให้เธอ
เขาหยุดคิดอยู่นาน ในที่สุดความฝันนี้ก็เป็นจริงในเวลานี้ ความรู้สึกและความคิดที่อยู่ในใจก็เป็นอะไรที่ยากที่จะพรรณนา รู้สึกแค่ว่าของใดๆก็ไม่สามารถบรรจุลงไปได้อีก ความรักละมุนที่มีเป็นหมื่นๆ
ยู่ยี่รู้สึกว่าสบายมาก เธอหรี่ตาและพูดเสียงเบาว่า “สามี….”
ร่างที่กำยำของเขาให้ชะงัก ผู้ชายที่เก็บท่าทีและสุขุมในเวลานี้เก็บอาการไม่อยู่ ลูกกระเดือกเขาเคลื่อนไหว พูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ภรรยา…”
เธอยิ้มอย่างพอใจอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ฉันง่วงแล้ว ให้ฉันนอนหน่อยนะ”
ฉันทัชโอบกอดเธอเหมือนว่าได้โอบกอดโลกทั้งใบ จูบเธออย่างเบาๆแล้วพูดว่า “อืม นอนเถอะ”
บรรยากาศเงียบสงบและสวยงามอย่างนี้ ยู่ยี่หลับตาลงไม่ถึงนาทีก็เข้าสู่ห้วงนิทรา อ้อมกอดของเขานั้นอบอุ่น เธออยากซบจนไม่อยากที่จะห่างไปไหน
นิ้วมือเรียวยาวของฉันทัชค่อยลูบที่เส้นผมของเธอ ไม่ว่าจะมองเธอยังไงก็มองไม่พอ ร่างของเธอนั้นเหมือนถูกแฝงไว้ด้วยเวทมนตร์
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ระหว่างนั้นเอง คิ้วและใบหน้าขมวดของยู่ยี่ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน เหมือนมีความจับปวด มือกำผ้าห่มแน่น ปวดจนต้องลืมตา “เจ็บ…เจ็บ…เจ็บ”
หลังจากที่นอนด้วยกันกับเธอ การนอนของฉันทัชก็ตื้นมาก เสียงอะไรนิดหน่อยก็รู้สึกตัวขึ้นได้ เขารีบลืมตาทันที
“ฉันจะคลอด…แล้วหรือเปล่า?” ประโยคนี้ยู่ยี่ให้กัดฟันพูดออกมา ความลำบากและความเจ็บปวดมีมาก
ฉันทัชเคยเจอเรื่องแบบนี้เสียที่ไหน เขาเลยให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา นั่งไม่ติด ยากที่จะอธิบายได้ ผู้ชายที่สุขุมอย่างนั้นกลับนั่งไม่อยู่ ประหม่าจนไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี!
“คุณอย่ารน ฉันดูแล้วปวดหัว ตอนนี้โทรหาโรงพยาบาล…” ยู่ยี่ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ สองมือมาอยู่ที่ท้อง
เขาให้ตัวเองได้สงบสติอารมณ์ หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก พูดได้ใจความที่สุด โค้งตัวลงสองมือช้อนเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด น้ำเสียงเร่งรีบ “กอดผมไว้ ถ้ารู้สึกว่าไม่สบายให้บอกผม ตอนนี้ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
ยู่ยี่พยักหน้าริมฝีปากถูกกัดจนซีดเซียว
เขาให้สงสารอย่างทนไม่ไหว รีบออกจากห้อง เขาเดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว เอาเธอวางไว้ที่ข้างคนขับและขับอย่างรวดเร็ว
เขาผ่าไฟแดงมาตลอดทาง ขนาดตำรวจจราจรฉันทัชยังไม่หันมามอง จนมาถึงโรงพยาบาล เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาก็ได้แนบกับลำตัวของเขา
ก็ต้องยอมรับว่าในเวลานี้ฉันทัชนั้นประหม่ามาก
จนกระทั่งส่งตัวเข้าไปในห้องผ่าตัด เขาถึงนั่งลง เขาเลือกหมอที่ดีที่สุด เขานั่งลงอยู่บนเก้าอี้ยาวก็เห็นเหงื่อที่อยู่บนเสื้อเชิ้ตของเขา
คุณแม่ธันยวีร์ได้ยินข่าวก็รีบตามมา รีบถามว่าเป็นยังไงบ้าง?
เขาบอกว่าถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดแล้ว เสียงที่สงบนิ่งในเวลานี้ให้สั่นคลอน นั่งไม่ติด เขาต้องเข้าไปเป็นเพื่อนเธอ!
คุณแม่ธันยวีร์ไม่ได้พูดว่าอะไร เธอรู้ว่าเขากระวนกระวายใจ ไม่มีทางที่จะสงบลงได้ ฉันทัชไปหาหมอ หลังจากเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องผ่าตัดไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ
หมอบอกว่าอาการแบบนี้ต้องคลอดก่อนกำหนด ตอนนี้คลอดตามธรรมชาติก่อน ถ้าไม่สามารถคลอดตามธรรมชาติได้ ก็ค่อยใช้วิธีผ่าคลอด
ใบหน้าของยู่ยี่มีความเจ็บปวดและเต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันทัชก็เป็นครั้งแรกที่เจอกับเรื่องอย่างนี้ ตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากอย่างสงสารและกระวนกระวาย “เจ็บหรอ?”
ยู่ยี่พยักหน้า เจ็บจริงๆ เจ็บเจียนจะตายแล้ว!
“คุณฉันทัชให้เธอได้จับมือของคุณเพื่อให้เธอได้ใช้แรงทั้งหมดที่มี” หมอพูดแนะนำอยู่ข้างๆ
ได้ยินดังนั้น ฉันทัชก็จับมือของเธอไว้ที่กลางฝ่ามือ อยู่เป็นเพื่อนเธอ เห็นสีหน้าของเธอที่ได้รับความเจ็บปวดทรมาน คิ้วของเขาก็ขมวดมากยิ่งขึ้น
ตอนที่เด็กอยู่ในท้องนั้นว่าง่ายมากๆ เงียบ แต่ในเวลานี้กลับดื้ออย่างมาก ไม่ยอมที่จะออกมาดีๆ
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้หญิงคลอดลูก เขาตระหนก ทุกข์ใจ อารมณ์ต่างๆทะลักเข้ามา ฉันทัชกลั้นหายใจไว้
ผู้ชายที่เก็บท่าทีและสุขุมมาตลอดในเวลานี้กลับลนลาน ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงให้ความเจ็บปวดของเธอลงในจุดที่พอจะได้รับได้
“ขอถามนะครับ ผมต้องทำไง ถึงจะไม่ให้เธอทุกข์อย่างนี้?” ฉันทัชมองที่หมอ เสียงทุ้มต่ำในเวลานี้ตึงเครียด
“นี่เป็นการคลอดเด็กนะครับ ผู้หญิงทุกคนต้องผ่านกระบวนการนี้ เวลานี้ผู้ชายช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือให้เธอได้ระบาย ร้องเรียก และใช้แรง แค่ให้เด็กคลอดออกมา ความเจ็บปวดก็จะหายไป….”
คุณแม่ธันยวีร์ที่รออยู่ข้างนอกก็กระวนกระวายไม่แพ้กัน เดินไปเดินมาไม่หยุด
ตระกูลยศณะราคินได้เตรียมหมอและห้องไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แค่รอจนกว่าถึงเวลากำหนดคลอดเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะคลอดก่อนกำหนดเร็วอย่างนี้
รอจนสามชั่วโมงกว่าๆ เด็กก็ยังไม่คลอดออกมา หมอเลยแนะนำว่าไม่งั้นเลือกเป็นผ่าคลอด ความเจ็บจะได้น้อยลง
ฉันทัชได้ฟังว่าความเจ็บปวดจะลดน้อยลง ก็ไม่ให้รีรอเลยเลือกผ่าคลอด แต่ยู่ยี่ไม่ยอม เธออยากลองเป็นครั้งสุดท้าย
ความมั่นใจและความอดทนที่มีมาตลอดในเวลานี้กลับใกล้จะปะทุมันขึ้นมา ฉันทัชไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะทนได้นานเท่าไหร่
อย่างนี้แล้วเวลาค่อยๆผ่านไป ทุกคนต่างเฝ้ารอด้วยความหวังและความตื่นเต้น
สองชั่วโมงให้หลัง ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก คุณแม่ธันยวีร์ คุณพ่อธนพงษ์ และคุณท่านประเสริฐก็เข้าไปดู
คนที่เดินออกมาเป็นหมอ ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อน ใจของทุกคนนั้นอดไม่ได้ที่จะร่วงหล่น
“ดีใจกับท่านประเสริฐด้วยครับ แม่ลูกปลอดภัย น้ำหนักเด็กสองพันกรัม เพราะว่าคลอดก่อนกำหนดนำหนักเท่านี้เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าหลังจากนี้เน้นในเรื่องของโภชนาก็พอแล้วครับ” คุณหมอพูดแสดงความดีใจ