บุหรี่ที่คุ้นเคยปลุกความทรงจำของเฉินเกอขึ้นมา เขาไม่เคยเป็นคนที่อ่อนไหวมากนัก แต่ว่าตอนนี้ ฝีเท้าของเขาชะลอลงจนหยุดอยู่กับที่
“มีสิ่งต่าง ๆ ที่พวกพ่อกับแม่ปิดบังไว้จากผมมากมายเท่าไหร่กันเพียงเพื่อจะทิ้งผมเอาไว้และยังมาในที่ที่อันตรายนี้ด้วยตัวเองอีก?” เฉินเกอเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ จากนั้นเขาจึงร้องเรียกเบา ๆ “มีใครอยู่ที่นี่ไหม?”
ตอนที่เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงประหลาดใจและดีใจดังมาจากด้านในห้อง “บอสเฉิน?”
ล็อกที่ด้านหลังประตูหลุดออกจากที่และระบบล็อกที่ซับซ้อนกว่าก็เริ่มขยับ หลังจากนั้นเป็นนาน ประตูที่ดูธรรมดาที่ด้านนอกในที่สุดก็เปิดออก ฟ่านฉงในชุดนอนยืนอยู่หลังประตู บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา ตอนที่ชายหนุ่มร่างอ้วนเกินร้อยกิโลกรัมผู้นี้เห็นเฉินเกอ เขาก็พุ่งเข้าไปหาฝ่ายหลัง เตรียมจะฝังเฉินเกอเอาไว้ในอ้อมกอดหมี ๆ
“ควบคุมตัวเองหน่อย” เฉินเกอก้าวถอยไปก้าวหนึ่ง เขามองเห็นเลยว่าฟ่านฉงตื่นเต้นแค่ไหน
“ผมรู้ว่าคุณจะมา! บอสเฉิน คุณไม่รู้หรอกว่าผมหวุดหวิดจะไม่ได้เห็นคุณอีกครั้งแค่ไหน!” เสียงของฟ่านฉงเริ่มแตกพร่าขณะเล่าเรื่องของเขาออกมา เขามีหลายอย่างที่จะบอกเฉินเกอ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน เขาย่ำเท้าเดินกลับไปกลับมาในห้อง ไขมันเป็นชั้นที่ท้องของเขากระเพื่อมไปทุก ๆ ก้าวย่างของเขา
“สงบใจลงก่อน คุณมีโทรศัพท์อยู่กับตัวไหม? พวกเราคุยโทรศัพท์กันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ดังนั้นให้ผมตรวจดูบันทึกโทรศัพท์ของคุณหน่อย” เฉินเกอกำลังทดสอบฟ่านฉง ตอนที่ฟ่านฉงหายตัวไป เขาทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ในห้อง อันที่จริง เป็นฟ่านต้าเตอที่เป็นคนหยิบโทรศัพท์ฟ่านฉงขึ้นมาแล้วคุยกับเฉินเกอสั้น ๆ
“ผมไม่มี ผมรีบร้อนมากตอนที่พยายามหนี และผมก็ทำมันหล่นไว้ในห้อง” ฟ่านฉงชี้ไปที่ชุดนอนที่ใหญ่เป็นพิเศษของเขาที่ไม่มีกระเป๋าเลยสักใบ เฉินเกอพยักหน้าและมองเข้าไปในห้อง นี่เป็นห้องเช่าธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง มีเตียง โต๊ะ และพัดลมไฟฟ้า– ไม่มีอะไรกระโจนเข้าใส่เฉินเกอ
“ทำไมคุณถึงมาซ่อนอยู่ในที่แบบนี้ได้? ใครพาคุณมาที่นี่?” เฉินเกอนั้นยังอยู่ภายใต้ความคิดที่ว่าฟ่านฉงถูกเงานั่นลักพาตัวไป แต่จากที่เห็น มันดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
“ที่นี่เป็นชั้นใต้ดิน จะมีหน้าต่างอยู่ในห้องไปเพื่ออะไรกัน? นี่เป็นวิธีการหลอกตัวเองอย่างหนึ่งหรือไง?” เฉินเกอกำค้อนแน่นและยืนอยู่ที่ประตูกลัวว่านี่จะเป็นกับดัก
“เธอพาผมมาที่นี่” ฟ่านฉงดึงม่านหนาหนัก กำแพงปูนที่มองเห็นอยู่ด้านนอกหน้าต่างนั้นมีรูปวาดที่ดูเหมือนจะวาดขึ้นด้วยสีเทียนถูก ๆ มีภูเขา แม่น้ำ และพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง ดอกไม้ที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉาและครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สายตาของเฉินเกอตามการเคลื่อนไหวของม่านไปก่อนที่จะไปหยุดลงที่มุมหนึ่งของกรอบหน้าต่างที่มีเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมชุดสีแดงมองไปที่รูปวาดบนกำแพงปูนเหมือนมันเป็นศิลปะที่ไร้กาลเวลาชนิดหนึ่ง
“เสี่ยวปู้?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเกอเห็นเด็กหญิงคนนี้ แต่ทุกครั้ง ความรู้สึกที่เขาได้รับจากเธอล้วนต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง บางครั้งเธอมาเพื่อเตือน บางครั้งไม่แยแส และครั้งนี้ มันดูจนปัญญา
“เป็นเธอที่ลากผมหนีมาตอนที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้” ดวงตาของฟ่านฉงกระตุกเหมือนเขายังกลัวอยู่เมื่อคิดกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น “คืนนี้ ที่กลับมาบ้านไม่ใช่พี่ชายผม เป็นคนอื่น ผมยังไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเลยและอยู่ห้องเดียวกับเขามาตั้งนาน”
“พี่ชายของคุณถูกแทนที่ด้วยเงา?” สิ่งที่ฟ่านฉงพูดนั้นเข้ากับได้กับความสงสัยก่อนหน้านี้ของเฉินเกอ “นี่คือสิ่งที่เสี่ยวปู้บอกคุณ?”
“ใช่ พี่ชายผมไม่ได้กลับบ้านคืนนี้ และผมก็เป็นห่วงเขา” ฟ่านฉงนั่งลงบนเตียง และโครงเตียงเก่า ๆ ก็ลั่นเอี๊ยดจากน้ำหนักตัว มันเหมือนกำลังจะพังลงตอนไหนก็ได้ เทียบกับขนาดตัวเขาแล้ว เตียงนี่ดูเล็กมาก
“เตียงนี่ดูเหมือนจะเตรียมไว้ให้เด็ก” ฟ่านฉงอธิบายขณะแอบชำเลืองไปทางเสี่ยวปู้ เขากังวลว่าเขาจะทำเตียงพังเหมือนกัน
“เตรียมไว้ให้เด็ก?” เฉินเกอนั้นจับคำที่ฟ่านฉงใช้ได้อย่างรวดเร็ว “ในโทรศัพท์ คุณบอกผมว่าหลังจากเคลียร์เกมได้ เสี่ยวปู้เข้ามาในตึกนี้ ตึกนี้มีอะไรพิเศษ? มันดูไม่ต่างไปจากตึกอื่น ๆ ในเมืองหลี่ว่านไม่ว่าจะมองจากด้านในหรือด้านนอก”
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมได้ยินเรื่องนี้จากเสี่ยวปู้เหมือนกัน หลายปีก่อน เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลี่ว่าน และนี่ก็เป็นเพียงตึกเดียวที่พ้นจากการติดเชื้อมาได้”
“เพียงตึกเดียวที่ไม่ติดเชื้อ? คุณหมายความว่ายังไง?” เฉินเกอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เรื่องมันยาว คุณจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อเล่นเกมของเสี่ยวปู้จบ เกมนั่นใช้เมืองหลี่ว่านเป็นฉากและลอกแบบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลี่ว่านเมื่อตอนนั้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ฟ่านฉงนั้นผ่านภารกิจย่อยทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องทั้งหมด “ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อน มันสามารถส่องสว่างเหมือนพระอาทิตย์นำความอบอุ่นและสบายมาให้คนที่อ่อนแอและหมดหนทาง แต่มันก็สามารถเป็นขุมนรกมืดดำ ทั้งมืดและหนาวเหน็บ อันตรายอย่างไร้สิ้นสุด
“ต้นกำเนิดของโรคระบาดคือโรงพยาบาลหลี่ว่าน หมอพ่ายแพ้ และพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรคได้ ผู้ป่วยบางคนรู้ว่าพวกเขาไม่รอดแล้ว ดังนั้นจึงมีบางคนคิดที่จะแก้แค้นขึ้นมา พวกเขาทำให้เครื่องมือแพทย์และอาหารหลายอย่างปนเปื้อนด้วยเลือดของพวกเขา และไม่ช้า โรคก็เริ่มแพร่ออกไป
“ตอนแรก มันก็แค่ผู้ป่วยคนอื่น ๆ แต่ในที่สุด มันก็ลามไปถึงหมอก่อนที่จะกระจายไปครึ่งเมืองหลี่ว่าน โรคระบาดแพร่ออกไปเรื่อย ๆ และคนที่อาศัยอยู่ก็หวาดกลัว คนที่ติดเชื้อก่อนหลายคนนั้นเป็นบ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำการฆาตกรรมโดยตรง แต่คนบริสุทธิ์มากมายก็ตายเพราะพวกเขา ดังนั้นอันที่จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากฆาตกรต่อเนื่องเลย
“ตอนนั้น ทั้งเมืองหลี่ว่านเหมือนตกอยู่ในหายนะ และสถานที่ปลอดภัยเงียบสงบเดียวก็คือตึกนี้
“ก่อนที่ตึกจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผู้พัฒนาคิดว่าจะมีการพัฒนาเมืองจิ่วเจียงตะวันออกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อที่ดินและสร้างตึกอพาร์ทเม้นท์ใหม่ ตอนนั้น พวกเขาให้คำสัญญาสวยหรูว่าพวกเขาจะเก็บห้องส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เด็กกำพร้าและเจ้าหน้าที่เพื่อให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ จะมีที่อยู่ แต่ว่า หลังจากตึกถูกสร้าง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากลับถูกจำกัดเอาไว้ที่ชั้นใต้ดินที่หนึ่งและสอง
“ระหว่างที่มีการระบาดหนัก เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ไปไหน จากนั้นพวกเขาก็ไปเฝ้าระวังทางเข้าชั้นใต้ดินเอาไว้ พวกเขาตัดสินใจจะหยุดทุกคนที่คิดจะเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมทั้งตัวพวกเขาเองด้วย
“หนึ่งวันหนึ่งคืนให้หลัง ความช่วยเหลือก็มาถึง ไม่มีใครรู้ว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้บนโลกออนไลน์ ในเกม มันก็แค่บอกว่าเด็กกำพร้าทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือ ไม่มีใครในพวกเขาติดเชื้อเลย”
เล่าถึงตอนนี้ เสียงของฟ่านฉงก็เริ่มเปลี่ยนไป “พูดกันตามตรง ผมเคารพเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพวกนั้นมาก พวกเขาน่าจะเป็นความดีเดียวที่เมืองหลี่ว่านมี”
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่น่าเกลียดและโสมมที่สุด บางคนก็ยังคงเบ่งบานเป็นดอกไม้งาม
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตึกอื่น ๆ ล้วนเต็มไปด้วยรอยเปื้อนรูปคน แต่ตึกนี้สะอาดมาก” เฉินเกอได้รับคำตอบหนึ่งจากคำถามในใจของเา แต่ว่านี่ก็มีแต่นำไปสู่คำถามอื่นมากมาย “แต่ทำไมเสี่ยวปู้ถึงมาที่นี่ตอนจบเกม? นี่เป็นเพราะว่ามันเป็นตัวแทนความเมตตาของเธอเหรอ?”
ผู้เปิดประตูทุกคนล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่สุด– การไถ่บาปให้ตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
“คุณน่าจะสังเกตเห็นโปสเตอร์ที่ทางเดินใต้ดินใช่ไหม? มีภารกิจย่อยในเกมเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มาที่เมืองหลี่ว่าน พวกเขาหาตัวเสี่ยวปู้ และทำตึกนี้ให้เป็นที่หลบภัยของเสี่ยวปู้” ฟ่านฉงพยายามอย่างยิ่งที่จะนึกถึงฉากสุดท้ายจากเกมของเสี่ยวปู้ “พวกเขาต้องการช่วยเสี่ยวปู้ แต่ว่า เสี่ยวปู้ก็ต้องสัญญาจะช่วยพวกเขาเรื่องหนึ่ง”
“ช่วยแบบไหน?” เฉินเกอรู้ว่าคู่สามีภรรยาในภารกิจนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อแม่ของเขา บุหรี่ที่คุ้นเคย และโปสเตอร์บ้านผีสิงทุกหนแห่งนั้นเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ มีเพียงแค่พ่อแม่ของเขาที่จะไม่รู้สึกอายพอที่จะหิ้วโปสเตอร์ของบ้านผีสิงไปด้วยทุกหนแห่งที่พวกเขาไป
“ใช่” ฟ่านฉงหันไปมองเสี่ยวปู้ เห็นว่าเสี่ยวปู้ไม่มีท่าทีอะไรเขาก็พูดต่อ “พวกเขาต้องการให้เสี่ยวปู้กลายเป็นเงาให้ลูกของพวกเขา”
“ช่วยอธิบายให้ละเอียดที” เฉินเกอหรี่ตา
“คุณก็เห็นฟ้อนต์อักษรที่ใช้ในเกม– พวกมันอ่านยากมาก ผมเชื่อว่ามีข้อความที่บอกว่าเงาของลูกของพวกเขาหายไป ดังนั้นจึงอยากให้เสี่ยวปู้มาเป็นเงาใหม่ให้ลูกของพวกเขา ผมรู้ว่านี่ยากที่จะเชื่อมาก ๆ แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เกมบอกจริง ๆ ในเกม เสี่ยวปู้ไม่ตกลงกับเงื่อนไขของพวกเขาในทันที ดังนั้น พวกเขาจึงสร้างที่หลบภัยขึ้นในเมืองหลี่ว่าน หลังจากเสี่ยวปู้ตัดสินใจแล้ว เธอก็สามารถมาที่นี่เพื่อรอพวกเขาได้ และจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยเธอจัดการกับเงานั่น” ฟ่านฉงนั้นไม่เข้าใจคำพูดที่ออกจากปากของเขาเลยสักนิด และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้อยคำเหล่านี้นั้นมีผลกระทบต่อเฉินเกอรุนแรงแค่ไหน
“ให้วิญญาณสีเลือดไปเป็นเงา ใช่ นี่เป็นความคิดที่มีแต่พวกเขาที่คิดขึ้นมาได้” ตอนนี้ที่เสี่ยวปู้เข้ามาในที่หลบภัย มันก็หมายความว่าเด็กหญิงยินดีที่จะเป็นเงาให้เฉินเกอ แต่ว่า พ่อแม่ของเขาไม่ได้ทำตามที่พวกเขาสัญญาไว้ว่าจะจัดการกับเงาให้แต่กลับหายตัวไป ทั้งหมดนี่ทำให้เฉินเกอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับเสี่ยวปู้– เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไรดี “โอ้ ใช่ ตราบใดที่เงานั่นถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยมือใคร สัญญาก็นับว่าสมบูรณ์”
เข้ามาในห้องแล้วเฉินเกอก็เดินไปที่หน้าต่าง เสี่ยวปู้นั้นดูอายุไม่เกินแปดขวบเท่านั้น ชุดสีแดงนั้นเลื่อนไหลเหมือนเลือดตัดกันกับผิวซีดขาวของเธอ แค่เข้าไปใกล้ ๆ กับเด็กหญิงก็ทำให้ซู่อินกระตุ้นเตือนอย่างรุนแรง
“เธอดูทรงพลังมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอต้องจัดการกับประตูที่หลุดออกจากการควบคุม เขาไม่รู้ว่าเมื่อประตูหลุดออกจากการควบคุมนั้นผู้เปิดประตูจะได้รับผลกระทบอย่างไร แต่จากที่เขารู้ ผู้ผลักประตูดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้
“คนที่ให้สัญญากับเธอคือพ่อแม่ของฉัน ฉันคือเด็กคนนั้นที่เสียเงาไป” ได้ยินที่เฉินเกอพูด ขนตาของเด็กหญิงที่เหม่อลอยอยู่ก็ดูเหมือนจะขยับ เธอหันกลับมาช้า ๆ และเฉินเกอก็แทบหายใจไม่ออก
“นี่…” ชุดสีแดงนั้นลอยอยู่ในสายลม เสี่ยวปู้นั้นไม่มีแขนและขา มีช่องว่างใหญ่อยู่ตรงจุดที่หัวใจของเธอควรอยู่
เด็กคนนี้นั้นเหมือนกับประตูนั่นเปี๊ยบ! นอกจากหัวที่นับเป็นใจกลางแล้ว ส่วนอื่น ๆ ที่หายไปล้วนเทียบกับประตูได้โดยสมบูรณ์!
มองเด็กหญิงเงียบ ๆ แล้วในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวปู้ถึงยินดีเข้ามาในที่หลบภัย ไม่มีใครยินดีสละซึ่งอิสระของตนเองหรอก
เฉินเกอเดินเข้าไปอีกหลายก้าวโดยไม่สนใจคำเตือนจากซู่อิน หัวใจของเขาเจ็บปวดเล็กน้อย “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อสัญญาอะไร เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส และผมก็เชื่อว่าผมคงไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของความเจ็บปวดของเธอ ดังนั้นผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในมุมของเธอปลอบโยนเธอด้วยถ้อยคำกลวงเปล่า ผมรู้ว่าคำพูดไหน ๆ ก็ล้วนว่างเปล่า
“แต่สัญญาก็คือสัญญา ผมจะช่วยเธอจัดการกับเงานั่นดังนั้นเธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
เฉินเกอหยุดที่ตรงหน้าเสี่ยวปู้ นั่งลงช้า ๆ เพื่อมองเข้าไปในใบหน้าไร้ความรู้สึกที่ระดับสายตาเท่ากัน “ภาพที่ด้านนอกหน้าต่างนั้นเป็นอย่างที่วาดไว้นั่นแหละ หลังจากเงานั่นถูกจัดการแล้ว ผมจะพาเธอไปดูโลกข้างนอก พวกเราจะไปยังที่ที่เธออยากไป ไปดูโลกที่รอคอยเธออยู่”
เฉินเกอไม่ได้ยกบุญคุณขึ้นมาอ้าง เขาจะไม่ทำให้เสี่ยวปู้ต้องไปอยู่เป็นเงาของเขาเอง
บางทีอาจจะเพราะรู้สึกว่าเฉินเกอไม่ได้โกหก เสี่ยวปู้กะพริบตาหลายครั้ง เลือดไหลออกมาจากที่หางตาของเธอ และเลือดหยดนั้นก็กลายไปเป็นประโยค
“คนที่ไม่มีเงานั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ คุณแน่ใจเหรอว่าคุณไม่ต้องการให้หนูไปเป็นเงาของคุณ?”