เลือดซึมออกมาจากกระจกหน้าต่าง เปื้อนไปบนรูปวาดที่บนกำแพง ทำให้มันดูไม่เป็นมงคลยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

“ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ผมก็จะไม่ยึดเอาอิสระเสรีของเธอมา นอกจากนี้ ผมอยู่โดยไม่มีเงามานานขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผมก็อยู่อย่างสบายดีไม่ใช่เหรอ? ทุกปัญหามีทางแก้ และผมก็แน่ใจว่าเรื่องนี้น่ะมีวิธีแก้ไขวิธีอื่น”

เฉินเกอนั้นเป็นคนมองโลกในแง่ดี ต่อให้เขาจะไม่ได้หล่อเหลา แต่ก็มีบางอย่างในตัวเขาที่ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ มอบความหวังบางอย่างให้กับคนที่ใกล้ชิดกับเขา

สีหน้าของเสี่ยวปู้ไม่เปลี่ยน เลือดที่บนกำแพงทวนซ้ำคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเธอพยายามทำให้แน่ใจว่าเฉินเกอคิดดีแล้ว สำหรับคนที่ได้รับความเสียใจซ้ำ ๆ พวกเขาก็เลือกที่จะทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นมากกว่าจะเชื่อถือในตัวคนอื่น นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาตระหนักดีว่าเมื่อคนผู้หนึ่งไว้วางใจคนผิดแล้วนั้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดกรีดร่างมากนัก

“ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง เธอเคยพบพ่อกับแม่ของผม พวกท่านได้บอกอะไรเธอไหม? อย่างเช่นพวกท่านวางแผนจะทำอะไรต่อไป สถานที่ที่พวกท่านน่าจะไป?”

ในตอนแรกเลย เฉินเกอนั้นทุ่มทุกอย่างที่เขามีไปกับบ้านผีสิงเพราะเขาต้องการเก็บสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่ของเขาทิ้งไว้เอาไว้ให้ได้ เขาต้องการปกป้องมันไว้ด้วยทุกอย่างที่เขามี การตามหาพ่อกับแม่กลายเป็นเป้าหมายของเขา ดังนั้นตอนนี้ที่เงื่อนงำหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาย่อมคว้ามันเอาไว้แน่น

เสี่ยวปู้ดูเหมือนจะรู้ว่าเฉินเกอจะถามคำถามพวกนี้ เลือดไหลออกจากหน้าต่างมากขึ้น และประโยคเลือดอีกประโยคก็ปรากฏขึ้นบนกำแพง “พวกเขาไม่ได้บอกหนูตรง ๆ ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน แต่ว่าพวกเขาพูดถึงโรงพยาบาลกลางซินไห่ตอนที่พวกเขาคุยกัน”

“โรงพยาบาลต้องสาป?” หนึ่งในสองภารกิจระดับสี่ดาวที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้” เฉินเกอเอนตัวเข้าหากำแพงและจมไปในภวังค์ความคิด “เงานั่นเกี่ยวข้องกับผีทารก และการหายตัวไปของพ่อกับแม่ของฉันก็เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลกลางซินไห่ เป็นฉากระดับสี่ดาวทั้งคู่… ฉันยังไม่อยากรับมือกับพวกเขาตอนนี้ นอกจากนี้ ฉากระดับสี่ดาวที่จิ่วเจียงตะวันตก– โรงเรียนแห่งปรโลก– ก็กำลังจะหมดเวลาในไม่ช้าแล้ว หลังจากออกจากเมืองหลี่ว่าน ฉันควรจะไปทำภารกิจนั้นก่อน”

สำหรับภารกิจทดลองที่โทรศัพท์เครื่องดำให้นั่น การเพิ่มขึ้นหนึ่งดาวนั้นหมายถึงระดับความยากของภารกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก พูดกันตามตรง เฉินเกอนั้นไม่มีความมั่นใจเต็มที่ว่าเขาจะสามารถรับมือกับฉากระดับสี่ดาวได้

“ไม่เป็นไร นี่ยังไม่ใช่เวลามาจัดการกับเรื่องนี้ ฉันควรจะตั้งใจกับเรื่องตรงหน้าก่อน” เฉินเกอขยับไปหาเสี่ยวปู้ เขาอยู่ใกล้กับเด็กหญิงมากแล้ว แต่ว่าเสี่ยวปู้ก็ไม่มีทีท่าจะหลบหรือว่ารำคาญ นี่ทำให้ฟ่านฉงที่จับตามองอยู่ข้าง ๆ เหงื่อตก อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง

“พ่อกับแม่ของผมบอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเงาไว้ไหม? บางอย่างเช่นจุดอ่อนของมันหรืออะไรคล้าย ๆ แบบนั้น?” เฉินเกออยากจะได้ข้อมูลจากเสี่ยวปู้มากขึ้น แต่ว่าปฏิกริยาของเสี่ยวปู้ก็ทำให้เขาผิดหวัง เลือดที่บนกำแพงเริ่มขยับอีกครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นประโยคเจ้ากรรมนั่น “คนที่ไม่มีเงาไม่ใช่คนของโลกนี้”

เด็กคนนี้น่าจะรู้มากกว่าที่เธอพูด ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกฉันเฉินเกอยืนขึ้น ฟ่านฉงงุนงงเมื่อได้ยินเฉินเกอเรียกเสี่ยวปู้ แต่หลังจากที่เขาคิดดูแล้ว วิญญาณสีเลือดตนนี้อันที่จริงก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” เฉินเกอหันไปมองฟ่านฉง ฝ่ายหลังนั้นมีรอยยิ้นจนปัญญาบนหน้า

“อย่าถามผมสิ คำถามที่คุณถามผมเมื่อกี้ก็เป็นคำถามที่ผมก็อยากถามคุณเหมือนกัน”

ฟ่านฉงนั้นบอกเฉินเกอทุกอย่างเกี่ยวกับเกมแล้ว ตอนนี้เขาต้องการให้เฉินเกอตัดสินใจ

“รอยเปื้อนรูปคนนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่ เทียบกับพวกวิญญาณแล้ว พวกมันมีจิตมุ่งร้ายกว่ามากและยังเป็นสิ่งที่บางคนจงใจสร้างขึ้น พวกมันสร้างขึ้นจากความคิดชั่วร้ายล้วน ๆ และยังไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลือในตัวอีกต่อไป” สิ่งเหล่านี้นั้นไม่มีประโยชน์กับพวกเขาเลยสักนิด วิญญาณนั้นอาจจะได้รับผลกระทบหากพวกเขาสัมผัสเข้ากับรอยเปื้อน ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่ยินดีที่จะให้พนักงานของเขาเสี่ยง

“วิญญาณสามารถกลืนกินและย่อยพวกมันได้ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่ง คำสาปที่พวกเขาสามารถกลืนกินได้ก็มากขึ้นเท่านั้นโดยไม่ได้รับผลกระทบอะไร ถ้านี่คือความกังวลของคุณ หนูสามารถช่วยคุณเปิดทางได้” เลือดที่บนกำแพงขยับเป็นประโยคนี้ เสี่ยวปู้นั้นมีวิธีการจัดการกับรอยเปื้อนรูปคน “คำสาปตัวเล็กสามารถกดเอาไว้ได้ มีเพียงแค่คำสาปตัวใหญ่ที่จะส่งผลด้านลบกับวิญญาณ”

“เธอเรียกพวกมันว่าคำสาป?” เพราะอะไรสักอย่าง เฉินเกอนึกถึงฉากระดับสี่ดาวในโทรศัพท์เครื่องดำ– โรงพยาบาลต้องสาป

“ความคิดที่ยังเหลืออยู่หลังจากตายไปสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย– วิญญาณสัมภเวสี คำสาป สิ่งเหนือธรรมชาติ และอื่น ๆ รอยเปื้อนเหล่านี้คือคำสาป สร้างขึ้นจากความโชคร้ายและจิตมุ่งร้ายเพียงอย่างเดียว”

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิญญาณกินและย่อยคำสาปมากเกินไป?” เฉินเกอถาม

“พวกเขาก็จะกลายไปเป็นคำสาปใหม่ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่ง คำสาปที่พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นก็จะยิ่งชั่วร้าย” เลือดที่บนกำแพงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เสี่ยวปู้นั้นไม่ได้พูดอะไรสักคำ และเธอก็ยังคงใช้วิธีการนี้ในการสื่อสารกับเฉินเกอ

“ของอย่างคำสาปนี่ควบคุมได้ไหม? จากที่เธอพูด คำสาปเหล่านี้ทำลายทุกอย่างที่อยู่ในสายตา พวกมันไม่สามารถจัดการได้เลย แต่ทำไมเงานั่นถึงสามารถทำอย่างนั้นได้ เขาทำอย่างไรกัน?”

“หนูก็ไม่รู้ บางทีเงานั่นอาจจะมีวิธีการของตัวเอง หรือบางทีเงานั่นอาจจะเป็นคำสาปหนึ่งก็ได้” อักษรเลือดที่บนกำแพงทำให้เฉินเกอตกตะลึงไปอีกครั้ง

“เงานั่นอาจจะเป็นคำสาปเองก็ได้?” ยิ่งเฉินเกอคิด มันก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ พ่อกับแม่ของเขานั้นคงไม่ทำเงาของเขาหายไปโดยไม่มีเหตุผล บางทีเขาอาจจะถูกสาปตอนที่ยังเด็ก และจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็อาจจะส่งต่อคำสาปไปยังเงาของเขา แต่ว่า เขาไม่สามารถแบ่งปันความคิดนี้กับคนอื่นได้– เขาเก็บมันไว้กับตัวเอง

“ถ้าเงานั่นเองก็เป็นคำสาป อย่างนั้นมันก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกเมืองหลี่ว่านเป็นรังของตัวเอง เขาต้องการใช้ประโยชน์จากคำสาปและความแค้นที่ถูกฝังลึกอยู่ใต้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้” คำสาปคือไพ่ตายของเงานั่น และมันก็เพราะปัญหานี้ที่ขวางทางเฉินเกอ

“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากไป กระทั่งคำสาปยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังนั้นการควบคุมที่เงานั่นมีเหนือพวกมันน่าจะเป็นเหมือนการกระตุ้นบางอย่าง มันไม่สามารถควบคุมคำสาปได้อย่างใจคิด หนูบอกคุณก่อนหน้านี้แล้ว คำสาปน่ะสร้างขึ้นจากความชั่วร้ายเพียงอย่างเดียว มีสิ่งประหลาดมากมายในเมืองหลี่ว่าน พวกมันสามารถช่วยเราดึงดูดความสนใจบางส่วน ดังนั้น พวกเราแค่ต้องออกจากเมืองหลี่ว่านให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเป็นคำสาป”

เฉินเกอมองอักษรเลือดที่บนกำแพงและอารมณ์ในดวงตาของเขาก็อ่อนลง ในเมื่อเสี่ยวปู้นั้นยินดีจะสื่อสารกับเขาอย่างเปิดเผย นี่หมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เอาละ พวกเราต้องออกไปจากที่สี่ก่อน พวกเราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ข้างนอกนั่น”

ในห้อง ฟ่านฉงมองเฉินเกอกับเสี่ยวปู้ และไขมันบนร่างของเขาก็สั่นระริกไม่หยุด

เขารู้ว่าเฉินเกอนั้นเป็นมิตร แต่เขาก็อดตัวสั่นอย่างหวาดกลัวจากหัวใจไม่ได้ สิ่งที่เขาเห็นนั้นประหลาดเกินไป ผู้ชายคนหนึ่งกับอาวุธสังหารยืนอยู่ข้าง ๆ วิญญาณสีเลือดที่ไม่มีแขนขา วิญญาณไม่พูดอะไรสักคำ และชายหนุ่มก็เอาแต่อ่านอักษรเลือดที่เปลี่ยนไปมาบนกำแพงพร้อมกับแววตาเมตตาและอ่อนโยน

“ฉันเข้ามายุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี่ได้ยังไง? ฉันแค่อยากกลับบ้าน…”

เฉินเกอนำทางทั้งกลุ่มมาถึงที่ลิฟท์ “มีห้องมากมายที่นี่ พวกเราแน่ใจใช่ไหมว่าไม่พลาดอะไรไป?”

มองประตูที่ปิดอยู่ เฉินเกอก็ถามยิ้ม ๆ “เสี่ยวปู้ เธออยู่ที่นี่มาตั้งนาน เธอได้ผูกมิตรกับเพื่อนบ้านบ้างไหม? พวกเราพาพวกเขาไปด้วยได้นะ”

เสี่ยวปู้ส่ายหน้า– เธอยังคงต้องการเวลาเพื่อคุ้นเคยกับความใจดีเกินเหตุของเฉินเกอ เฉินเกอกดปุ่มเรียกลิฟท์ เมื่อประตูเปิด มือของฟ่านฉงก็เลื่อนไปปิดปากและจมูกของตัวเอง ภายในลิฟท์นั้นเต็มไปด้วยเลือดและรอยมีด และทั้งกลุ่มจากก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว

“ไม่เป็นไร คุณจะคุ้นเคยกับมันเอง” เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องปลอบฟ่านฉงด้วย พวกเขาเดินเข้าไปในลิฟท์ ขึ้นไปที่ชั้นด้านบนอย่างช้า ๆ แต่เสียงประหลาดจากด้านบนนั้นหายไปหมดแล้ว พอกลับมาถึงชั้นแรก ตอนที่ประตูลิฟท์เปิดออก เฉินเกอก็กำค้อนเอาไว้ ห้องโถงเงียบเชียบ ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือร้องขอความช่วยเหลือ น่าแปลก ว่าไม่มีแอ่งเลือดหรือว่าศพเช่นกัน

“คนพวกนั้นไปไหนหมดแล้ว?” เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางของเขามองไปรอบ ๆ หมอกเลือดนั้นบางลงกว่าก่อนหน้า บางครั้งเขาก็มองเห็นเงาวับแวมเดินอยู่บนถนนและพวกมันทั้งหมดก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน

“มีบางอย่างกำลังดึงดูดรอยเปื้อนรูปคนเหล่านี้”

“คำสาปทั้งหมดนั้นเคลื่อนที่ไปทางประตู” เสี่ยวปู้ยังไม่พูดสักคำ ตัวอักษรก็ก่อตัวจากหมอกเลือดในที่อากาศ ในฐานะผู้เปิดประตู เธอเป็นเจ้าของแท้จริงของหมอกเลือดเหล่านี้ แต่นั่นกลับถูกเงาใช้กำลังบังคับยึดไป

“เธอสามารถดึงหมอกคืนกลับจากเงานั่นได้มากแค่ไหน?” แผนการหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเฉินเกอ

“ประมาณครึ่งหนึ่ง แขนขากับหัวของหนูถูกเงานั่นซ่อนไว้ที่ด้านนอกเมืองหลี่ว่าน มันอยู่นอกอาณาเขตที่หนูมีอิทธิพล นอกจากนี้ เงานั่นยังครอบครองหัวใจของหนูอยู่ และเขาก็อยากจะใช้หัวใจควบคุมประตู” ทุก ๆ ถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเสี่ยวปู้ คนอ่านอย่างเฉินเกอและฟ่านฉงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดที่ได้รู้เรื่องราวของเธอ

“ไม่แปลกใจเลยที่เงานั่นสร้างอพาร์ทเม้นท์ผีเอาไว้ที่ด้านนอกเมืองหลี่ว่าน เมืองหลี่ว่านถูกใช้ในการสั่งสมความสิ้นหวังและความรู้สึกด้านลบขณะที่เขตที่พักหมิงหยางนั้นถูกใช้เพื่อกดเสี่ยวปู้เอาไว้ เพื่อให้เสี่ยวปู้ทำตามคำสั่งของเขา เขาวางแผนทั้งหมดเอาไว้” เฉินเกอบอกเสี่ยวปู้ให้หยุดควบคุมหมอกเลือดก่อนสำหรับตอนนี้เพื่อให้พวกเขาไม่ดึงดูดความสนใจของเงานั่น “เพื่อนหลายคนของผมออกจากเมืองหลี่ว่านไปค้นหาที่อพาร์ทเม้นท์ผี ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับแขนขาและหัวของเธอในไม่ช้า หลังจากนั้น เธอจะทำให้เงานั่นประหลาดใจกับการกลับมาของเธอ และพวกเราจะร่วมมือกันกำจัดเงานั่น”

แผนการของเฉินเกอนั้นเป็นไปได้ แต่เสี่ยวปู้ดูเหมือนจะไม่คิดอย่างนั้น “คุณฆ่าเขาไม่ได้”

“ทำไม?” เฉินเกอถามเหตุผล แต่ว่าเสี่ยวปู้ไม่ได้ตอบ ไม่ว่าเฉินเกอจะถามอะไรหลังจากนั้น เสี่ยวปู้ก็ไม่ตอบเขาแล้ว พวกเขาเดินไปตามถนนเมืองหลี่ว่าน เสี่ยวปู้นั้นคุ้นเคยกับผังเมืองหลี่ว่าน นี่เป็นประตูที่เธอเป็นคนเปิด ดังนั้นพูดตามทฤษฎีแล้ว โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของเธอ

ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวปู้ เฉินเกอและฟ่านฉงจึงหลีกเลี่ยงอันตรายทั้งหมดและไปถึงที่เขตที่พักของฟ่านฉง ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของหมอกเลือดนั้นเกาะกลุ่มกันอยู่ที่นั่น และสิ่งที่น่ากลัวก็คือ คำสาปที่รวมตัวกันอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ในเมืองหลี่ว่านนั้นล้วนปรากฏตัวอยู่ในหมอกเลือดด้วยเช่นกัน

พวกมันเปลี่ยนไปเป็นเส้นด้ายสีดำที่พันอยู่รอบร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางหมอก เส้นด้ายสีดำตรึงเงาร่างที่ว่าเอาไว้กับพื้น ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินต่อได้แม้แต่ก้าวเดียว

“เสี่ยวปู้ วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งจะกินคำสาปได้มากแค่ไหน?” เฉินเกอนั้นกลัวว่าเสี่ยวปู้จะไม่ตอบ ดังนั้นจึงเสริม “ผู้ชายคนที่สู้กับเงานั่นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในหมู่วิญญาณสีเลือด ครั้งหนึ่งเขาเคยแบกรับอารมณ์ด้านลบที่ด้านหลังประตูเอาไว้ได้ด้วยตนเอง ตัวตนเช่นนั้นจะสามารถต่อต้านคำสาปที่สั่งสมอยู่ในเมืองหลี่ว่านได้ไหม?”

เสี่ยวปู้ส่ายหน้า “ไม่ แต่เขาสามารถต้านทานคำสาปได้ระยะเวลาหนึ่ง”

“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอโบกมือให้ฟ่างฉงตามเขาไป “อย่างนั้น พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาสู้กันก่อนตอนนี้”

“พวกเราจะแค่ซ่อนตัวแอบมองอยู่จากด้านข้างเหรอ?” ฟ่านฉงงุนงง “พวกเขากำลังคุมเชิงกันอยู่ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเรา ไม่ว่าจะหนีหรือว่าจะลอบโจมตี พวกเราจะทำอะไรก้ได้!”

เฉินเกอนั้นสัญญาว่าจะฆ่าเงานั่น แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่ เฉินเกอมองไปรอบ ๆ และบอกให้พวกเขาหาที่ซ่อน นั่นดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่

“พวกเราจะลงมือเมื่อพวกเขาสู้กันเสร็จ ทั้งสองฝ่ายนี้มีความลับมากเกินไป พวกเราประมาทไม่ได้ นอกจากนี้ ยิ่งพวกเขาดึงดันกันนานเท่าใด ก็ยิ่งดีกับพวกเรา เมื่อพวกเราเจอชิ้นส่วนที่หายไปของประตู พวกเราก็จะได้เปรียบ พวกเราจะลงมือตอนนั้น” เฉินเกอมองไปยังหมอกเลือดที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่น “พวกเขาไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นมิตร ดังนั้น ทางเลือกเดียวแห่งชัยชนะก็คือเอาชนะพวกเขาทั้งคู่”

“คุณวางแผนจะจัดการกับพวกเขาพร้อมกัน?” ฟ่านฉงกุมหน้าอกตัวเอง เขาไม่กล้าถามต่อแล้ว ทุกอย่างนั้นเร็วเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้แล้ว

“เงานั่นน่าจะสามารถสู้กับพลังของคุณหมอเกาได้ด้วยการใช้หมอกเลือดและคำสาปที่ฝังอยู่ในเมืองหลี่ว่าน ถ้าเขาไม่ได้ครอบครองไพ่ตายใบอื่นอีก เขาน่าจะเป็นฝ่ายที่แพ้ก่อน” เฉินเกอเข้าใจว่าคำสาปนั้นจำต้องใช้เวลากว่าที่มันจะเริ่มส่งผลชั่วร้าย และในช่วงเวลานั้น คุณหมอเกาน่าจะจัดการกับเงานั่นได้

“เงา? คุณหมอเกา? ฟังเหมือนคุณคุ้นเคยกับพวกมันทั้งคู่อ่ะ” ฟ่านฉงไม่ได้คาดว่าเฉินเกอจะตอบ และเขาก็ลดเสียงลงเป็นกระซิบ ใบปลิวสมาคมเล่าเรื่องผีนั้นอยู่กับซู่อิน แต่ว่าคุณหมอเกาน่าจะรู้สึกได้ว่าใบปลิวนั้นใกล้เข้ามา และเขาก็ยิ่งบ้าคลั่ง ในทะเลสีเลือด โซ่สะบัดไม่หยุดยั้ง เกิดเสียงโลหะกระแทกดังก้องไม่หยุด

“หมอเกาแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้ได้อย่างไร? เขาประสบกับอะไรมาบ้างที่ด้านหลังประตู? เขากลืนกินวิญญาณสีเลือดเข้าไปเยอะมากใช่ไหม?” เฉินเกอไม่เข้าใจ ตอนที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านโลงศพ ผีที่ด้านในบ่อน้ำนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากเธอเข้าประตูไป แต่ว่าเธอต่างจากคุณหมอเกา ทั้งหมดที่เธอต้องการก็คือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ให้ความสนใจแต่กับการแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่

ขณะที่เขาสนใจกับการไขปริศนานี้ โทรศัพท์ของเฉินเกอเองจู่ ๆ ก็สั่น เขารีบดึงมันออกมาดู มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน “จากถงถง พวกเขาทำสำเร็จแล้ว?”

แต่ว่า หลังจากอ่านข้อความ ทั้งหมดที่เฉินเกอทำได้ก็คือขมวดคิ้ว มีข้อความสั้น ๆ เพียงว่า “เด็กเยอะมาก! รีบมา!”

“ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเกิดบางอย่างขึ้น” เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไป และไม่ยอมเสียเวลาเปล่า เขาเรียกฟ่านฉงและเสี่ยวปู้มา พวกเขาวิ่งไปทางชานเมืองหลี่ว่าน

ตอนที่เฉินเกอตัดสินใจนั้น ทะเลเลือดที่ด้านหลังเขาจู่ ๆ ก็ระเบิดออก เงาที่ดูเหมือนเฉินเกออย่างน่าสงสัยนั้นไถลออกมา พุ่งมาทางอพาร์ทเม้นท์ผีที่ชานเมืองหลี่ว่าน

หมอกเลือดสลายไป และเสียงที่ราวกับดังมาจากนรกก็ก้องอยู่ในหูทุกคน “เฉินเกอ…”

เสื้อคลุมหมอสีขาวนั้นย้อมเป็นสีแดงไปหมดแล้ว และสีแดงนั้นยังสดใสยิ่งกว่าสีเลือด

โซ่เส้นดำหนาหนักขดอยู่รอบ ๆ เสื้อคลุมสีขาว ท่อนล่างของชายคนนั้นละลายเป็นเลือดสีแดงเข้ม เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ว่าเขาดูราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

ดวงตาของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยปัญญาตอนนี้เป็นสีแดงไปหมดแล้วช้อนมองขึ้น เฉินเกอและเงานั่นสะท้อนอยู่ในม่านตาของเขาทั้งคู่

“เฉินเกอ…”

คุณหมอเกา!

เฉินเกอเร่งฝีเท้าพุ่งตัวไปให้ไกล “ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียสติไปแล้วแต่ทำไมอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วเขายังจดจำได้อีก? นี่เป็นเพราะว่าฉันทิ้งความทรงจำไว้ให้เขาลึกซึ้งเกินไปงั้นเหรอ?”