ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
“ข้าสบายดี ทว่าไท่จื่อที่ทรยศต่อแว่นแคว้นตนเอง เมื่ออาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น ชีวิตคงไม่ราบรื่นนักกระมัง? ”
เยี่ยเซินเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทว่าท่านกบฏต่อแคว้นจงหนิง หาใช่รัชทายาทแห่งจงหนิงอีกต่อไป ดูเหมือนท่านจะเป็นขุนนางใหญ่แห่งแคว้นไหวเจียงเสียแล้ว! ฮ่องเต้แคว้นไหวเจียงให้ท่านดำรงตำแหน่งใดหรือ? แต่งตั้งท่านเป็นบุตรบุญธรรม หรือยกให้เป็นรัชทายาท? ท่านได้รับฐานะอันทรงเกียรติเท่ากับตอนที่อยู่แคว้นจงหนิงก่อนหน้านี้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีเห็นว่าชีวิตของเยี่ยเซินในแคว้นไหวเจียงนั้นลำบาก จึงจงใจสะกิดบาดแผลของเขา
คนที่คิดคดทรยศต่อครอบครัวตนเองและบ้านเมือง ศัตรูจะยังเชื่อใจเขาได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงดูจากตำแหน่งที่เขา หลานอวี่ และกูสือซานยืนอยู่ก็รู้แล้ว
หากแคว้นไหวเจียงมอบฐานะอันทรงเกียรติแก่เข้าจริง เขาคงไม่ยืนอยู่ข้างหลังกูสือซาน
สีหน้าของเยี่ยซินที่ถูกซูจิ่นซีเยาะเย้ยนั้นดูไม่ค่อยดีนัก ทว่าเขายังคงใจแข็งพูดกับนาง
“จิ่นซี เยี่ยโยวเหยาดีกับเจ้าหรือไม่”
“ข้าเป็นพระชายาคนโปรดของท่านอ๋อง จนถึงตอนนี้ ท่านอ๋องยังไม่มีพระสนม หากเขาไม่ดีกับข้า แล้วจะดีกับผู้ใดได้อีก? ”
แววตาของเยี่ยเซินปรากฏความริษยา
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี! ”
ผู้คนทั้งสนามต่างฟังเยี่ยซินและซูจิ่นซีพูด ‘รำลึกถึงความหลัง’ ทว่ากูสือซานไม่ใคร่จะยินดีนัก
“เยี่ยเซิน หากมีเรื่องพูด ไว้พูดตอนที่การต่อสู้จบลงเถิด เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะจับซูจิ่นซี นางแพศยานี่ส่งไปให้เจ้าถึงห้อง พวกเจ้าจะได้มีเวลาค่อยๆ รำลึกความหลังกัน”
“คางคกริอาจกินเนื้อหงส์ ข้าว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้า คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง” อู๋จุนตะคอกเสียงดัง เขาหยิบแส้ยาวในมือออกมาและฟาดไปทางเยี่ยเซิน
หลานอวี่และกูสือซานเข้ามาขวางด้านหน้าเยี่ยเซินทันที และจู่โจมอู๋จุนพร้อมกัน
เมื่อเห็นทั้งสามคนต่อสู้กัน ทั้งสนามประลองพลันเกิดความโกลาหล ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ประตูของสนามประลองทุกบานถูกปิดกั้น ในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถออกไปได้อีกแล้ว
ไม่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับสกุลจงหรือไม่ ในวันนี้ ทุกคนต่างตกกระไดพลอยโจนกันหมด
ขณะที่คนอื่นกำลังต่อสู้กัน ซูจิ่นซีได้ทำการเดินพลังลมปราณอย่างเชื่องช้า จนตอนนี้พลังลมปราณของนางเกือบจะสมดุลแล้ว สิ่งแรกที่นางทำคือ จับตัวจงซูอี้
ยามที่ซูจิ่นซีและจงซูอี้กำลังปะทะกัน JX3 ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้าซูจิ่นซี และช่วยนางต่อสู้กับจงซูอี้
ระหว่างที่ต่อสู้กัน JX3ก็คอยรายงานสถานการณ์ให้ซูจิ่นซีฟัง
“นายท่าน องครักษ์เงาของจงซูอี้ที่อยู่ด้านนอกถูกจัดการหมดแล้ว ขุนพลผีของพวกเราเข้ามาแทนที่เรียบร้อย”
“ฝั่งจวนฉีอ๋องเริ่มกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว ฉีอ๋องสั่งให้คนมาส่งข่าว ฝั่งพวกเราเพียงจัดการจงซูอี้เท่านั้น จงเนี่ยและมู่หรงเฟิง ฉีอ๋องจะจัดการเอง”
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด ทว่านางได้ยินทุกคำ
หลังจากพูดจบ JX3ยังมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย
“นายท่าน กองทัพใหญ่สี่หมื่นนายของสกุลจงยังอยู่ด้านนอกประตูเมือง กองกำลังทหารของฉีอ๋องยังหาทางเข้าเมืองไม่ได้ ทั้งกองกำลังของพวกเราก็มีไม่มากพอ และยังหาตำหนักฉินเจิ้งไม่พบ นอกจากนั้น ที่ JX1 ขอให้สี่สกุลใหญ่ออกหน้าให้ก็ยังไม่รู้ผล ข้าน้อย… กังวลว่า… ”
JX3ไม่ใช่คนเดียวที่กังวล ซูจิ่นซีก็กังวลมากเช่นกัน
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้กำลังคนของพวกเขามีไม่พอ อันตรายก็คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ นางเองไม่รู้ว่าควรหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใด กำลังคนที่ต้องการก็หามาได้แล้ว แม้พวกเขาจะพอต่อกรกับจงซูอี้และคนจากไหวเจียงได้ ทว่าทางมู่หรงฉีนั้น…
ทางมู่หรงฉีก็อันตรายไม่ได้น้อยไปกว่าที่นี่เลย…
นางจะช่วยมู่หรงฉีอย่างไร…
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็มองไปยังที่นั่งของจิ่วหรง
……
จวนฉีอ๋อง
มู่หรงฉีทรงม้าตัวใหญ่มาตลอดทาง หลังจากรับหลิงเซียวจวิ้นจู่มาจากสำนักโอสถสกุลจง ทั้งสองคนก็ทำพิธีข้ามเตาถ่าน จากนั้นจึงเซ่นไหว้ป้ายวิญญาณพระมารดาฉีอ๋อง และเข้าวังด้วยกันอีกครั้ง
เนื่องจากตำแหน่งและสถานะของฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลีนั้นซับซ้อน ดังนั้นขั้นตอนการอภิเษกจึงซับซ้อนเช่นกัน
พิธีกราบไหว้ฟ้าดินยังคงจัดขึ้นในพระราชวัง
ภายในตำแหน่งฉินเจิ้ง มู่หรงเฟิงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั่งขนาบข้างทั้งสองฝั่ง มู่หรงฉีและหลิงเซียวจวิ้นจู่เดินเคียงกันโดยถือผ้าลายดอกโบตั๋นสีแดง ทั้งสองค่อยๆ เดินเข้ามาในตำหนักใหญ่
หลินเซี่ยง ขุนนางคนปัจจุบันทำหน้าที่ดำเนินพิธีการด้วยตนเอง เพื่อเป็นพยานในพิธีอภิเษกระหว่างท่านอ๋องและจวิ้นจู่
ทุกคนต่างแสดงความยินดี มู่หรงฉีเดินเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง พลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ
เขาพบว่าแววตาของแม่ทัพหลายนายดูแปลกไปมาก ทว่ามีแม่ทัพบางคนที่สวามิภักดิ์ต่อเขา เมื่อสบตากับฉีอ๋อง แววตาของพวกเขาพลันปรากฏความหนักแน่น เป็นสัญญาณว่าเพียงมู่หรงฉีออกคำสั่ง พวกเขาก็จะปฏิบัติตามทันที
แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะไม่ราบรื่นนัก ทว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว
ตั้งแต่ที่เขาและหลิงเซียวจวิ้นจู่ออกจากจวนสกุลจง เขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากลานแข่งขันอีกเลย
แม้จะไม่ทราบข่าว ทว่านับตามเวลา ทางนั้นคงเริ่มปฏิบัติการแล้ว
หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ย่อมไม่ได้มีเพียงเขาและเสด็จพ่อเท่านั้นที่จะตกอยู่ในอันตราย กระทั่งสำนักแพทย์สกุลจงและซูจิ่นซี ก็จะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน
ดังนั้นเขาต้องเดินหน้าต่อไป ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว
คู่บ่าวสาวยืนเผชิญหน้ากัน เมื่อมองผ่านลูกปัดสีทองเส้นยาวที่อยู่บนหน้าผาก หลิงเซียวจวิ้นจู่สามารถมองเห็นความหล่อเหลาสง่างามของคนที่อยู่เบื้องหน้าตนเองได้อย่างชัดเจน พี่ฉีโดดเด่นท่ามกลางผู้คน!
แม้นางจะไม่ใช่พระธิดาในเชื้อพระวงศ์ ทว่านางได้รับเกียรติและความสูงศักดิ์ ซึ่งมีเพียงสตรีในเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถมีได้
นางเป็นสตรีที่ได้รับเกียรติสูงสุดในแคว้นหนานหลี นางเป็นสตรีที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลี มหาอุปราช และฉีอ๋องรักใคร่ ตั้งแต่เด็ก นางใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจ มีฐานะสูงศักดิ์ไร้ผู้ใดเปรียบ
เพราะเหตุนี้ นางจึงเติบโตมากับพี่ฉี
นางชื่นชอบพี่ฉีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นางมีความใฝ่ฝันว่าเมื่อโตขึ้น นางจะอภิเษกกับพี่ฉี
พี่ฉีเป็นโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อน เป็นว่าที่รัชทายาทแห่งแคว้นหนานหลี เป็นว่าที่ฮ่องเต้แคว้นหนานหลี
นางเข้าใจเป็นอย่างดี
หากพี่ฉีเป็นฮ่องเต้ นางก็จะเป็นฮองเฮาที่ปกครองแผ่นดินร่วมกับเขา หากมหาอุปราชเป็นฮ่องเต้ ย่อมไม่มีที่ยืนให้พี่ฉี เช่นนั้น นางคงต้องพเนจรตามพี่ฉีไปจนสุดขอบโลก
ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะอยู่กับพี่ฉีตลอดไป
แม้นางจะไม่เก่งกาจ ไม่ได้ดีเลิศ ทั้งยังมีข้อเสียมากมาย ทว่านางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถเรียนรู้ที่จะเป็นสตรีผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องและจิตใจดีงามได้
สำหรับพี่ฉีแล้ว นางสามารถทำได้ทุกอย่าง
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็มองเสื้อคลุมสีแดงของมู่หรงฉี พลางครุ่นคิดว่าในที่สุด ฝันของนางก็เป็นจริง นางได้แต่งงานกับพี่ฉี หัวใจของหลิงเซียวจวิ้นจู่ราวกับโบยบิน ทั้งล่องลอยและตื่นเต้น
“คำนับหนึ่ง คำนับท่านอ๋อง”
“คำนับสอง คำนับฟ้าดิน”
“สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน”
หลังจากสิ้นเสียงของหลินเซี่ยง หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็ทำตามมู่หรงฉีด้วยความเขินอายจนเสร็จสิ้นพิธี
“ยินดีกับฉีอ๋อง”
“ยินดีกับฉีอ๋อง”
“ยินดีกับจวิ้นจู่ ยินดีกับจวิ้นจู่”
……
ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีของผู้คน นางกำนัลวังหลวงนำจอกสุราเข้ามา
มู่หรงฉีรับมาหนึ่งจอก หลิงเซียวจวิ้นจู่รับมาหนึ่งจอก
“ฉีอ๋อง เมื่อดื่มสุราจอกนี้แล้ว พระองค์กับจวิ้นจู่จะอยู่ร่วมกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร” หลินเซี่ยงกล่าว
ใบหน้าของหลิงเซียวจวิ้นจู่ปรากฏความเขินอายอีกครั้ง
ขณะที่มู่หรงฉีลูบจอกสุราในมือ แววตาของเขาก็มองไปทางแม่ทัพจำนวนหนึ่งที่คอยอารักขาเขา
หลังจากพูดและร่ำสุราแล้ว หากเขาทำจอกสุราตกลงบนพื้น แสดงว่าดำเนินแผนการตามปกติ สังหารมู่หรงเฟิงและจงเนี่ย
เหล่าแม่ทัพยกจอกสุราตามมู่หรงฉี พลางจับด้ามดาบในมือแน่น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบัน ยากตัดสินได้ว่าหนทางข้างหน้าจะแพ้หรือชนะ หากดึงดันทำตามแผนการ จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือผิดกัน?
เขาควรดึงคนจำนวนมากเข้ามาสู่การเดินทางที่ยากคาดเดาหรือไม่?
จอกสุราใบนี้ สุดท้ายแล้วจะตกหรือไม่?