ตอนที่ 1027 - หอวิชา ณ สวนวิชา

The Divine Nine Dragon Cauldron

คลื่นความโศกเศร้าซัดสาดใส่ลู่จือยี่เมื่อมองแผ่นหลังของซือหยูที่ห่างไกลออกไปยังขอบนภาราวกับว่าส่วนหนึ่งในหัวใจของนางหายไป
  น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาสดใสนางพูดเบา ๆ
  “ข้าขอโทษข้าไม่มีแม้แต่ความกล้าจะค้นหาว่าเจ้าคือหยินหยูจริงหรือไม่”
  บางคำตอบได้แสดงออกมาแล้วนางรับรู้อยู่แล้ว แต่ความกล้าในการเผชิญกลับหดหาย
  ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสั่นสะเทือน
  กู้ไทซูผู้มีร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาดั่งชายชาตรีพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
  แต่เมื่อเขาเข้ามาสายตาคาดหวังของลู่จือยี่ก็เริ่มแตกสลายไปทีละน้อย กู้ไทซูไม่ได้มาคนเดียว ข้าง ๆ เขาคือสาวงามสวมสุดสีเขียวเข้ม นางผิวขาวราวหิมะทั้งยังมีรูปร่างงดงาม ใบหน้านางงดงามอย่างหาได้ยาก มันสวยราวกับรูปปั้นที่ร่ายมนต์สะกดเอาไว้ ลู่จือยี่รู้จักใบหน้านี้ นางคือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งวิถีอสูร ฮั่นเฟย
  ฮั่นเฟยคือหนึ่งในสี่นภาจรัสแห่งจิวโจว!นางแข็งแกร่งถึงที่สุด ในด้านพรสวรรค์ ไม่มีใครในจิวโจวเทียบนางได้ รวมถึงกู้ไทซูด้วย!
  ไม่ว่าจะทางไหนลู่จือยี่ก็มิอาจเทียบนางได้
  ทั้งสองเข้ามาด้วยความเร็วและยืนอยู่บนเมฆบินเก้าสวรรค์
  ลู่จือยี่ไม่ปลอ่ยให้ความรู้สึกแสดงผ่านแววตานางเดินไปหาทั้งสองด้วยความดีใจ
  “พี่ไทซูมาแล้วหรือ”
  กู้ไทซูร่อนลงมาและถามทันที
  “ตำราหยางอยู่ในมือเจ้าหรือไม่?”
  ลู่จือยี่เจ็บแปลบในใจสิ่งที่เขาควรจะห่วงที่สุดคือความปลอดภัยของนางไม่ใช่หรือ? กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้มาช่วยนาง แต่เขามาเพื่อตำราหยาง
  นางส่ายหน้าอย่างขมขื่นลู่จือยี่กลั้นความโศกเศร้าในใจตอบออกไป
  “ตำราหยางถูกเฉียนเฟิงจากมีดสวรรค์เอาไปจือยี่ใช้ไม่ได้เองที่ดูแลตำราหยางไม่ดี”
  กู้ไทซูดูผิดหวังรำคาญใจ และโมโห เขาผิดหวังที่ตำราหยางหายไป และเขาโมโหเพราะว่าตำราหยางหายไปเพราะลู่จือยี่
  “เฟยเอ๋อเราสายไปแล้ว ตำราหยางถูกเอาไปแล้ว”
  กู้ไทซูพูดกับฮั่นเฟย
  ฮั่นเฟยส่ายหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่
  “ก็แค่หาพวกมีดสวรรค์แล้วเอากลับมา”
  นางเหลือบมองลู่จือยี่พร้อมกับถาม
  “นางคือคู่หมั้นเจ้ารึ?”
  กู้ไทซูยิ้ม
  “มันถูกจัดการโดยสำนักข้าเป็นศิษย์ ย่อมไม่มีทางเลือก”   ลู่จือยี่ใจสั่นเมื่อได้ฟังคำตอบนางหันไปมองกู้ไทซูอย่างไม่เชื่อสายตา เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาถูกเหล่าผู้เฒ่าในสำนักจับคู่ให้ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันตั้งแต่ก่อนถูกจับคู่หรือ? เวลาทั้งหมดที่ผ่านมาที่ดูแลกันด้วยความรัก สิ่งเหล่านั้นก็ถูกจัดการเพราะเหล่าผู้เฒ่าด้วยรึ? นางรู้สึกเหมือนโดนมีดแหลมแทงเข้าสู่หัวใจ เลือดไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
  ฮั่นเฟยพยักหน้าและเลิกมองราวกับเลิกสนใจลู่จือยี่
  “ไปที่หอวิชากันเถอะพวกมีดสวรรค์ก็จะไปที่นั่นด้วย”
  “หอวิชาครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนข้าคิดว่าพวกมันจะรวมตัวกันที่หอวิชาหากได้ข่าวนั้นแล้ว ตอนนั้นข้าจะขออ่านตำราหยินหยางเอง”
  กู้ไทซูกล่าว
  “แน่นอนไทซูผู้นี้ยินดีให้เฟยเอ๋อยืมมือ แต่เฟยเอ๋อไปก่อนได้เลย ข้ามีเรื่องต้องบอกลู่จือยี่ก่อน”   กู้ไทซูพูดเสริม
  ฮั่นเฟยทะยานฟ้ามุ่งหน้าไปที่หอวิชาโดยไม่แม้แต่มองลู่จือยี่
  หลังจากนางไปรอยยิ้มบนใบหน้ากู้ไทซูจางหาย เขายืนมือไพล่หลังมองลู่จือยี่อย่างไร้เยื่อใย
  “พวกนั้นรายงานกับข้าว่าเจ้าถูกพวกมีดสวรรค์จับตัวและบาดเจ็บหนักบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าหนีมาได้ยังไง? ข้าได้ยินว่าเฉียนเฟิงอยากจะได้ตัวเจ้า!” novel-lucky
  เขากำลังบอกว่าลู่จือยี่อาจแลกความบริสุทธิ์ของตัวเองเพื่อชีวิตไปแล้วบางทีนางอาจเป็นสตรีที่มีมลทินแล้วก็ได้
  เมื่อเห็นว่ากู้ไทซูสงสัยลู่จือยี่ก็เกรงว่าเขาจะเข้าใจนางผิด นางรีบอธิบาย
  “อย่าเข้าใจข้าผิดข้าถูกคนช่วยเอาไว้ เฉียนเฟิงไม่ได้สิ่งที่ต้องการ พี่ไทซูรู้จักข้าดี ข้าไม่เคยโกหก”
  นางพูดราวกับกำลังอ้อนวอนให้เขาอภัย  อย่างนั้นรึ?กู้ไทซูอ่อนโยนขึ้น เขายิ้มและบินลงมาปลอบนาง
  “อย่ากลัวไปเลยข้าแค่เป็นห่วงว่าเจ้าจะถูกรังแก ข้าดีใจที่เจ้าไม่เป็นอะไร แต่คนที่ช่วยเจ้าไปไหนแล้วล่ะ? ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย”
  ความอ่อนโยนของกู้ไทซูทำให้ลู่จือยี่ดีใจนางรู้สึกราวกับถูกยกโทษ นางชอบเขาทั้งใจ
  “คนที่มาช่วยข้ามิได้เอ่ยนามเขาจากไปแล้ว”
  นางไม่ลืมว่าซือหยูบอกให้เก็บเรื่องเขาเป็นความลับ
  กู้ไทซูขมวดคิ้วจากที่เขารู้จักลู่จือยี่ นางจะไม่โกหกเขาแน่นอน เขาจึงเชื่อว่าเฉียนเฟิงยังไม่ได้ทำอะไรนาง
  “จือยี่เรื่องฮั่นเฟย ข้าไม่ได้คิดอะไรนัก สำนักบอกให้ข้าช่วยเหลือนางอย่างดี เหตุผลก็เพื่อความเป็นมิตรกับสำนักอสูรสวรรค์ ความรู้สึกของข้าต่อเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง”   ลู่จือยี่หน้าแดงระเรื่อนางยิ้มอย่างอ่อนหวานราวกับมีดอกไม้บานบนใบหน้า
  “พี่ไทซูพูดจริงนะ?”
  กู้ไทซูยิ้มอย่างอ่อนโยน
  “แน่นอนข้าพูดจริง!”
  เขายื่นแขนพยายามโอบกอดลู่จือยี่แต่ลู่จือยี่ก็รีบผละตัวออกมานางก้มหน้าและพูดอย่างเขินอาย
  “พี่ไทซูอย่านะ”
  กู้ไทซูหงุดหงิดมันแสดงออกผ่ายแววตา แต่เขาก็ปกปิดมันอย่างรวดเร็ว
  “ฮ่าๆๆข้าลืมตัวไปหน่อย ไม่เหมาะที่จือยี่จะแตะต้องกับเพศตรงข้ามก่อนที่จะบ่มเพาะวิชานั้นสำเร็จ”
  ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อไปขณะหนึ่ง
  “อย่าโทษตัวเองเลยพี่ไทซู”
  กู้ไทซูนิ่งเงียบคิดจากนั้นก็ถามออกมา
  “จือยี่เจ้าบ่มเพาะวิชานั้นถึงขั้นใดแล้ว?เมื่อใดเจ้าจะสำเร็จ?”
  ลู่จือยี่หวาดกลัวเมื่อได้ฟังคำถาม
  “ไม่…ไม่มากนักข้าอยู่ในขั้นสองระดับสูงสุด ยังเหลืออีกระดับที่ข้าต้องบ่มเพาะ”
  “เจ้าบ่มเพาะระดับสองขั้นกลางมาสามปีแล้วในสามปี เจ้าเติบโตแค่ขั้นเดียวเองหรือ?”
  กู้ไทซูหน้านิ่วถาม
  เขาสัญญากับสำนักไว้ว่าจะไม่แตะต้องสตรีทองคำอย่างลู่จือยี่ลู่จือยี่กำลังฝึกฝนวิชาขั้นสูงที่ตำหนักเมฆาม่วงถ่ายทอด ระดับของมันมิได้ระบุไว้ แต่พลังนั้นมหาศาล มีเพียงสตรีที่รักษาพรมจรรย์เท่านั้นที่จะบ่มเพาะได้ และนางเหล่านั้นก็ห้ามแตะต้องเพศตรงข้ามระหว่างการฝึกฝน หากล้ำเส้นเมื่อใด อย่างน้อยวิชาก็จะลดระดับลง ในระดับร้ายแรง ความยากจะเพิ่มขึ้นไปหลายเท่า ความพยายามแทบจะสูญเปล่า
  ด้วยความกลัวและนับถือต่อสำนักกู้ไทซูจึงข่มความอยากที่จะสัมผัสนางครั้งแล้วครั้งเล่า
  “ยิ่งข้าพัฒนาเท่าใดวิชาก็ยิ่งยากขึ้น”
  ลู่จือยี่หัวใจเต้นแรง
  กู้ไทซูแสดงความเข้าใจและไม่คิดมากนัก
  “เจ้าบ่มเพาะไปเถิดข้าไม่รีบร้อน”
  “อืม…”
  ลู่จือยี่ตอบเบาๆ
  “มีคนกลุ่มใหญ่ไปรวมตัวกันที่หอวิชาในสวนวิชาคนที่รู้ข่าวว่าจะมีรางวัลที่นั่นก็มุ่งหน้าไปเช่นกัน”
  กู้ไทซูตอบ
  “เจ้าไปก่อนซะมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นก่อน เจ้าจะตามฮั่นเฟยทัน นางจะพาเจ้าไป”
  ลู่จือยี่ถาม
  “แล้วพี่ไทซูล่ะ?”
  กู้ไทซูหัวเราะเบาๆ
  “ข้ามีเรื่องต้องจัดการจะตามเจ้าไปทีหลัง”
  ลู่จือยี่คิดก่อนจะบินตามฮั่นเฟยไป
  “ตามข้ามาเร็วๆ นะพี่ไทซู”
  กู้ไทซูพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นใบหน้าเขาเริ่มดำมืด เขาจ้องทิศที่ซือหยูไปอย่างเยือกเย็น
  “ซ่อนตัวตนหลังจากช่วยชีวิตลู่จือยี่ฮื่ม! ข้าจะไปเชื่อเรอะ?”
  กู้ไทซูกังวลเรื่องคนที่ช่วยชีวิตลู่จือยี่!
  เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปและต้องยืนยันด้วยตัวเอง
  ใครจะไปเชื่อว่ามีคนช่วยชีวิตคนอื่นโดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทน?จะต้องมีเรื่องอยู่เบื้องหลัง
  ไม่ว่าลู่จือยี่จะโกหกหรือไม่คนที่ช่วยนางก็ต้องมีแรงจูงใจอื่น!
  ซึ่งอย่างหลังมีโอกาสมากกว่าบางทีเขาอาจจะได้ครอบครองเรือนร่างของลู่จือยี่ด้วยร่างกายโสโครกไปโดยที่ลู่จือยี่ไม่รู้ตัวก็ได้  ด้วยฐานะราชาแห่งดินแดนพรสวรรค์เขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องแม้แต่ดัชนีเดียวบนสิ่งที่เป็นของเขา!