คลื่นความโศกเศร้าซัดสาดใส่ลู่จือยี่เมื่อมองแผ่นหลังของซือหยูที่ห่างไกลออกไปยังขอบนภาราวกับว่าส่วนหนึ่งในหัวใจของนางหายไป
น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาสดใสนางพูดเบา ๆ
“ข้าขอโทษข้าไม่มีแม้แต่ความกล้าจะค้นหาว่าเจ้าคือหยินหยูจริงหรือไม่”
บางคำตอบได้แสดงออกมาแล้วนางรับรู้อยู่แล้ว แต่ความกล้าในการเผชิญกลับหดหาย
ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสั่นสะเทือน
กู้ไทซูผู้มีร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาดั่งชายชาตรีพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเขาเข้ามาสายตาคาดหวังของลู่จือยี่ก็เริ่มแตกสลายไปทีละน้อย กู้ไทซูไม่ได้มาคนเดียว ข้าง ๆ เขาคือสาวงามสวมสุดสีเขียวเข้ม นางผิวขาวราวหิมะทั้งยังมีรูปร่างงดงาม ใบหน้านางงดงามอย่างหาได้ยาก มันสวยราวกับรูปปั้นที่ร่ายมนต์สะกดเอาไว้ ลู่จือยี่รู้จักใบหน้านี้ นางคือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งวิถีอสูร ฮั่นเฟย
ฮั่นเฟยคือหนึ่งในสี่นภาจรัสแห่งจิวโจว!นางแข็งแกร่งถึงที่สุด ในด้านพรสวรรค์ ไม่มีใครในจิวโจวเทียบนางได้ รวมถึงกู้ไทซูด้วย!
ไม่ว่าจะทางไหนลู่จือยี่ก็มิอาจเทียบนางได้
ทั้งสองเข้ามาด้วยความเร็วและยืนอยู่บนเมฆบินเก้าสวรรค์
ลู่จือยี่ไม่ปลอ่ยให้ความรู้สึกแสดงผ่านแววตานางเดินไปหาทั้งสองด้วยความดีใจ
“พี่ไทซูมาแล้วหรือ”
กู้ไทซูร่อนลงมาและถามทันที
“ตำราหยางอยู่ในมือเจ้าหรือไม่?”
ลู่จือยี่เจ็บแปลบในใจสิ่งที่เขาควรจะห่วงที่สุดคือความปลอดภัยของนางไม่ใช่หรือ? กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้มาช่วยนาง แต่เขามาเพื่อตำราหยาง
นางส่ายหน้าอย่างขมขื่นลู่จือยี่กลั้นความโศกเศร้าในใจตอบออกไป
“ตำราหยางถูกเฉียนเฟิงจากมีดสวรรค์เอาไปจือยี่ใช้ไม่ได้เองที่ดูแลตำราหยางไม่ดี”
กู้ไทซูดูผิดหวังรำคาญใจ และโมโห เขาผิดหวังที่ตำราหยางหายไป และเขาโมโหเพราะว่าตำราหยางหายไปเพราะลู่จือยี่
“เฟยเอ๋อเราสายไปแล้ว ตำราหยางถูกเอาไปแล้ว”
กู้ไทซูพูดกับฮั่นเฟย
ฮั่นเฟยส่ายหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ก็แค่หาพวกมีดสวรรค์แล้วเอากลับมา”
นางเหลือบมองลู่จือยี่พร้อมกับถาม
“นางคือคู่หมั้นเจ้ารึ?”
กู้ไทซูยิ้ม
“มันถูกจัดการโดยสำนักข้าเป็นศิษย์ ย่อมไม่มีทางเลือก” ลู่จือยี่ใจสั่นเมื่อได้ฟังคำตอบนางหันไปมองกู้ไทซูอย่างไม่เชื่อสายตา เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาถูกเหล่าผู้เฒ่าในสำนักจับคู่ให้ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันตั้งแต่ก่อนถูกจับคู่หรือ? เวลาทั้งหมดที่ผ่านมาที่ดูแลกันด้วยความรัก สิ่งเหล่านั้นก็ถูกจัดการเพราะเหล่าผู้เฒ่าด้วยรึ? นางรู้สึกเหมือนโดนมีดแหลมแทงเข้าสู่หัวใจ เลือดไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
ฮั่นเฟยพยักหน้าและเลิกมองราวกับเลิกสนใจลู่จือยี่
“ไปที่หอวิชากันเถอะพวกมีดสวรรค์ก็จะไปที่นั่นด้วย”
“หอวิชาครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนข้าคิดว่าพวกมันจะรวมตัวกันที่หอวิชาหากได้ข่าวนั้นแล้ว ตอนนั้นข้าจะขออ่านตำราหยินหยางเอง”
กู้ไทซูกล่าว
“แน่นอนไทซูผู้นี้ยินดีให้เฟยเอ๋อยืมมือ แต่เฟยเอ๋อไปก่อนได้เลย ข้ามีเรื่องต้องบอกลู่จือยี่ก่อน” กู้ไทซูพูดเสริม
ฮั่นเฟยทะยานฟ้ามุ่งหน้าไปที่หอวิชาโดยไม่แม้แต่มองลู่จือยี่
หลังจากนางไปรอยยิ้มบนใบหน้ากู้ไทซูจางหาย เขายืนมือไพล่หลังมองลู่จือยี่อย่างไร้เยื่อใย
“พวกนั้นรายงานกับข้าว่าเจ้าถูกพวกมีดสวรรค์จับตัวและบาดเจ็บหนักบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าหนีมาได้ยังไง? ข้าได้ยินว่าเฉียนเฟิงอยากจะได้ตัวเจ้า!” novel-lucky
เขากำลังบอกว่าลู่จือยี่อาจแลกความบริสุทธิ์ของตัวเองเพื่อชีวิตไปแล้วบางทีนางอาจเป็นสตรีที่มีมลทินแล้วก็ได้
เมื่อเห็นว่ากู้ไทซูสงสัยลู่จือยี่ก็เกรงว่าเขาจะเข้าใจนางผิด นางรีบอธิบาย
“อย่าเข้าใจข้าผิดข้าถูกคนช่วยเอาไว้ เฉียนเฟิงไม่ได้สิ่งที่ต้องการ พี่ไทซูรู้จักข้าดี ข้าไม่เคยโกหก”
นางพูดราวกับกำลังอ้อนวอนให้เขาอภัย อย่างนั้นรึ?กู้ไทซูอ่อนโยนขึ้น เขายิ้มและบินลงมาปลอบนาง
“อย่ากลัวไปเลยข้าแค่เป็นห่วงว่าเจ้าจะถูกรังแก ข้าดีใจที่เจ้าไม่เป็นอะไร แต่คนที่ช่วยเจ้าไปไหนแล้วล่ะ? ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย”
ความอ่อนโยนของกู้ไทซูทำให้ลู่จือยี่ดีใจนางรู้สึกราวกับถูกยกโทษ นางชอบเขาทั้งใจ
“คนที่มาช่วยข้ามิได้เอ่ยนามเขาจากไปแล้ว”
นางไม่ลืมว่าซือหยูบอกให้เก็บเรื่องเขาเป็นความลับ
กู้ไทซูขมวดคิ้วจากที่เขารู้จักลู่จือยี่ นางจะไม่โกหกเขาแน่นอน เขาจึงเชื่อว่าเฉียนเฟิงยังไม่ได้ทำอะไรนาง
“จือยี่เรื่องฮั่นเฟย ข้าไม่ได้คิดอะไรนัก สำนักบอกให้ข้าช่วยเหลือนางอย่างดี เหตุผลก็เพื่อความเป็นมิตรกับสำนักอสูรสวรรค์ ความรู้สึกของข้าต่อเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง” ลู่จือยี่หน้าแดงระเรื่อนางยิ้มอย่างอ่อนหวานราวกับมีดอกไม้บานบนใบหน้า
“พี่ไทซูพูดจริงนะ?”
กู้ไทซูยิ้มอย่างอ่อนโยน
“แน่นอนข้าพูดจริง!”
เขายื่นแขนพยายามโอบกอดลู่จือยี่แต่ลู่จือยี่ก็รีบผละตัวออกมานางก้มหน้าและพูดอย่างเขินอาย
“พี่ไทซูอย่านะ”
กู้ไทซูหงุดหงิดมันแสดงออกผ่ายแววตา แต่เขาก็ปกปิดมันอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆข้าลืมตัวไปหน่อย ไม่เหมาะที่จือยี่จะแตะต้องกับเพศตรงข้ามก่อนที่จะบ่มเพาะวิชานั้นสำเร็จ”
ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อไปขณะหนึ่ง
“อย่าโทษตัวเองเลยพี่ไทซู”
กู้ไทซูนิ่งเงียบคิดจากนั้นก็ถามออกมา
“จือยี่เจ้าบ่มเพาะวิชานั้นถึงขั้นใดแล้ว?เมื่อใดเจ้าจะสำเร็จ?”
ลู่จือยี่หวาดกลัวเมื่อได้ฟังคำถาม
“ไม่…ไม่มากนักข้าอยู่ในขั้นสองระดับสูงสุด ยังเหลืออีกระดับที่ข้าต้องบ่มเพาะ”
“เจ้าบ่มเพาะระดับสองขั้นกลางมาสามปีแล้วในสามปี เจ้าเติบโตแค่ขั้นเดียวเองหรือ?”
กู้ไทซูหน้านิ่วถาม
เขาสัญญากับสำนักไว้ว่าจะไม่แตะต้องสตรีทองคำอย่างลู่จือยี่ลู่จือยี่กำลังฝึกฝนวิชาขั้นสูงที่ตำหนักเมฆาม่วงถ่ายทอด ระดับของมันมิได้ระบุไว้ แต่พลังนั้นมหาศาล มีเพียงสตรีที่รักษาพรมจรรย์เท่านั้นที่จะบ่มเพาะได้ และนางเหล่านั้นก็ห้ามแตะต้องเพศตรงข้ามระหว่างการฝึกฝน หากล้ำเส้นเมื่อใด อย่างน้อยวิชาก็จะลดระดับลง ในระดับร้ายแรง ความยากจะเพิ่มขึ้นไปหลายเท่า ความพยายามแทบจะสูญเปล่า
ด้วยความกลัวและนับถือต่อสำนักกู้ไทซูจึงข่มความอยากที่จะสัมผัสนางครั้งแล้วครั้งเล่า
“ยิ่งข้าพัฒนาเท่าใดวิชาก็ยิ่งยากขึ้น”
ลู่จือยี่หัวใจเต้นแรง
กู้ไทซูแสดงความเข้าใจและไม่คิดมากนัก
“เจ้าบ่มเพาะไปเถิดข้าไม่รีบร้อน”
“อืม…”
ลู่จือยี่ตอบเบาๆ
“มีคนกลุ่มใหญ่ไปรวมตัวกันที่หอวิชาในสวนวิชาคนที่รู้ข่าวว่าจะมีรางวัลที่นั่นก็มุ่งหน้าไปเช่นกัน”
กู้ไทซูตอบ
“เจ้าไปก่อนซะมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นก่อน เจ้าจะตามฮั่นเฟยทัน นางจะพาเจ้าไป”
ลู่จือยี่ถาม
“แล้วพี่ไทซูล่ะ?”
กู้ไทซูหัวเราะเบาๆ
“ข้ามีเรื่องต้องจัดการจะตามเจ้าไปทีหลัง”
ลู่จือยี่คิดก่อนจะบินตามฮั่นเฟยไป
“ตามข้ามาเร็วๆ นะพี่ไทซู”
กู้ไทซูพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นใบหน้าเขาเริ่มดำมืด เขาจ้องทิศที่ซือหยูไปอย่างเยือกเย็น
“ซ่อนตัวตนหลังจากช่วยชีวิตลู่จือยี่ฮื่ม! ข้าจะไปเชื่อเรอะ?”
กู้ไทซูกังวลเรื่องคนที่ช่วยชีวิตลู่จือยี่!
เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปและต้องยืนยันด้วยตัวเอง
ใครจะไปเชื่อว่ามีคนช่วยชีวิตคนอื่นโดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทน?จะต้องมีเรื่องอยู่เบื้องหลัง
ไม่ว่าลู่จือยี่จะโกหกหรือไม่คนที่ช่วยนางก็ต้องมีแรงจูงใจอื่น!
ซึ่งอย่างหลังมีโอกาสมากกว่าบางทีเขาอาจจะได้ครอบครองเรือนร่างของลู่จือยี่ด้วยร่างกายโสโครกไปโดยที่ลู่จือยี่ไม่รู้ตัวก็ได้ ด้วยฐานะราชาแห่งดินแดนพรสวรรค์เขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องแม้แต่ดัชนีเดียวบนสิ่งที่เป็นของเขา!