ขยะล็อตใหม่
วันต่อมาหวู่หลิวหยิงได้แนะนำซูจิ้งกับโอวฉิงหยุนตามที่ซูจิ้งได้สั่งไว้นั่นทำให้โอวฉิงหยุนประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดว่าหวู่หลิวหยิงจะไม่ยอมให้เขาแสดงพิรุธเพื่อที่จะเข้าไปขุดข้อมูลจากสถาบันวิจัยของซูจิ้งซะอีก แต่นี่เขากลับมาแนะนำเขาให้กับซูจิ้ง หรือว่าหวู่หลิวหยิงได้ร่วมงานกันเรียบร้อยแล้วนะ
ถึงแม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่ตระกูลหวู่ทั้งหมดในตอนนี้ได้หวังเพิ่งโอวฉิงหยุน
แต่หัวหน้าตระกูลหวู่อย่างหวู่หลิวหยิงมาทำแบบนี้เขาก็ไม่กล้าจะถามอะไรมากกลัวเป็นพิรุธ
จริงได้เผลอคิดยอมรับการร่วมงานครั้งนี้ไปทำให้ซูจิ้งอาศัยจังหวะนี้ส่งกระแสจิตเข้าไปแทรกซึมในสมองทำให้เขาควบคุมโอวฉิงหยุนได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากสะกดสมบูรณ์แล้วซูจิ้งให้โอวฉิงหยุนไปทำงานในสถาบันวิจัย โดยเขาได้เพิ่มเงินเพื่อขยายกำลังการผลิตปฏิสสารเพิ่มเติมจนตอนนี้แผนดังกล่าวได้ขยายมากกว่าตอนแรกสี่เท่าตัว
ความจริงแล้วมีแต่ซูจิ้งที่รู้เรื่องหวู่หลิวหยิงและโอวฉิงหยุน เอาจริงๆแม้แต่หวู่ฉิงติงก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
ยังคิดว่าโอวฉิงหยุนเข้าทำงานที่สถาบันได้เป็นเรื่องปกติและยังรอคอยความลับของสถาบันวิจัยแห่งนี้ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม
แถมตอนนี้ทุกคนในตระกูลต่างดีใจกันทั่วหน้าเพราะว่าในที่สุดแล้ว
ผู้นำตระกูลอย่างหวู่หลิวหยิงได้หายจากอาการฝันร้ายโดยไม่ได้สงสัยอะไรว่าเป็นสาเหตุเลยซักนิด
แม้แต่คนที่คอยบงการให้ตระกูลหวู่ทำแบบนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ไม่กี่วันต่อมาเฉิงหนานได้คัดคนที่มีความสามารถมาได้สามคน พวกเขานั้นค่อนข้างมีความรู้พอสมควรและน่าจะพอช่วยเหลืองานในสถาบันวิจัยได้บ้าง
แต่สำหรับซูจิ้งนั้นแทบจะบอกได้เลยว่าไร้ค่าเพราะเหล่าผู้คนเช่นนี้ คนที่ไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีความแค้น ไม่มีผลประโยชน์
ทำให้ไม่สามารถสะกดจิตได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน ถ้าเขาใช้ธงหลอนจิตอีกครั้งก็อาจเป็นจุดสังเกตุได้
ถ้าไม่ใช้การสะกดสำเร็จก็เป็นไปได้ยาก ตอนนี้เขาคงทำได้แค่เพียงเก็บคนพวกนี้ไว้เป็นตัวสำรองไปก่อน
ในตอนเช้าซูจิ้งได้รับโทรศัพท์จากหวังซือหยาโดยเธอได้โทรมาบ่นกับซูจิ้งว่า “อาจิ้งถ้านายจะแสดงกู่จิ้งสดฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ไอ้การจับฉลามขาวยักษ์นั่นมาเลี้ยงมันอะไรกัน อันตรายเกินไปแล้ว”
เธอนั้นเมื่อวานมีแต่เรื่องวุ่นๆก็เลยไม่มีเวลาสนใจอะไรจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูจิ้งแสดงสดไป
วันนี้เธอถึงมีเวลาว่างดูอินเตอร์เน็ตจึงเพิ่งรู้เรื่องและได้รีบโทรหาทันที
เธอนั้นชอบเพลงทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ไอ้การไปตีกับฉลามขาวนี่สำหรับเธอมันเกินไป
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไรหรอกน่า ลืมไปแล้วหรอว่าผมเป็นปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยังจะมายิ้มอีกนี่พูดจริงๆจังนะ ก็ใช่ที่นายเป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์แต่มันก็ยังโอกาสผิดพลาดกันได้ แถมนั่นมันฉลามขาวเลยนะ แค่กัดทีเดียวก็ตายได้แล้ว อย่ามั่นใจในความสามารถของนายจนประมาทดีกว่า” หวังซือหยาพูดออกมา
“จ้าๆ ไว้คราวหลังจะระวังครับ ว่าแต่คุณโทรมาเพื่อจะบ่นผมแค่นี้อ่ะนะ”
ซูจิ้งไม่สามารถได้บอกอย่างหมดเปลือกหรอกว่าได้เตรียมการเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนแถมวิธีการฝึกของเขาไม่ใช่การฝึกทั่วไปแต่เป็นการทำพันธสัญญา
ซึ่งโอกาสผิดพลาดแทบไม่มีเลย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยร่างกายของเขาที่กินผลชาถังเข้าไป 5 ผล
ตัวเขาเปรียบได้ดั่งสัตว์น้ำตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ ต่อให้เขาต้องทะเลาะต่อยตีกับฉลามขาวทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะเรื่องพวกนี้เขาอธิบายไปก็เท่านั้น ไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดีทำให้ต้องยอมจำนนต่อไป
“อ้ะใช่ๆ ยังมีเรื่องอื่นอีกนี่นา” หวังซือยาทำได้แต่ยอมถอดใจเปลี่ยนเรื่องพูด “ฉันมีเรื่องอื่นจะบอกด้วย อย่างแรก ผงเสริมทรวงอกผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะมีงานเปิดตัวพรุ่งนี้ นายสนใจจะเข้าร่วมไหม”
“จะให้ไปเพื่อ….. มันเป็นงานเปิดตัวสินค้าสำหรับผู้หญิงไม่ใช่รึไง” ซูจิ้งพูดไปพร้อมเกาจมูกอย่างสงสัย
“หึหึหึ ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เราลงทุนร่วมกันนี่ก็มีแต่ของผู้หญิงทั้งนั้นนี่นะ ทั้งผงเหม่ยหยาน ผงลดน้ำหนัก ผงลบเรือนริ้วรอย ของพวกนี้ใครคิดค้นล่ะ ก็นายไม่ใข่หรอ นี่ยังไม่รวมชั้นในกระชับซัดส่วน ชุดว่ายน้ำและอย่างอื่นอีก แทบจะบอกได้ว่านายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผู้หญิงเลยนะ ยังไม่รวมถึงตอนนี้นายเป็นดาราแล้วอีก ถ้านายไปล่ะก็ลดค่าใช้จ่ายโปรโมทได้เยอะ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
ซูจิ้งนึกไปนึกมาพรุ่งนี้เขาเองก็ไม่ได้มีอะไรทำอยู่แล้วแถมทั้งหวังซือหยาและดงซุนเองก็ยังเป็นคนคอยหาเงินให้เขาอีก
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของบริษัทซือหยาคอสเมติกที่ล้วนมาจากเขา
ถึงเขาไปก็คงไม่ดูน่าเกียจหรอกมั้ง ซูจิ้งจึงตอบตกลงกับซือหยาไป
และทั้งสองก็ได้พูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายไป
ผลจากการที่ซูจิ้งสตรีมไว้เมื่อวานแม้จะจบไปนานแล้วแต่ผู้คนในโลกอินเตอร์เน็ตก็ยังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ดี
แถมกลายเป็นว่ายิ่งพูดคุยกันยิ่งกว่าเมื่อวานซะอีก การพูดคุยร้อนแรงถึงขั้นที่ว่าซูจิ้งไม่อยากจะออกจากบ้านกันเลยทีเดียว
ซูจิ้งจึงเลือกที่จะนำเหรียญตราเทวฑูตออกมาเพื่อดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์
และทำการบ่มเพาะพลังวิถีแห่งใต้หล้า ฝึกฝนเพลงมวย ฝึกฝนเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ
และทำการฝึกฝนทักษะการใช้แบบผสมผสานระหว่างพลังจิต พลังร่างกาย และพลังภายใน ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกตัวว่าถึงตอนเย็นแล้วเขาจึงได้หยุดฝึกฝน
ตอนนี้ซูจิ้งจะต้องเผชิญกับปัญหาที่น่ารื่นรมย์อีกครั้ง นั่นก็คือฉือชิงมาค้างที่บ้านเขาอีกแล้ว ความจริงนั้นพ่อแม่ของเธอก็ไม่อยากให้มานักหรอกเพราะสำหรับคนรุ่นเก่าแล้วการที่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานไปนอนค้างบ้านผู้ชายค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงที่ไม่รักนวลสงวนตัว กลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน แต่ในไม่ช้าพ่อแม่ของเธอก็ยอมรับได้เพราะว่าที่ลูกเขยของพวกเขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งเต่าทองคำที่มีแต่คนคอยจับจ้องจะตีหัวลากเข้าบ้าน การที่ให้เธอมานอนค้างบ้านเขานอกจากจะไม่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านแต่กลับเป็นได้รับความอิจฉาอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาจึงต้องยอมทำเป็นปิดตาไว้ข้างหนึ่งเพราะกลัวว่าเต่าทองของพวกเขาจะหนีหายไป
ช่วงประมาณตีสองถึงตีสามฉือชิงยังคงหลับอยู่ ในมือเธอได้มีเศษหินวิญญาณที่ซูจิ้งแอบยัดใส่ไว้กับเธอ หลังจากนั้นไม่นานเศษหินวิญญาณก็หมดพลังลง และที่สำคัญตอนนี้เขาเหลือเจ้าแร่นี้น้อยมากๆ
“ส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้พ่อแม่ อีกส่วนให้น้องสาวตัวแสบ อีกส่วนเก็บไว้ให้ฉือชิง นี่ฉันผลาญเศษแร่ไปเร็วเหมือนกันแหะตอนนี้ก็ใกล้หมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เศษแร่นิดหน่อยกับแก่นหินแร่นิดหน่อยเอง คงต้องหยุดใช้ซักพักหล่ะนะ นอกซะจากว่ามีความจำเป็นจริงๆ เฮ้ออออ” ซูจิ้งรู้สึกเซ็งๆเล็กน้อย เขานั้นเข้าใจถึงความล้ำค่าของเศษแร่หินวิญญาณและแก่นกำเนิดวิญญาณเหล่านี้ดี ถ้าพวกมันหมดไปจริงๆล่ะก็เมื่อถึงคราวจำเป็นล่ะก็ต้องวุ่นวายแน่นอน
ทันใดนั้นเสียงนาฬิกาก็ได้ดังขึ้น โดยเสียงนั้นเป็นเสียงเบาๆแค่นั้น บวกกลับด้วยการสะกดจิตของซูจิ้งทำให้ฉือชิงยังคงนอนหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้นตาของซูจิ้งสว่างโล่ขึ้นมาทันที เขานั้นหยิบโทรศัพท์และปิดนาฬิกาปลุกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้านำบรรดาสัตว์เลี้ยงลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นหลุมมิติหมุนวนอยู่กลางท้องฟ้า
พร้อมทั้งค่อยๆมีสิ่งของล่วงหล่นลงมาและมากขึ้นตามลำดับ ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจในทันที
พร้อมทั้งคอยให้เหล่าสัตว์เลี้ยงคอยลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ
หลังจากที่กองขยะถมกันจนมีความกว้างและยาวอยู่ที่เจ็ดร้อยเมตรและสูงเกินกว่าสามร้อยเมตรการไหลของขยะจากประตูก็ได้หยุดลง
หลุมมิติค่อยๆเลือนลางจางหายไป หลังจากประเมินคร่าวๆแล้วขยะคราวนี้มากกว่าคราวก่อนพอสมควร
ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตโหมกระหน่ำเข้าสู่กองขยะเพื่อเป็นการกระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตที่อาจติดมาด้วยเคลื่อนไหวซึ่งเขาก็ยังไม่การเคลื่อนไหวใดๆ หลังจากนั้นซูจิ้งจึงได้เริ่มสำรวจจัดการแยกแยะกองขยะใหม่นี้ ขยะกองนี้ในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่เต็มไปด้วยฝุ่นผง โคลน เศษผ้า ดาบหัก ใบไม้ ขนไม้กวาด ฯลฯ เท่าที่ดูจากสภาพเขาคาดการณ์ว่าขยะกองนี้น่าจะมาจากห้วงเวลาฯที่บรรยากาศค่อนข้างจะเก่าแก่พอสมควร แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามาจากห้วงเวลาฯไหน
ซูจิ้งได้เริ่มทำความสะอาดโดยการคัดแยก จัดหมวดหมู่ หยิบแปรงออกมาปัดๆ กวาดๆ พบเจอขนจำนวนหนึ่งถูกเก็บไว้ในหม้อแตกๆ
หยิบเศษผ้าออกมาจากกองก็เจอขนสัตว์อีกบางส่วนแถมยังเจอมูลสัตว์นิดหน่อย คล้ายๆกับขี้แมว เขายังเจอที่นอนผืนเล็กๆเหมือนที่นอนแมว
หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา เขาไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรเพราะกลิ่นข้างในม้วนกระดาษนั้นมันแรงมาก
ตอนนี้ซูจิ้งได้แต่คิดอย่างหนักแน่นว่า ความสุขทั้งหลายในโลกหล้าล้วนมาจากความเจ็บปวดทรมานทั้งสิ้น