ชิ้นส่วนกล่องชิ้นหนึ่ง
ซูจิ้งไม่รีบเร่งแม้แต่น้อย เขายังคงค่อยๆหาและรวบรวมต่อไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในขอบเขตพลังจิตที่ซูจิ้งคอยปลดปล่อยเอาไว้เฝ้าระวังสังเกตุการณ์นั้น
ตอนนี้เขาเห็นว่าฉือชิงได้ตื่นพร้อมทั้งกำลังจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่ ตอนที่เธอลงมาหาเพื่อเรียกซูจิ้งไปกินข้าวด้วยกันนั้น ซูจิ้งยอมผละออกจากเรื่องทุกอย่างเพราะเขาถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ
เขาเดินขึ้นไปพร้อมกินอาหารเช้ากับฉือชิง หลังจากนั้นฉือฉิงก็ได้ไปยังร้านขายเสื้อผ้า ส่วนซูจิ้งก็ตรงไปจัดการกับขยะของเขาต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้พบกล่องขนาดใหญ่จำนวนมาก
ซูจิ้งหยิบแต่ละกล่องขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดแต่เขาก็คิดว่ามันเป็นเพียงกล่องธรรมดาเขาจึงได้โยนมันเอาไว้กองรวมกันกับขยะประเภทไม้ชิ้นอื่นๆ
เขาโยนไปหลังตรวจสอบทีละกล่องทีละกล่อง พอเขาโยนไปได้ซักหกถึงเจ็ดกล่องเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้พร้อมด้วยสายตาที่ส่องประกายแล้วหันไปมองกล่องพวกนั้นอีกครั้งหนึ่ง
เอาจริงๆแล้วกล่องพวกนั้นมันก็ดูคล้ายๆกัน ออกแบบได้ดูค่อนข้างประณีตแถมวัสดุที่ใช้ก็ดูไม่ธรรมดา ถึงแม้เขาจะไม่ใช่เหล่านักสำรวจหาสมบัติแต่ความสามารถของเขาก็เพิ่มขึ้นพอสมควรสำหรับเรื่องพวกนี้
“พระเจ้านี่มันกิ่งไม้แดงไม่ใช่หรอ” ซูจิ้งตกใจทันทีที่เขาดูกล่องนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ที่มันถูกเรียกว่าไม้เปรี้ยวแดงนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อตอนที่ตัดมัน เนื้อไม้จะส่งกลิ่นเปรี้ยวเหม็นอย่างรุนแรง
ไม้เปรี้ยวแดงนี้อยู่ในไม้สกุลเดียวกับไม้จันทร์ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งแต่น้ำหนักเบา ถึงขนาดที่ว่าลอยน้ำได้เลย และปกติแล้วกว่าไม้นี้จะสามารถนำมาใช้ได้ต้องเป็นไม้ที่อายุมากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป และยังมีสิ่งที่แตกต่างจากไม้ชนิดอื่นนั่นก็คือลายไม้ ลายของไม้แดงนั้น
โดยส่วนใหญ่จะมีลวดลายที่สวยเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีทั้งสีแดง น้ำตาลเข้ม จนไปถึงสีดำ และดำแดง นั่นทำให้คนต่างก็คิดว่ามันเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ
“ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ฉิงนั้น ไม้เปรี้ยวแดง ไม้จันทน์แดง และไม้ลูกแพรเหลือง ถูกรู้จักในนาม
“ยอดไม้สามอย่าง” ซึ่งในปัจจุบันก็ยังถือได้ว่าเป็นไม้ยอดนิยมหนึ่งห้า ทำให้ราคาของมันมีมูลค่าสูง”
แน่นอนว่าไม้เปรี้ยวแดงเองก็มีการแบ่งเกรดไว้เหมือนกัน ยิ่งลายไม้เป็นสีเข้ม ยิ่งผิวไม้เมื่อขัดแล้วมัน
ยิ่งมีลายถี่เท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงมากขึ้น ซึ่งต่อหน้าซูจิ้งในตอนนี้ถ้าเขาประเมินไม่ผิดไม้ที่ใช้ทำนี่คือไม้แดงที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้
ซูจิ้งลองเปรียบเทียบกล่องไม้ที่ทำจากไม้เปรี้ยวแดงบนอินเตอร์เนตแล้ว เขาไม่เจอกล่องของที่ไหนที่สวยเท่านี้เลยสักนิด
เอาจริงๆคือต่อให้สรรหาไม้แดงชั้นดีบนโลกนี้มาทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีทางนำมาทำกล่องพวกนี้ได้สักใบเพราะไม้แดงชั้นหนึ่งที่มีการค้นพบนั้นน้อยมาก
ไม่ต้องพูดถึงการนำมาทำกล่องเก็บของ มันเหมาะกับการนำไปทำเครื่องเรือนหรูๆราคาแพงมากกว่า บอกได้เลยว่าถ้าเฉินฮงกับซงเหลาเห็นเข้านี่ต้องรู้สึกเสียดายแบบออกนอกหน้าแน่นอน
“นี่ทำให้ฉันนึกถึงเจ้ากล่องไม้ทองที่ได้จากห้วงเวลาฯการผันแปรของดวงดาวเลยแหะ” ซูจิ้งค่อนข้างประหลาดใจในเรื่องการนำไม้เปรี้ยวแดงมาทำกล่องเก็บของเหมือนกัน แต่เขาก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว
ความจริงที่ว่าเขาเคยเห็นกล่องไม้ของจินสิหนานมาแล้ว แต่สำหรับโลกใบนี้การนำไม้แดงมาทำกล่องใส่ของนี่ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยเหมือนกัน
ซูจิ้งยังคงคุ้ยขยะของเขาต่อไปเขานั้นเริ่มๆที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเขาค่อยๆเจอไม้อย่างอื่นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นกล่องไม้ มีทั้งไม้ปีกไก่และไม้ชิงชัน แม้แต่วัสดุที่ใช้ประกอบเองก็เป็นของดีไม่น้อยเลย
ไม้ปีกไก่นี้ที่ถูกเรียงอย่างนี้ก็เพราะว่ามีลายไม้คล้ายกับปีกของไก่
ลักษณะลายไม้เป็นซี่ประกอบกันเป็นเส้น ผิวเรียบ และมีสีที่เป็นเอกลักษณ์ มีลำต้นตรงแต่ไม่มีวงปีต้นไม้ ถือได้ว่าเป็นไม้ที่สวยแปลกตาอีกชนิดหนึ่ง
สำหรับไม้ชิงชันนั้นเป็นชื่อเรียกของไม้ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ดัลเบอเจีย โอดอริเฟเรีย มีเนื้อไม้สีเหลืองอ่อน ลักษณะเนื้อไม้หลวมเล็กน้อย มีแก่นไม้สีน้ำแดง เนื้อแน่น
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์พิเศษ นำไปใช้เป็นน้ำหอมได้ชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือโรสวู้ด(ไม้กุหลาบ) ด้วยลักษณะพิเศษแบบนี้ซูจิ้งจึงมั่นใจได้ว่าเขาเข้าใจไม่ผิดแน่นอน
เจ้ากล่องไม้พวกนี้นี่ถ้าเหล่าช่างไม้ได้เห็นต้องร้องโอดโอยไม่น้อยนั่นก็เพราะว่าด้วยขนาดความยาวของกล่องแต่ละกล่องอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การนำไม้มาต่อกันซะด้วย
ดูเหมือนว่าห้วงเวลาฯของคนที่สร้างกล่องพวกนี้เจ้าไม้นี่คงจะค่อนข้างไร้ค่าน่าดูเลย ถ้าเกิดว่าไม้ท่อนนี้หลุดมายังโลกล่ะก็ บอกได้เลยว่าต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้สุดหรูมูลค่ามหาศาลมากมายนัก
“เจอไม้ชั้นเลิศเยอะขนาดนี้ดูเหมือนว่าขยะห้วงเวลาฯในครั้งนี้จะไม่ธรรมดาเลยแหะ” ซูจิ้งนึกไปพลางหันไปคุ้ยกองขยะต่อทันใดนั้นเขาก็ค้นพบกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งซึ่งมีลวดลายแกะสลักที่ดูดีทีเดียว
ทุกๆด้านของกล่องนั้นมีลวดลายแกะสลักสุดแสนวิจิตรงดงามอยู่รอบด้าน เมื่อมองแวบแรกก็รู้ได้ในทันทีว่าช่างไม้ที่ทำต้องไม่ใช่ช่างที่มีฝีมือธรรมดา แถมไม้ที่ใช้ทำกล่องก็ยังเป็นไม้จันทน์แดง
ถึงแม้มันจะแตกไปแล้วก็ตาม ทันใดนั้นซูจิ้งสายตาเป็นประกายในทันที เขาหมุนไปที่ด้านหน้าของกล่องซึ่งมีลวดลายที่สวยงามกว่าด้านอื่นๆ ผู้แกะสลักยังฝังคริสตัลรูปวงรีเอาไว้สามเม็ด
โดยตรงกลางเป็นสีแดงส่วนอีกสองด้านเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งมันสวยงามขนาดที่ว่าถ้ามองเผินจะเหมือนอัญมณีมีค่าได้เลย
“มันไม่ควรจะเป็นอัญมณีนะ เพราะว่ามันดูค่อนข้างไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยที่จะใช้ของจริงฝังไว้ในกล่อง”
ซูจิ้งปลดปล่อยพลังจิตในการดันคริสตัลทั้งสามก้อนให้หลุดออกมาจากภายใน คริสตัลทั้งสามนี้มีความกระจ่างใสและละมุนลูกตาอย่างมาก ซูจิ้งนำแว่นขยายและอุปกรณ์อย่างอื่นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทันใดนั้นเจ้านกเล็กกับเจ้านกใหญ่ก็ได้ตะโกนลั่นอยู่หน้าประตูว่า “ถังฮ่าวมาหา” “ถังฮ่าวมาหา” (ถังเฮา)
“ห้ะ เขามาทำอะไรกัน” ซูจิ้งถึงกับงงเพราะไม่รู้ว่าเขามาด้วยธุระเอาไรแต่เขาก็ยังคงออกไปต้อนรับอยู่ดี
ซูจิ้งพบถังฮ่าวพร้อมกับชายชราอายุประมาณ 50-60 ปี ยืนอยู่หน้าบ้าน
ถังฮ่าวยิ้มออกมาทันทีที่เห็นซูจิ้งพร้อมพูดว่า “ซูจิ้ง ช่วงนี้เหมือนจะก่อวีรกรรมไว้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย ฉันได้ยินคนพูดถึงนายไม่หยุดปากเลย ฉันดูวิดีโอแล้วเหมือนกัน นั่นทำให้ฉันได้แนวคิดการทำวิดีโอใหม่ๆหลายอย่างเลยนะ ฉันขอคารวะขอบคุณนายเลย”
“ฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยน่า เข้ามาก่อนคุณหวู่คุณถัง พวกคุณคงมาไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องแค่นี้แน่นอนใช่ไหมล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้ ตอนนี้นายได้เปิดโรงประมูลของตัวเองแล้วแถมก็ดีเป็นไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว ฉันค่อนข้างมั่นใจเลยว่าในของประมูลพวกนั้นต้องมีอัญมณีอยู่บ้างนะ ถ้าเป็นไปได้พวกเราเองก็อยากจะซื้ออัญมณีบางอันตัดมาก่อนน่ะ ถ้านายไม่ยอมกิจการของฉันก็คงชะงักแน่นอน” ถังฮ่าวทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“ไม่ต้องพูดแบบนี้เลย” ซิ้งถึงกับพูดไม่ออก ชายคนนี้ชอบเล่นใหญ่ไปซะทุกครั้งจริงๆ
ลองนึกเล่นๆต่อให้ร้านของเขาโดนโจรปล้นก็ตามยังซะไม่มีทางเลยที่ธุรกิจของเขาจะล้มลงได้ ต่อให้อัญมณีชั้นสูงที่คนอื่นยากจะหาได้มาขาย แต่เขาเองกลับหามาได้ครอบครองไม่ยากเย็น
แถมขังขายต่อจนได้กำไรไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว คนแบบนี้จะไปล้มได้ยังไงกัน
อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังพอจะมีอัญมณีอยู่ในมีอีกจำนวนหนึ่ง ถ้าเขานำมันออกมาแล้วร่วมธุรกิจกับถังฮ่าวก็ถือว่าไม่เลวสำหรับเขาเช่นเดียวกัน
ดีไม่ดีนี่สำหรับเรื่องอัญมณีนี่เขาน่าจะได้กำไรมากกว่าเอาออกประมูลซะด้วยซ้ำ
ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “เอาจริงๆฉันก็ยังพอมีเหลือนะ เราไปพูดกันข้างบนดีกว่า” ถังฮ่าวเองในตอนนี้สายตาเป็นประกายพลางนึกไปว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ
ซูจิ้งได้พาถังฮ่าวและหวู่เหลาไปยังชั้นสี่ ถังฮ่าวได้เห็นพรมทองคำที่พื้นชั้นสี่ โซฟาไม้จากไฮ่หนาน และของอื่นๆอีกมากมาย
ซึ่งสำหรับถังฮ่าวเคยเห็นมาบ้างแล้วก็เลยไม่ค่อยเท่าไหร่แต่กับหวู่เหลานี่ยังไม่เคยจึงได้แต่ตกตลึงไปบ้าง “แล้วนายมีอัญมณีอะไรเหลืออยู่บ้างหล่ะ” ถังฮ่าวอดใจไม่ได้จนต้องถามออกมา
“ฮ่าฮ่าอย่าเพิ่งไปพูดถึงของพวกนั้นเลยน่า เอาจริงๆชั้นมืออย่างอื่นน่าสนใจมากกว่า ผมมีพลอยสามเม็ดอยู่ในมือตอนนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสหวู่มาอยู่นี่ช่วยตรวจสอบให้ผมหน่อยสิ” ซูจิ้งบอกออกมา
เอาจริงๆแล้วเหตุผลที่ถังฮ่าวพาคุณหวู่มาเป็นเพราะต้องการให้เขาตรวจประเมินถ้าซูจิ้งมีอัญมณีอยู่กับมือเพื่อเสนอราคา กลายเป็นว่าเข้าทางซูจิ้งซะอย่างนั้น
ซูจิ้งได้เดินไปและได้นำอัญมณีที่ดันออกมาจากกล่องก่อนหน้านี้ทั้งสามเม็ดออกมาให้หวู่เหลาดู นั่นก็เพราะหวู่เหลานั้นเป็นมืออาชีพรู้เรื่องอัญมณีมากกว่าเขาอยู่พอสมควร
ถ้าเป็นเรื่องอัญมณีล่ะก็ขนาดซงเหลาและเฉินฮงเองก็ยังถือได้ว่าคนละชั้นกัน เพราะทั้งสองถนัดเครื่องลายครามและของเก่ามากกว่าอัญมณี
“รีบเอาออกมาดูเร็วเข้า” ทั้งถังฮ่าวและหวู่เหลาต่างสงสายตาเป็นประกาย
“รอสักพักนะ” ซูจิ้งเดินลงไปที่ชั้นหนึ่งและได้นำอัญมณีทั้งสามมาและนำพวกมันลงมาวางไว้บนพื้นโต๊ะ ทั้งถังฮ่าวและหวู่เหลาในตอนนี้ได้จ้องมองเข้าไปยังอัญมณีทั้งสามด้วยสายตาเลื่อนลอย