เช้าวันต่อมา จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงตื่นสายกว่าปกติ แม้เตียงจะทั้งแข็ง ทั้งไม่สบาย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเตียงเรียบๆ ไม่ใช่พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ดังนั้นพวกเขาจึงหลับไม่รู้ตื่นเลยทีเดียว
ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่นแล้ว ถึงอย่างไรการเดินทางก็ยังไม่สิ้นสุด และบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่บ้านของเขา ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน ก็ได้กลับบ้านเร็วขึ้นหนึ่งวัน
พอกินข้าวเช้าเสร็จ จางจื่ออันใช้ถ่านไม้เขียนบนกระดาษเป็นภาษาอังกฤษสองสามคำ แล้วแปะไว้ด้านในของกระจกหน้าต่าง เขียนไว้ว่า ‘กุญแจอยู่ข้างใต้ก้อนหินหน้าประตูบ้าน อย่าทุบกระจก’
ถ้าต่อจากนี้มีนักเดินป่าคนอื่นมาที่นี่ จะต้องส่องผ่านกระจกเข้ามาดูลาดเลาข้างในเหมือนเขาก่อนแน่นอน ตอนนั้นก็จะเห็นกระดาษแผ่นนี้ รวมถึงข้อความบนกระดาษด้วย
หลังจากนั้น เขาก็เก็บข้าวของและสะพายกระเป๋า ใช้ผ้าสีขาวคลุมเฟอร์นิเจอร์ในบ้านอีกครั้ง จากนั้นก็ล็อกประตู ก่อนออกไปพร้อมพวกภูตสัตว์เลี้ยง และทับกุญแจไว้ใต้ก้อนหินที่เดิม
ก่อนออกจากหมู่บ้าน เขายังหยิบแผ่นไม้ปิดบ่อน้ำเอาไว้ กันไม่ให้ใบไม้ร่วงลงไป แล้ววางก้อนหินทับบนแผ่นไม้อีกที เพื่อกันไม่ให้แผ่นไม้ถูกลมพัดปลิวไป หากเป็นคนมีสติปัญญาและสายตาปกติก็จะสังเกตเห็นบ่อน้ำบ่อนี้ได้
ตอนที่เรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงออกเดินทาง เขาก็สังเกตเห็นว่าฟราเทอร์นั่งหลังตรงเรียบร้อย ไม่ใช่ท่านั่งสบายๆ เหมือนแมวหรือสุนัข แต่เหมือนจะใกล้เคียงกับคำว่านั่งสุภาพเรียบร้อย เอวเหยียดตรง ร่างกายเหมือนหินโสโครกที่เตรียมต้านการจู่โจมของคลื่นลม
มันหลับตาลง เหมือนกำลังท่องบางอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าอาบแสงโชติช่วงอันบริสุทธิ์ รอบๆ ตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึมยากจะอธิบาย…ถึงมันจะเป็นหมาป่า แต่ก็ยังไม่เคยเห็นมันเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือด
จางจื่ออันไม่กล้ารบกวนมัน และห้ามริชาร์ดที่ชอบพูดจาเรื่อยเปื่อยว่าอย่าเสียงดังโวยวาย
ผ่านไปสักพักหนึ่งฟราเทอร์ก็ลืมตาขึ้น ในแววตามีแสงสว่างเป็นประกาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย ไม่ใช่ความเศร้าในโชคชะตาของตัวเอง แต่ซับซ้อนก่อนกว่านั้นอีก แอบรำพึงฟ้าเวทนาคนเหมือนเหล่าฉาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เหมือนเจอความจนใจสิ้นหวังมากกว่า
“เป็นอะไรไป? มีอะไรงั้นเหรอ?”
จางจื่ออันสังเกตเห็นว่ามันมีสีหน้าแปลกๆ จึงถาม
ฟราเทอร์เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วพึมพำอย่างแฝงนัย “ฟ้า…จะมืดแล้ว”
ตอนตื่นเช้ามาก็มีแสงแดดลอดเข้ามาจากทางหน้าต่าง จางจื่ออันจึงคิดว่าวันนี้อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสแต่มีเมฆมาก จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แถมยังเอาแต่ยุ่งกับการทำงาน
ตอนนี้เขาเงยหน้าดูบ้าง มองผ่านช่องใบไม้เห็นว่าเส้นขอบฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือมีเมฆสีดำกำลังก่อตัวขึ้น
นี่ไม่ใช่การรวมตัวของเมฆฝนที่เคลื่อนที่เร็วอย่างพายุฝน เมฆแบบนี้ถูกลมพัดผ่านมา ดูท่าทางน่ากลัว แต่มาไว ไปไว และบริเวณที่ได้รับผลกระทบก็แคบ เป็นปรากฏเหตุการณ์ที่พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก และฝนตกทางตะวันตก เอกลักษณ์คือเมฆเป็นชั้นๆ ลอยต่ำมาก รู้สึกคล้ายกับจะตกลงมาใส่หัว
เมฆเป็นชั้นๆ บนท้องฟ้าในตอนนี้น่าจะเกิดจากแนวปะทะอากาศเย็นที่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ก่อให้เกิดชั้นเมฆสูงเป็นวงกว้าง เมฆแบบนี้ไม่ได้พาลมพายุฝนรุนแรงมาด้วย แต่จะพาอากาศย่ำแย่เป็นเวลานานมาแทน
อากาศดีต่อเนื่องกันมาหลายวัน ในที่สุดก็ต้องจบลงแล้ว
จางจื่ออันเองก็เสียดายมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มและฝนตกจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นจำนวนหนึ่ง แม้แต่การจุดไฟก็จะกลายเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่เขายังมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยก็ไม่ให้เรื่องนี้มากระจิตใจมากเกินไป
“ฟ้าหลังฝนมักจะสดใสเสมอแหละ” เขาพูดปลอบใจ
ฟราเทอร์กลับมองท้องฟ้าต่ออย่างกังวล “ไม่ เจ้าไม่เข้าใจ”
จางจื่ออันมองตามสายตาของมันไป ก่อนจะประหลาดใจที่ยังเห็นก้อนเมฆรูปคนสองก้อนเมื่อวานยังลอยอยู่บนท้องฟ้า ก้อนหนึ่งในนั้นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมฆดำหนาเหมือนจะลอยมาจากทางเขา…ไม่ใช่สิ เหมือนจะพัดมาจากข้างหลังของมัน ราวกับจะกลืนกินก้อนเมฆรูปคนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้
ในเวลาหนึ่งวัน หนึ่งคืน ก้อนเมฆสองก้อนนี้ไม่ได้ถูกพัดกระจายไปเลย แถมยังเปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลา พูดได้อย่างเดียวว่าน่าประหลาด
เขาแอบสงสัยอยู่ในใจ เนื่องจากการบดบังของใบไม้ รวมถึงเหนื่อยล้าจากการเดินทาง น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาและไม่มีเงื่อนไขที่จะใช้เวลาทั้งวันไปกับการถ่ายรูปการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆทั้งสองก้อน อย่างน้อยหากอัพโหลดขึ้นไปบนอินเทอร์เน็ตจะต้องดึงดูดความประหลาดใจของคนได้มากมาย เขาอาจจะกลายเป็นเน็ตไอดอลได้ด้วย
“พวกเรากำลังแพ้สงครามแห่งศรัทธาครั้งนี้” ฟราเทอร์พูดอย่างเศร้าโศก “ไม่ว่าปริมาณหรือคุณภาพของความศรัทธา พลังของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าพวกเราทั้งหมด”
จางจื่ออันไม่เข้าใจว่ามันกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงมันก็รู้ว่าเป็นสถานการณ์เคร่งเครียด เขานึกขึ้นได้ว่าวงกลมแสงตัวแทนมันในอินเตอร์เฟซจับของเกมอ่อนลงเรื่อยๆ อาจจะอธิบายว่าพลังของมันกำลังอ่อนลง…หรือถูกปิดกั้น
“นายหมายถึงอะไร?” เขาถามอย่างสงสัย
ฟราเทอร์ถอนหายใจ “ยังจำที่เจ้าเคยพูดไว้ได้ไหม? สัตว์บุกรุกจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือบีเวอร์ ต่างก็เป็นสัตว์จากนอกของป่าแห่งนี้ บางครั้ง…ความศรัทธาก็เป็นเช่นนั้น ศรัทธาที่เดิมทีไม่เป็นของแผ่นดินผืนนี้ กำลังรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินผืนนี้ ปิศาจที่เกิดใหม่ก็กำลังกัดกร่อนพวกเราจากภายใน”
มันอธิบายก็เหมือนไม่ได้อธิบาย เขาฟังแล้วก็ยิ่งสับสน
“นี่อาจจะเป็นโชคชะตา พวกเราเองก็เป็นผู้บุกรุกในบางความหมาย พวกเรามาแทนทีคนอินเดียแดงแล้ว ตอนนี้ก็มีคนอื่นต้องการมาแทนที่พวกเราอีก”
คำพูดของฟราเทอร์เหมือนกำลังเผยแพร่ศาสนา แล้วก็เหมือนแสดงออกถึงบางอย่างอย่างคลุมเครือ
จางจื่ออันฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไม่พูดอะไรเลยก็ไม่ใช่เรื่องดี เขาจึงฝืนใจแนะนำว่า “ที่จริงฉันก็รู้สึกนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมนุษย์ และความศรัทธาก็เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นตามกาลเวลา เหมือนอย่างป่าแห่งนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สัตว์ที่มาจากข้างนอก แต่สัตว์จากข้างนอกจะสร้างอันตรายให้กับระบบนิเวศของป่านี้หรือเปล่า…”
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร เหมือนกับกำลังพูดเรื่องไร้สาระที่ไม่มีความหมายเลยสักนิด จึงปลอบใจได้ไม่ถึงครึ่ง
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา เหมือนกับกำลังถูกใครแอบมอง เขาเหมือนจะเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกตอนที่ถูกวลาดิเมียร์แอบมองจากมุมมืดในปักกิ่ง
เขาจึงมองไปในป่าข้างๆ แต่ในนั้นเงียบมาก เงาต้นไม้กำลังร่ายรำ แสงสว่างและความมืดผสมผสานกันจนเห็นความต่างอย่างชัดเจน เหมาะให้สัตว์ซ่อนตัวอย่างมาก เขามองอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่พบเงาคนหรือสัตว์เลย
ขณะที่เขามองเข้าไป ความรู้สึกถูกแอบมองก็หายไปด้วย
เขานับจำนวนฝูงหมาป่ารอบหนึ่ง หมาป่าอยู่ตรงนี้กันหมด พวกมันเล่นสนุกกันไปมา ไม่ได้ขาดไปสักตัว จึงไม่ใช่หมาป่าแน่นอน
พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็เตรียมออกเดินทางอยู่แถวนี้
ไม่ว่าฝูงหมาป่าหรือภูตสัตว์เลี้ยงก็ไม่มีท่าทางแปลกๆ แสดงว่าพวกมันไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
กวาง? แบดเจอร์? หมาป่าไคโยตี? หมีดำ? หรือสัตว์ชนิดอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า?
หรือประสาทไวเกินไปนะ?