แม้แต่ฟราเทอร์ที่กำลังคุยกับจางจื่ออันและอยู่ใกล้เขาแค่คืบ พอเห็นเขาใจลอยไปไกล ยังคิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้ จึงพูดว่า “พวกเราออกเดินทางต่อเถอะ ทางข้างหน้าเดินยาก อ้อมไปทางริมทะเลสักหน่อยดีกว่า”
“เอ่อ…ก็ได้”
จางจื่ออันอยากอธิบายความลืมตัวเสียกิริยาของตัวเองเมื่อครู่สักเล็กน้อย ถึงอย่างไรใจลอยเวลาคนอื่นกำลังพูดก็ไม่สุภาพจริงๆ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ นอกจากอธิบายไปจะไร้ประโยชน์แล้ว อาจจะคิดว่าเขาพูดแก้ตัวด้วย
เขาหันไปมองในป่าอันเงียบเชียบอีกครั้ง แล้วเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงให้ออกเดินทางตามหลังฟราเทอร์กับฝูงหมาป่าไป แล้วออกจากหมู่บ้านอินเดียแดงที่รกร้างแห่งนี้
ยิ่งเดินไปทางทะเล ป่าก็ยิ่งบางตาลง ข้ามไปถึงพื้นที่ซึ่งแซมด้วยต้นไม้เตี้ยและทุ่งหญ้า วิสัยทัศน์ก็กว้างไกลยิ่งขึ้น
ระบบนิเวศที่นี่แตกต่างกับในป่าลึกอยู่บ้าง ฝูงกวางหางดำตกใจกลัววิ่งกระเจิงไปเพราะการปรากฏตัวของฝูงหมาป่า กระรอกดักลาสกระโดดขึ้นไปบนยอดของต้นไม้เตี้ย นกน้ำปากตะขอบินค้างอยู่บนท้องฟ้าเหนือชายทะเลที่ไกลออกไป ดิ่งลงมาข้างล่างเหมือนเครื่องบินทิ้งลูกระเบิดอยู่ตลอด ลมทะเลที่เย็นสบายปะทะเข้ามา
จางจื่ออันหันกลับไปบ้าง สังเกตสถานการณ์ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าฝูงกวางแดงยังตามหลังมาอยู่หรือเปล่า
เดินไปอีกสักพักหนึ่ง อ้อมกำแพงหินด้านหนึ่ง มหาสมุทรแปซิฟิกสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
พวกเขาหยุดเดินกันโดยพร้อมเพรียง พลางมองไปที่ผิวน้ำทะเล ราวกับจะเห็นเมืองปินไห่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ผิวน้ำทะเลที่นี่ไม่ได้เป็นสีฟ้าสดเหมือนทะเลของประเทศอียิปต์ แต่ยังมีสีเขียวเทาเล็กน้อย คลื่นทะเลซัดขึ้นมาบนชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังสาดซัดใส่ก้อนหินบนชายทะเลด้วย
ซ่า!
บนผิวน้ำทะเลที่ไกลออกพลันก็มีหมอกน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นมากะทันหัน เกิดเป็นสายรุ้งสีสันสดใสภายใต้แสงแดด จากนั้นมันก็หายไป
วาฬนั่นเอง
จางจื่ออันยกกล้องส่องทางไกลมองไป ห่างออกไปไกลเกินไป จึงดูไม่ออกว่าเป็นวาฬสายพันธุ์อะไร
“พวกเราไปเดินริมชายหาดกันเถอะ” เขาเสนอกับฟราเทอร์ แล้วพูดต่อว่า “ฉันมีเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำนาย”
การเดินบนชายหาดนั้นลำบาก เพราะเท้ามักจะจมลงไปในทราย ส่งผลให้เดินช้ากว่าบนพื้นหญ้าอย่างเห็นได้ชัด ฟราเทอร์กลับไม่แย้งอะไร แต่ยังสั่งฝูงหมาป่าให้เปลี่ยนมาเดินบนชายหาด
เทียบกับทิวทัศน์ของสิบเจ็ดไมล์ไดรฟ์อันมีชื่อเสียงแถวๆ ซานฟรานซิสโก ทิวทัวศน์ของชายฝั่งทะเลห่างไกลแห่งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ น้ำทะเลไม่เป็นสีฟ้า ชายหาดไม่ใช่สีขาว แม้แต่หินบนชายฝั่งทะเลก็ไม่สวยงาม ดังนั้นไม่เห็นแม้แต่เงาคนก็เป็นเรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นถึงห่างไกลแค่ไหน ก็เปิดเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวให้คุณเข้าชมได้ทั้งนั้น
จางจื่ออันยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งริมทะเล มองเห็นสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์พักพิงอยู่ในซอกหิน อย่างเช่น ลูกปลา ลูกกุ้ง ปู และอื่นๆ เนื่องจากไม่ถูกมนุษย์รบกวน ระบบนิเวศที่นี่จึงยังเป็นแบบผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง
เขาใช้โทรศัพท์มือถือเล็งไปที่น้ำทะเลข้างๆ ก้อนหิน แล้วปล่อยเซฮวาออกมา
ตูม!
เงาร่างคนพร้อมหางปลาตกลงไปในน้ำ ส่งให้น้ำทะเลซัดกระเซ็นขึ้นสูง
“โอ๊ย! ก้นฉัน!” เซฮวาโผล่หัวออกมาจากในทะเลพร้อมเบะปาก ก่อนจะหน้านิ่วมองเขาแล้วพูดว่า “ทำไมไม่เลือกที่ที่น้ำลึกกว่านี้หน่อยล่ะ? หัวฉันเกือบกระแทกอยู่แล้ว! ถ้าใบหน้างดงามเลิศล้ำที่แม้แต่ดวงจันทร์ต้องดับแสง ดอกไม้ต้องเ**่ยวเฉาจากความอับอายเสียหายขึ้นมา คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
จางจื่ออันทำเป็นหูทวนลม แต่เขายังไม่ทันพูดอะไร เธอก็สังเกตเห็นฟราเทอร์ จึงเบนความสนใจไปในทันที “เอ๋? นี่เป็นเจ้าหมาจากที่ไหนเนี่ย?”
ฟราเทอร์กระแอมครั้งหนึ่ง “ข้าเป็นหมาป่า”
“วูล์ฟด็อก?”
“หมาป่า”
“ช่วงเวลาระหว่างหมากับหมาป่า*?”
“…”
ฟราเทอร์มองจางจื่ออันเชิงขอความช่วยเหลือ มันไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไรแล้ว รู้สึกว่าความคิดไม่เข้ากับเจ้าตัวครึ่งคนครึ่งปลาที่เพิ่งพบกันตัวนี้เสียเลย
จางจื่ออันชี้ไปที่ขมับของตัวเองเงียบๆ ความหมายคือเจ้าตัวนี้ออกจะเพี้ยนๆ อย่าเอาจริงเอาจังกับเธอมากนักเลย
เขาปล่อยเซฮวาออกมา ด้วยเพราะเขาปล่อยให้เธออยู่ในโทรศัพท์มือถือมาหลายวันแล้ว จึงรู้สึกผิดกับเธอเล็กน้อย อีกทั้งตอนนี้มาถึงชายทะเลพอดี เลยปล่อยเธอออกมาสูดอากาศ ไม่อย่างนั้นพอเธอกลับเมืองปินไห่แล้ว เธออาจจะใช้เหตุผลนี้มาทะเลาะกันอีกนานทีเดียว
เซฮวาเรียกฟราเทอร์ด้วยการเลียนเสียงสุนัขเห่าอยู่หลายครั้ง จนฟราเทอร์รู้สึกจนใจ ขณะกำลังคิดว่าจะแนะนำตัวและแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างไร มันก็ได้ยินเสียงฝูงหมาป่าตรงหน้าร้องแปลกๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” จางจื่ออันเห็นใบหูมันขยับ เหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง
“ฝูงหมาป่าหาบางอย่างเจอแล้ว พวกเราเข้าไปดูสักหน่อยเถอะ”
ฝูงหมาป่าสื่อความหมายผ่านทางเสียงร้องได้อย่างจำกัด ฟราเทอร์ก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันพบอะไรกันแน่ ทำได้แค่มองพวกมันวนไปมาอยู่บนชายหาดไกลๆ ราวกับสนใจสิ่งนั้นอย่างมาก และใช้อุ้งเท้าหน้าเขี่ยไปมา กระทั่งอยากอ้าปากกัดด้วย
จางจื่ออันคิดว่าเป็นพวกเต่าทะเล จึงตามไปดูกับพวกภูตสัตว์เลี้ยง
“นี่ๆ! พวกนายจะไปไหน? ทำไมได้ยินเสียงแล้วก็ไปเลยล่ะ?” เซฮวาเห็นพวกเขาจะไป จึงว่ายอยู่ในทะเลเป็นเส้นขนานตามพวกเขาไป
ฟราเทอร์ไปถึงที่นั่นก่อน แล้วสั่งให้ฝูงหมาป่าหลีกไป จากนั้นจางจื่ออันก็รีบตามมาติดๆ
สิ่งที่ครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในชายหาดตรงหน้าพวกเขาทำเอาตกใจกันอย่างพร้อมเพรียง จางจื่ออันเผลอถอยหลังไปสองก้าว ด้วยไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
หลังจากพวกภูตสัตว์เลี้ยงมาถึง ต่างก็ตกใจกันหมด พายที่ขี้กลัวขดตัวอยู่ข้างหลังจางจื่ออัน ปิดตาเอาไว้ไม่กล้ามองอีก
แม้แต่เซฮวาที่หัวรั้นก็ยังตกใจจนต้องปิดปากไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา และกอดแขนเอาไว้แน่นราวกับหนาวสั่น
นั่นเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง
พูดให้ถูกคือรองเท้าบู๊ทเดินป่าสูงถึงเข่าข้างหนึ่ง แถมยังผูกเชือกไว้แน่นหนา
รองเท้าข้างนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดหวั่น แต่เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงกลับคิดไม่ถึง ว่าจะเห็นวัตถุรูปทรงกระบองสีขาวเทาอันหนึ่งยื่นออกมาจากรองเท้า มองเผินๆ เหมือนกิ่งไม้ แต่เทียบกับกิ่งไม้แล้วตรงกว่า ด้านที่หักก็ไม่เรียบ
นั่นเป็น…กระดูกขาของคน
ถ้าเดินไปมองในรองเท้าจากทางข้างๆ น่าจะยังเห็นกระดูกเท้า และอาจจะยังเห็น…ฝ่าเท้าที่ยังเน่าเปื่อยไม่หมดด้วย
ขึ้นอยู่กับคนคนนี้ตายมานานเท่าไรแล้ว
จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงมองหน้ากัน ไม่มีใครเข้าใกล้หรือกล้ามองเข้าไปในรองเท้าเลย
พวกเขาเคยเห็นศพแห้งและโครงกระดูกในทะเลทรายอียิปต์ แม้ตอนนั้นจะรู้สึกหวาดหวั่นมาก ทว่าความจริงแล้วก็แอบเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ทันตั้งตัวจริงๆ
อีกอย่างศพแห้งและโครงกระดูกเป็นของคนที่ตายไปนานมากแล้ว แต่รองเท้าข้างนี้ยังเป็นรุ่นทันสมัยทีเดียว เจ้าของรองเท้าน่าจะตายได้ไม่นานเท่าไร
“จื่ออัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เหล่าฉามองไปทางฝูงหมาป่าด้วยความสงสัย สัตว์ในป่าแห่งนี้ที่พอจะทำร้ายคนตายได้มีไม่มาก และเห็นชัดว่าฝูงหมาป่าเป็นสัตว์ที่น่าสงสัยที่สุด แถมสีหน้าตื่นเต้นตอนฝูงหมาป่าเจอรองเท้าข้างนี้เมื่อครู่ก็ยิ่งน่าสงสัย
ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็มองฝูงหมาป่าอย่างระแวดระวังเช่นกัน
ฟราเทอร์สีหน้าเคร่งเครียด มันเพิ่งมาถึงป่านี้ได้ไม่กี่วัน ไม่กล้ารับรองว่าคนคนนี้ถูกหมาป่ากินหรือเปล่า
*ช่วงเวลาระหว่างหมากับหมาป่า เป็นสำนวน หมายถึงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างกลางวันกับกลางคืน