ตอนที่ 7 ไต่ถาม โดย Ink Stone_Fantasy
ชายชราขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะเบาๆ “ได้ยินมาว่าบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงที่สุด เขาอาศัยเขตลวงตรวจสอบวิธีการบำเพ็ญพื้นฐานของทางสายเราจากศิษย์ของข้าและเจ้า…เรื่องนี้ข้าเชื่อ! แต่เพียงแค่อาศัยวิธีการพื้นฐานผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมา เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ตอนนั้นข้ากับเจ้าระดับขั้นถึงแล้ว ก็ต้องให้ท่านอาจารย์ถ่ายทอด จึงศึกษาศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้สำเร็จ อาศัยตนเองจะสำแดงออกมาได้อย่างไรกัน”
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูดอย่างร้อนรนว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่งนัก บำเพ็ญจนถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ก็เพิ่งจะใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กัน ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเขา สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
“อื้ม พรสวรรค์ของเขาสูงส่งจริงๆ นั่นแหละ” ประมุขหอหมื่นโลกายังคงไม่อยากจะเชื่อ
อาศัยตนเองสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมาน่ะหรือ
เท่าที่เขารู้
ผู้ที่คิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาด้วยตนเองจริงๆ นั้น คนหนึ่งก็คืออาจารย์ของพวกเขา ซึ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เยี่ยมยอดไร้เทียมทานอย่างแท้จริง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเก้าเมฆาซึ่งสิ้นใจไปตั้งนานแล้ว ตอนนั้นถึงอย่างไรจักรพรรดิเก้าเมฆาก็เป็นผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลด้วยวิถีของอากาศ ทั้งยังบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับที่สอง เมื่อมีการสั่งสมที่แน่นหนาเช่นนี้ เขาจะผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นเพียงขั้นอลวนคนหนึ่งผลักดันขึ้นมาน่ะหรือ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
การศึกษาเคล็ดลับสักวิชาหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วก็ง่ายกว่า เพราะถึงอย่างไรคนรุ่นก่อนก็ได้วางเคล็ดวิชาเอาไว้ตรงหน้าแล้ว ขอเพียงใช้งานเป็นก็พอแล้ว! แต่จะคิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาก็ยากแล้ว
“เท่าที่ข้ารู้ ตอนนั้นจักรพรรดิเก้าเมฆาก็สามารถสำแดงออกมาได้เช่นกัน” ประมุขหอหมื่นโลกากล่าว “เขาศึกษามาจากจักรพรรดิเก้าเมฆาอย่างนั้นหรือ”
“เฮอะ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูดเสียงเย็นชา “เขาจะศึกษามาจากไหนแล้วสำคัญหรือไร ไม่สำคัญหรอก! สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหลังจากจักรพรรดิเก้าเมฆาสิ้นใจไปแล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็มีเฉพาะทางสายของพวกเราเท่านั้น! ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้เป็นแล้ว ก็จะไม่ใช่วิชาเฉพาะของพวกเราอีกต่อไป หากท่านอาจารย์อยู่ล่ะก็ เกรงว่าคงจะอยากให้ทำลายตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ไปเช่นกัน”
ประมุขหอหมื่นโลกาพยักหน้า
เขายอมรับว่าศิษย์น้องกล่าวได้ถูกต้อง
ในบรรดาศิษย์และอาจารย์ทั้งสามคนนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว นับว่าประมุขหอหมื่นโลกานิสัยดีที่สุดแล้ว แต่ก็สร้าง ‘หอหมื่นโลกา’ ขึ้นมาให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนรับหน้าที่เป็นมือสังหาร ไปเข่นฆ่าตามที่ต่างๆ เช่นกัน นิสัยของเขาเยียบเย็นแต่กลับเหนือกว่าธรรมดา ไม่ค่อยอยากจะมีส่วนร่วมในการแย่งชิงระหว่างขุมอำนาจต่างๆ แต่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ นั้น ด้วยนิสัยของท่านอาจารย์แล้วก็คงจะทำลายตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้ง ในฐานะศิษย์ ก็ต้องจัดการธุระให้ดี
“อืม ข้าจะรอดูสิว่า เขาใช้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นจริงๆ หรือไม่ หากมั่นใจเมื่อไหร่ ก็หาโอกาสกำจัดเขาได้เลย” ประมุขหอหมื่นโลกาเอ่ย
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเผยรอยยิ้มเยียบเย็นดุจน้ำแข็งสายหนึ่งออกมา
เมื่อกำจัดตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
ในภายหน้าการตามหารังระดับเกราะทอง บรรดาเทพจักรวาลก็คงได้แต่มาขอร้องเขาแล้ว!
……
ผ่านไปชั่วขณะ
ไม่นานนักประมุขหอหมื่นโลกาก็ตรวจพบร่องรอยของตงป๋อเสวี่ยอิง อาศัยร่างแยกก็สามารถสอดส่องผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางการตรวจตราของเขา
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างอยู่นอกคูหาลับแห่งหนึ่งท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านพลางสำแดงเขตลวงเข้าไปตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบแล้วมั่นใจว่ามิใช่ฝูงมารผลาญทำลาย และมั่นใจว่าไม่มีแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สอดส่องโดยรอบเพื่อเสาะหาจุดหมายแห่งต่อไป ไม่นานนัก หลังจากกำหนดเป้าหมายแล้ว เขาก็ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปยังบริเวณใกล้เคียง มีเพียงอากาศด้านข้างที่บิดเบี้ยว แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายวับไป
เขาไล่ล่าไปตามบริเวณต่างๆ
ส่วนร่างแยกของประมุขหอหมื่นโลกาก็มองดูอย่างเงียบเชียบ
“ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา” หลังจากประมุขหอหมื่นโลกาดูอยู่หลายครั้ง บนใบหน้าเหี่ยวชราก็ยิ่งทวีความเย็นชา “เป็นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจริงๆ ด้วย” เขามั่นใจเต็มเปี่ยม
ประมุขหอหมื่นโลกาเบิกตากว้าง มองดูจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้านข้าง
“ศิษย์พี่ เป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกล่าวขึ้น
“สิ่งที่เขาสำแดงออกมาคือศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจริงด้วย ควรกำจัดเขาทิ้งเสีย” ประมุขหอหมื่นโลกาพูดต่อ “ทว่าเจ้าต้องออกหน้าไปสอบถามเขาเสียหน่อย จะได้วิเคราะห์ได้ว่า เขาอาศัยเขตลวงจนได้วิธีการพื้นฐานมาแล้วผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมา หรือว่าศึกษาจากจักรพรรดิเก้าเมฆากันแน่ พวกเราต้องพยายามตัดขาดเคล็ดวิชาสืบทอดนั้นของพวกเขาให้ได้ แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเข้าถึงเพียงแค่บางส่วน แต่กำจัดทิ้งโดยเร็วเสียจะดีกว่า”
“อื้ม” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพยักหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาบนเส้นทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง หากให้เวลาเพียงพอ ไม่แน่ว่าในภายหน้าอาจจะสามารถบุกเบิกเคล็ดวิชาสืบทอดที่คล้ายคลึงกับทางสายของพวกเขาขึ้นมาจนสำเร็จก็เป็นได้
******
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
ณ ทุ่งร้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นบนทุ่งร้างแห่งหนึ่ง แล้วส่งเขตลวงลงไปปกคลุมคูหาลับใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปเอาไว้ทันที
“เอ๊ะ” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปลี่ยนแปรไป เมื่อมองออกไปด้านข้างไม่ไกลนัก กลางอากาศไม่ไกลออกไปนักบิดเบี้ยว เงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้น ซึ่งก็คือจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้แผ่กลิ่นอายโหดร้ายระคนเย็นชาออกมา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่กลางอากาศ พลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเยียบเย็น เขาแค่นเสียงพูดว่า “ประมุขตำหนักตงป๋อ วิธีการของเจ้าออกจะไร้ยางอายเกินไปหน่อยกระมัง”
“ไร้ยางอายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ท่านบอกว่าข้าไร้ยางอายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง “ข้าทำอะไรไปรึ เพราะใช้เขตลวงลงมือกับท่านในครั้งก่อนหรือ”
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสำรวจสีหน้าท่าทางของตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียด หากลอบอาศัยเขตลวงจนได้วิธีการบำเพ็ญพื้นฐานมาจากศิษย์ทั่วไปแล้ว เมื่อยามนี้ถูกไต่ถาม ก็ควรจะเผยพิรุธออกมาจึงจะถูกต้อง แน่นอนว่าเขายังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าเขายังคงปากแข็งดังเดิมออกไป
“ที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องนี้ เจ้าไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายไปทั่วทิศ เรื่องเขตลวงนั่นข้าก็คร้านจะคิดบัญชีกับเจ้าแล้ว แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าสิ่งที่เจ้าทำจะมิมีผู้ใดล่วงรู้” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มหยัน “เมื่อครู่เห็นข้าส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นมา ได้เห็นกระบวนท่าส่งถ่ายของข้าแล้ว เจ้ายังคิดจะแก้ต่างอะไรอีกหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ
ส่งถ่ายหรือ
ใช่แล้ว
ความทรงจำของเขาสูงส่งเพียงใด ขณะที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยส่งถ่ายมาเมื่อครู่ อากาศบิดเบี้ยวช่างเหมือนกับการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของเขาไม่มีผิด เป็นวิธีการส่งถ่ายที่อาศัยรูทรงกลมหมอกดำ ความเคลื่อนไหวน้อยนิดยิ่งนัก
“เรื่องที่ข้าส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ เชื่อว่าในอากาศอันสับสนอลหม่านและโลกทิพย์ทั้งห้ามีผู้ล่วงรู้มากมายยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ข้าสำแดงออกมาในปราการอากาศก็หลายครั้ง นี่เป็นวิธีการและพรสวรรค์ที่ข้ามีหลังจากสำเร็จเป็นขั้นอลวนและบำเพ็ญศาสตร์โบราณควบคู่ไปด้วย ทำไมรึ พรสวรรค์ศาสตร์โบราณนี้ของข้ามีปัญหาหรือ”
“พรสวรรค์ศาสตร์โบราณ ช่างน่าขันนัก!” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยชี้หน้าตงป๋อเสวี่ยอิงพลางแค่นเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่เป็นถึงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสืบทอดที่มีแค่ทางสายของพวกเราเท่านั้นที่มี เคล็ดวิชาสืบทอดของพรสวรรค์ศาสตร์โบราณเป็นสิ่งที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งมอบให้มา ซึ่งล้วนอยู่ในขอบเขตของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานั้นเริ่มสอดแนมไปนอกอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว กฎเกณฑ์อันสูงส่งจะมอบให้มาได้อย่างไรกัน เจ้าพูดเรื่องน่าขันอะไรรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว พรสวรรค์ศาสตร์โบราณเต็มไปด้วยความน่าพิศวง แม้แต่การเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ที่เคยมีสักเล็กน้อยก็สามารถปรากฏขึ้นได้! แม้แต่พรสวรรค์การทำนายล่วงหน้าก็สามารถปรากฏขึ้นได้เช่นกัน พรสวรรค์การส่งถ่ายของข้านี้จะนับเป็นอะไรได้เล่า ส่วนที่ท่านพูดเรื่องศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอะไรนั่น ข้าเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก”
“ความหมายของเจ้าก็คือ ศาสตร์การส่งถ่ายนี้ของเจ้ามิใช่ได้มาด้วยการใช้เขตลวงแอบศึกษาหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ข้าไม่มีเวลาพูดกับท่านให้มากความหรอกนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจะผละจากไปทันที ต่อให้พูดไปมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“ศาสตร์การส่งถ่ายนี้ของเจ้า ศึกษามาจากจักรพรรดิเก้าเมฆาอย่างนั้นหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกล่าวขึ้นโดยพลัน
โครงร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่หยุดลง เขาเคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที
เขาหลบออกไปไกลลิบลับก่อน แล้วยืนอยู่เหนือทุ่งร้างกลางท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความคิดมากมายขึ้นในใจ “ข้ายังคิดว่าการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นที่ข้าสำแดงออกมาหลังจากสำเร็จเป็นขั้นอลวนจะไม่มีข้อบกพร่องเสียแล้ว แต่ทางสายของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งนัก ทั้งยังกล่าวว่าพรสวรรค์ศาสตร์โบราณเป็นสิ่งที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งมอบให้ นี่เป็นการสอดแนมนอกอากาศอันสับสนอลหม่าน จึงไม่มีทางมอบให้แน่นอนอย่างนั้นหรือ เห็นทีเคล็ดวิชาสืบทอดทางสายของพวกเขาคงจะเข้าใจอะไรๆ นอกอากาศอันสับสนอลหม่านมากมายยิ่งนัก”
แม้จะยุ่งยากอยู่บ้าง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่หวั่น
ถึงระดับอย่างเขาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหวั่นเกรงได้มีไม่มากนัก
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจะสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั่นเอง ก็พลันสัมผัสรับรู้ได้ถึงแววอาฆาตระลอกหนึ่งภายในบริเวณกฎเกณฑ์ หัวใจของเขาพลันบีบรัดแน่นขึ้นมา
…………………………………………