TQF:บทที่ 733 อวสาน (2)

“เฮ่ะๆๆ……” หยูเฮงน้อยส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก “ยอดเยี่ยม นางจะตายง่ายๆไม่ได้นะ ถ้านางตายแล้วก็หมดสนุกน่ะสิ”

 

“…..” ตาแก่ซอมซ่อก้มหน้าก้มตาไม่ตอบอะไร

 

สามีภรรยาโม่อู๋เซอที่รู้ทุกอย่างดีอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็ไม่ได้บอกคำพูดที่อยู่ในใจออกมา

 

ในที่นี้ยังมีอีกคนที่รู้เรื่องซึ่งก็คือฟางซูหยุน นางรู้ว่าสาเหตุคืออะไร และเข้าใจว่าบ่วงกรรมนี้ไม่จบดีแน่ๆ

 

แม้นางจะไม่รู้ว่าผู้หญิงชุดแดงทำอะไร แต่ด้วยนิสัยของหยูเฮงน้อย การที่นางจะมีท่าทีไม่ตายไม่เลิกแบบนี้ได้อีกฝ่ายไม่ตายดีแน่

 

ทั้งห้องรับแขกเงียบลงอีกครั้ง

 

ท่ามกลางบรรยากาศพิลึกนี้ เกิดความรู้สึกที่ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบาย

 

สุดท้าย สายตาของฟางหมิงเห้อทอดไปยังพี่สาวที่อยู่ข้างๆ ฟางซูหยุน เรียกได้ว่าไม่มีใครเหมาะสมแล้วนอกจากนางที่จะทำลายบรรยากาศแบบนี้

 

ฟางซูหยุนโยนอารมณ์อย่างอื่นทิ้ง นางมองหยูเฮงน้อยและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “หยูเฮงน้อย เรื่องที่จะไล่ล่าลูกศิษย์ของ 3 สำนักใหญ่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรรึเปล่า”

 

“หืม ฮูหยิน ท่านหมายความว่ายังไง” หยูเฮงน้อยยังไม่เข้าใจความหมายของนาง

 

ฟางซูหยุนมีแววกังวลใจก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าหมายถึง ผืนดินฉางไห่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของ 3 สำนักใหญ่ไม่น้อยเลยนะ มิติมายาและมิติหฤโหดน่ะเยอะ ถ้าพวกเขาคิดจะซ่อนตัวละก็ การจะหาพวกเขาเจอก็ไม่ง่าย”

 

“อ๋อ….”

 

หยูเฮงน้อยเม้มปาก คิดไปคิดมาและพูดขึ้น “ฮูหยินฟาง ปัญหาพวกนี้ไม่ใหญ่มาก คุณหนูสาบานเอาไว้และมีวิถีสวรรค์เป็นพยาน สุดท้ายแล้วชีวิตของคนเหล่านี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว”

 

“หมายความว่ายังไง”

 

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฟางซูหยุนที่ไม่รู้ แต่ทุกคน ณ ที่นี้ไม่มีใครรู้เลยว่านางหมายความว่ายังไง

 

ถ้าเป็นคนอื่นถามหยูเฮงน้อยคงขี้เกียจพูด แต่นางเคารพฟางซูหยุนและสามีภรรยาโม่อู๋เซอ เมื่อเห็นท่าทางแปลกใจและใคร่รู้ของทั้ง 3 นางจึงอธิบายขึ้น

 

“หรือพูดได้ว่าถ้าคนพวกนี้ซ่อนตัวจริงๆจนเผ่าอสูรหาไม่เจอละก็ พวกเขาก็ต้องเกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่พอที่จะทำให้พวกเขาเสียชีวิต ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องโดนเผ่าอสูรของเราหาให้เจอในที่สุดและถูกเก็บ สรุปก็คือวิถีสวรรค์จะให้พวกเขาตาย ไม่ว่าจะใครก็รักษาชีวิตพวกเขาไว้ไม่ได้”

 

“แต่เหล่าผู้อาวุโสแห่ง 3 สำนักใหญ่กระจายอยู่ทั่วผืนดินฉางไห่ แถมประชากรในผืนดินฉางไห่ก็มีมหาศาล ถ้าคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงรูปร่างเปลี่ยนแปลงฐานะ เกรงว่าต่อให้เผ่าอสูรจะเก่งแค่ไหนก็คงหาตัวพวกเขาให้เจอทุกคนไม่ได้”

 

หรงจิ้งซือบอกข้อสงสัยของตัวเอง

 

หยูเฮงน้อยมองนางและเผยรอยยิ้มน่ารัก “ฮูหยิน เรื่องนี้วิถีสวรรค์ก็จะจัดการให้เช่นกัน

 

“วิถีสวรรค์จัดการให้? หมายความว่ายังไง” หรงจิ้งซือถามคำถามที่ทุกคนอยากจะรู้

 

“ฮูหยิน ตอนที่คุณหนูสาบานแล้วมีแสงสีทองพุ่งเข้าใส่ตรงกลางระหว่างคิ้วของคุณหนู ท่านก็เห็นแล้วใช่มั้ย”

 

“ใช่”

 

“นั่นแหละ คำตอบอยู่ในแสงสีทองนั้น” หยูเฮงน้อยยิ้มและตอบตาเป็นประกาย “แสงสีทองนี้ไม่ใช่ของดาดๆนะ มันคือวิถีสวรรค์ที่จุติลงมาให้คุณหนูล้างบางเหล่าผู้อาวุโสและลูกศิษย์แห่ง 3 สำนักใหญ่ ขอแค่คนที่มีแสงสีทองนี้ก็จะสามารถมองฐานะของคนพวกนั้นออก หรือก็คือไม่ว่าคนพวกนั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะในขณะที่แสงสีทองจุติลงมา พวกเขาก็ไม่สามารถหนีจากการเฝ้ามองของวิถีสวรรค์ได้อีก”

 

“หยูเฮงน้อย เจ้าหมายความว่าเสี่ยวเสี่ยวมีแสงสีทอง นางสามารถมองคนพวกนั้นออกได้ แต่พวกที่ส่งออกไปเป็นเผ่าอสูรนะ พวกมันก็มองคนพวกนั้นออกเหรอ” โม่อู๋เซอถาม

 

หยูเฮงน้อยยิ้ม มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “คุณผู้ชายโม่ ท่านก็รู้นี่ว่าเผ่าอสูรพวกนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณหนู คุณหนูแค่ให้แสงสีทองกับพวกเขาก็จบแล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

 

“ของแบบนี้ให้ได้ด้วยเหรอ” ฟางหมิงเห้อถามด้วยความประหลาดใจ

 

“อิอิ ท่านปู่เล็ก คนอื่นอาจจะไม่ได้ แต่สำหรับคุณหนูของข้าแล้ว ไม่ใช่เรื่องยาก นางอยากจะให้ใครก็ได้”

 

แม้ว่าคำตอบของหยูเฮงน้อยจะเกินความคาดหมายของทุกคน แต่ทุกคนก็เชื่อนาง ฟางซูหยุนครุ่นคิดอยู่พักก็ถามขึ้นอีก “หยูเฮงน้อย เสี่ยวเสี่ยวให้แสงสีทองกับเผ่าอสูรก็หมายความว่าเสี่ยวเสี่ยวไม่มีแสงสีทองนั่นแล้วใช่มั้ย”

 

“ไม่ใช่อยู่แล้ว” หยูเฮงน้อยส่ายหัว “แสงสีทองนั้นไม่ว่าคุณหนูจะให้ใครไปกี่คนมันก็จะยังคงอยู่ตลอดจนถึงตอนที่คนที่ต้องตายได้ตายกันหมด แสงสีทองที่ตรงกลางระหว่างคิ้วคุณหนูถึงจะหายไป ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วของคุณหนูตลอดจนถึงนาทีที่คุณหนูตายลง”

 

“เป็นแบบนั้นเลยเชียวเหรอ” หรงจิ้งซือเอ่ยอย่างเป็นห่วง “แล้วจะมีผลกระทบต่อร่างกายของเสี่ยวเสี่ยวมั้ย”

 

“วางใจได้ฮูหยิน แสงสีทองนี้ไม่ทำร้ายคุณหนู มันแค่มีไว้บอกความหมาย หรือก็คือคอยบอกคุณหนูว่าคนที่ต้องตายยังตายไม่หมด คุณหนูต้องทำเรื่องนี้ให้ลุล่วง ไม่อย่างนั้นมันก็จะอยู่กับคุณหนูไปตลอดชีวิต”

 

หยูเฮงน้อยยังเล่าต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววกังวลเลยสักนิด ราวกับเป็นเรื่องปกติ

 

“มันไม่ผูกมัดหรอ” โม่อู๋เซอขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ

 

“มีสิ มีอยู่แล้ว”

 

หยูเฮงน้อยพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อวิถีสวรรค์เป็นพยาน มันก็ต้องการให้คุณหนูทำภารกิจให้ลุล่วง เนื่องจากคุณหนูสาบานที่ผืนดินฉางไห่ เพราะฉะนั้นคุณหนูก็ต้องอยู่ที่ผืนดินฉางไห่เพื่อทำเรื่องนี้ให้เสร็จ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่เสร็จแล้วคุณหนูไปที่ผืนดินอื่น วิถีสวรรค์ก็จะกำจัดคุณหนู เพราะวิถีสวรรค์ไม่อาจถูกหลอกลวงได้ ดังนั้นบ่วงกรรมอยู่ที่ไหนก็ต้องจัดการที่นั่น”

 

“อย่างนี้นี่เอง”

 

ทุกคนเข้าใจหมดแล้วว่าเรื่องเป็นยังไง ขอแค่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ไปจากผืนดินฉางไห่ก็ไม่เป็นอะไร แม้ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของ 3 สำนักใหญ่จะเยอะ แต่ด้วยการไล่ล่าจากเผ่าอสูร 2 ล้านตน การจะล้างบางพวกเขาก็แค่เรื่องของเวลาเท่านั้น

 

เมื่อปัญหานี้กระจ่างแล้วทุกคนก็เบาใจลง

 

เรื่องที่หยูเฮงน้อยรู้ทุกอย่างด้วยอายุแค่นี้แปลกจนไม่แปลกแล้วสำหรับฟางซูหยุนสามีภรรยาโม่อู๋เซอ และไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจก็จะสอบถามหยูเฮงน้อยทุกครั้ง อย่างไรซะพวกเขา 3 คนก็รู้ฐานะของหยูเฮงน้อย

 

ส่วนผู้คนตรงหน้าที่ไม่รู้ฐานะของหยูเฮงน้อยเมื่อได้เห็นนางเข้าใจเรื่องของวิถีสวรรค์ได้อย่างถ่องแท้ด้วยอายุแค่นี้ก็ตะลึงกันหมด ประหลาดใจอย่างที่สุด

 

หยูเฮงน้อยไม่ได้สนใจสายตาตกตะลึงของคนอื่น นางเท้าคางอันงดงามและทอดสายตาไปที่นอกประตูและตะโกนเรียก “ผู้เฒ่าหยิง….”

 

“ขอรับ…..”

 

สิ้นเสียงขานรับ ผู้เฒ่าหยิงก็มาปรากฏตัวอยู่ในสายตาทุกคน

 

เนื่องจากสถานะของผู้เฒ่าหยิงคือคนรับใช้ เขาจึงเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงเรียกของหยูเฮงน้อยจึงรีบมาปรากฏตัวทันที

 

“ตาเฒ่า คุณหนูบอกว่าจะเปิดทำการตึกจงหยวนอีกครั้งไม่ใช่เหรอ พวกเราจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนดีมั้ย”

 

ในใจของหยูเฮงน้อยมีแต่เรื่องที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสั่งไว้ ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้เก็บมาคิดมาก ก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วก็คุณหนูบอกจะทำไอสมาคมตันจงไม่ใช่เหรอ เรื่องนี้ก็ต้องรีบจัดการ”

—————————————