ในเวลาเที่ยงคืนของวันที่14 กรกฏาคม..
บรรยากาศในคืนนี้ไม่สว่างสดใสดังเช่นทุกคืนแม้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ท้องฟ้ากลับมีเมฆบดบัง ทำให้แสงจันทร์บนท้องฟ้าส่องผ่านเมฆเหล่านั้นได้เพียงเล็กน้อย แสงจันทร์ในคืนนี้จึงไม่สว่างเจิดจ้าอย่างที่ควรจะเป็น บรรยากาศในคืนนี้จึงดูอึมครึมกว่าทุกคืน..
“คุณชายหลิง..ท่านรับปากกับข้าแล้วว่าหากข้าเป็นพยานเรื่องหลิงห่าวให้กับท่าน ท่านจะปล่อยข้าไปยังไงเล่า”
เวลานี้ภายในสวนชั้นที่แปดของคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นค่อนข้างมืดมิดเฉินเซินที่ยืนอยู่ในมุมมืดแห่งหนึ่งได้ร้องถามหลิงหยุนออกมาด้วยความหวาดกลัว..
ในเวลานั้น..นอกจากหลิงหยุนแล้ว ก็ยังมีเสี่ยวเม่ยเม่ย หลี่ยี่ เจียวเฟย และมือสไนเปอร์อีกสามคน ทุกคนต่างก็กำลังยืนล้อมรอบร่างของเฉินเซินกับไห่ซานไว้..
แต่ยังมีอีกหนึ่งคนที่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุน..ซึ่งก็คือเหล่ากุ่ยนั่นเอง!
“เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปนัก..ในเมื่อข้ารับปากจะส่งเจ้ากลับไป ข้าก็ต้องดูฤกษ์ยามเสียก่อนว่าจะส่งเจ้ากลับไปในวันและเวลาใด!”
หลิงหยุนยืนเอามือไขว้หลังพร้อมกับตอบเฉินเซินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
ไห่ซานซึ่งยืนอยู่ข้างๆเฉินเซินนั้นถึงกับพูดอะไรไม่ออกเขาหันหน้ามองเฉินเซินราวกับมองคนหน้าโง่คนหนึ่ง และได้แต่คิดในใจว่าเป็นเพราะต้องมาติดตามคนหน้าโง่อย่างเฉินเซิน เขาจึงต้องมาจบชีวิตเช่นนี้!
‘นี่เจ้ายังฝันว่าจะได้กลับบ้านอีกงั้นรึ’
ไห่ซานนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองนั้นต้องตายอย่างแน่นอนแต่เขากลับไม่มีท่าทีหวาดหวั่น และสามารถยอมรับได้อย่างห้าวหาญ..
“ส่งข้ากลับไปงั้นรึคุณชายหลิง.. ท่านไม่ต้องไปส่งข้าก็ได้! ข้ารู้จักเส้นทางในปักกิ่งดี เพียงแค่ท่านปล่อยตัวข้า ข้าก็สามารถกลับบ้านเองได้แล้ว..”
เฉินเซินยิ้มและคิดว่าหลิงหยุนจะปล่อยตนเองกลับบ้านไปจริงๆ
หลิงหยุนยิ้มให้เฉินเซินพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าไปไม่ใช่รึว่าต้องดูฤกษ์ยามเสียก่อน อีกทั้งคืนนี้ก็เป็นคืนวันที่สิบสี่กรกฏาคม ไม่เหมาะที่ผู้คนจะเดินกลางค่ำกลางคืน เพราะเจ้าอาจไปพบเจอภูติผีวิญญาณเข้า นี่เจ้าไม่กลัวว่าวิญญาณของหลิงห่าวจะคอยตามหลอกหลอนเจ้างั้นรึ”
เมื่อเฉินเซินได้ยินชื่หลิงห่าวเขาก็นึกถึงภาพศพไร้ศรีษะที่กองอยู่กับพื้นเมื่อครู่ทันที และได้แต่ร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว
“คุณชายหลิง..ได้.. ได้.. เช่นนั้นเป็นวันใหนดี”
แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่หัวเราะและไม่ตอบอะไร แน่นอนว่าต้องเป็นวันที่เขาจะจัดการกับตระกูลเฉิน!
เวลานี้..เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็ล่วงรู้แล้วว่าตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินนั้น นับเป็นศัตรูที่ยากจะอยู่ร่วมโลกกันได้อีก หากตระกูลหลิงเคลื่อนไหว ย่อมสะเทือนไปถึงตระกูลเฉินอย่างแน่นอน เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็กำลังจับตามองว่า เมื่อไหร่สองตระกูลนี้จะลงมือห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเสียที..
แต่ถึงกระนั้น..เรื่องที่ตระกูลเฉินจับตัวหลิงเย่วไป เรื่องที่หลิงหยุนบุกเข้าคฤหาสนต์ตระกูลเฉินช่วยหลิงเย่ และได้สังหารเหล่านินจากับแวมไพร์ไปมากมาย เรื่องช่วยเกาเฉินเฉินบนเขาหยุนเมิ่ง หรือเรื่องที่เฉินเจี้ยนห่าว และเฉินไห่ซานถูกหลิงหยุนฆ่าตายนั้น..
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ถูกเปิดเผยให้โลกภายนอกรู้คนธรรมดาทั่วไปจึงยากที่ะล่วงรู้ได้!
มีเพียงเรื่องที่หลิงหยุนจับตัวเฉินเซินกับไห่ซานในที่สาธารณะเท่านั้นที่คนธรรมดาทั่วไปได้เห็น ในเมื่อหลิงหยุนเป็นผู้จับตัวเฉินเซินมา เขาก็จะเป็นผู้นำตัวเฉินเซินกลับไปส่งเอง..
แต่เขาจะส่งเพียงร่างของเฉินเซินกลับไปเท่านั้น..
ในเมื่อแม้กระทั่งหลิงห่าวหลิงหยุนยังกล้าลงมือสังหารมีหรือที่เขาจะยอมปล่อยเฉินเซินกับไห่ซานให้มีชีวิตรอดไปได้ เพียงแต่ให้พวกมันสองคนได้มีชีวิตต่อไปอีกเพียงแค่สองสามวัน..
“เจ้านายที่เคารพ!”เพียร์ซและจอยซ์ออกมาพร้อมกับร้องเรียกหลิงหยุนด้วยความเคารพ..
“นำตัวพวกมันสองคนกลับไปขังไว้ก่อน..”หลิงหยุนร้องสั่ง
แวมไพร์ทั้งสองตนนำตัวเฉินเซินกับไห่ซานกลับเข้าไปในคุกใต้ดินตระกูลหลิงทันทีจากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางเหล่ากุ่ย
“เหล่ากุ่ย..ท่านรีบนำคนไปจับกุมตัวจ้าวผิงมาให้ข้าที!”
“ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งของท่านผู้นำตระกูล!”
เวลานี้..เหล่ากุ่ยยิ่งให้ความเคารพต่อหลิงหยุนมากขึ้น และไม่กล้าล้อเล่นกับเขาอีก..
เมื่อเหล่ากุ่ยออกไปแล้วหลิงยุนก็หันไปพูดกับหลี่ยี่ และเจียวเฟย “ข้าจะย้ำกับพวกเจ้าสองคนอีกครั้ง เรื่องที่พวกเจ้าพบเห็นในคืนนี้ อย่าได้แพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดหัวของพวกเจ้าสองคนทิ้งซะ!”
หลี่ยี่เจียวเฟย และมือสไนเปอร์ทั้งสาม ต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “พวกเราเข้าใจและจะปฏิบัติตาม!”
จากนั้นหลิงหยุนก็สั่งให้ทุกคนกลับไปในระหว่างที่เดินออกไปส่งทุกคนนั้นหลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูรอบๆบริเวณ และพบว่าในระยะสองเมตรรอบคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้น ไม่มีผู้น่าสงสัยซุ่มอยู่เลยแม้แต่คนเดียว..
“คุณชายหลิง..ในวันข้างหน้าหากต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเราก็ยินดีอยู่เคียงข้างท่าน จะไม่ขอหนีหายไปอย่างเด็ดขาด!”
หลี่ยี่กับเจียวเฟยไม่ลืมที่จะยืนยันความจงรักภักดีของตนเองอีกครั้งเพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในบ้านของหลิงลี่นั้น ทั้งสองคนต่างก็ได้เห็นหลิงหยุนใช้กระบี่เหินกับตาตัวเอง และยังคงรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย..
“ขอบใจ..เจ้าทำหน้าที่ตามคำสั่งของข้าให้ดีก็พอ ข้าไม่ให้พวกเจ้าไปบุกน้ำลุยไฟแน่!”
หลิงหยุนพูดหยอกเย้าหลี่ยี่กับเจียวเฟยหลังจากที่ทั้งห้าคนขึ้นรถกลับออกไปแล้ว หลิงหยุนจึงหันไปมองเสี่ยวเม่ยเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ
เสี่ยวเม่ยเม่ยดูเคอะเขินเมื่อถูกหลิงหยุนจ้องมองเช่นนี้นางจึงรีบก้มหน้าลงทันที หลิงหยุนเห็นท่าทางเขินอายของเสี่ยวเม่ยเม่ยแล้วก็ได้แต่ยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เดี๋ยวนี้เจ้ารู้จักเขินอายแล้วรึ”
เสี่ยวเม่ยเม่ยเม้มริมฝีปากแน่นและได้แต่ส่ายหน้าไปมาไม่ตอบอะไร หลิงหยุนจึงพูดต่อว่า
“เอาล่ะ..เจ้ากลับไปโรงแรมก่อน สองสามวันนี้ข้ายุ่งมาก ไว้เสร็จภารกิจแล้วข้าจะไปหาเจ้าที่โรงแรม จำไว้ว่าต้องคอยติดต่อกับเย่ซิงเฉินอยู่เสมอด้วย!”
เสี่ยวเม่ยเม่ยได้ยินว่าหลิงหยุนจะไปหาตนเองที่โรงแรมในใจก็นึกดีใจ และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก..
จากนั้นนางก็เหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบข้างหูว่า“แล้วถ้าคุณหนูถามเรื่องในคืนนี้เล่า”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและย้ำกับเสี่ยวเม่ยเม่ยว่า“นับจากนี้ไปห้ามเรียกนางว่าคุณหนูอีก เจ้าไม่ใช่บ่าวของนางอีกแล้ว อย่าได้หวาดกลัวนางนัก..”
เสี่ยวเม่ยเม่ยเห็นหลิงหยุนเข้าข้างตนเองเช่นนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นแต่แล้วก็ร้องถามออกมาอย่างลังเล “ข้าไม่ได้กลัวนาง.. แต่กลัว..”
เสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นกลัวหยิงชิงเฉวียน– ท่านแม่ของหลิงหยุนต่างหากเล่า..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“แม่ของข้าไม่ตำหนิเจ้าแน่ อย่าได้กังวลใจไป!”
เสี่ยวเม่ยเม่ยพยักหน้าจากนั้นหลิงหยุนจึงร้องบอกให้นางกลับไปโรงแรมก่อน เพราะเรื่องที่เขาจะทำในคืนนี้ไม่เหมาะที่หญิงสาวจะร่วมทางไปด้วย
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะเจ้าเองก็ระมัดระวังตัวด้วย!”
พูดจบ..เสี่ยวเม่ยเม่ยก็หันหลังกระโดดจากไปทันที ในใจของเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขยิ่งนัก..
.………
“โม่วู๋เตา..เจ้าเลิกหลบซ่อนแล้วก็ออกมาได้แล้ว!”
หลังจากที่ส่งทุกคนกลับไปแล้วหลิงหยุนก็หันไปมองที่หัวมุมซึ่งอยู่ไกลออกไป พร้อมกับร้องตะโกนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
โม่วู๋เตารีบเดินออกมาทันที!
คืนนี้..โม่วู๋เตาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวตัวเก่งเช่นเคย พร้อมกับแบกกระสอบเล็กๆไว้ด้านหลัง ในมือยังมีกระบี่ไม้ยาว ทำให้ดูทะมัดทะแมงเคร่งขรึมน่าเชื่อถือยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบตัวหลิงหยุนกลับไปกันหมดแล้วเขาจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น และโวยวายทันที
“เหตุใดเจ้าออกมาช้านักปล่อยให้ข้ารออยู่ที่นี่ตั้งนาน!”
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ“นี่เพิ่งจะห้าทุ่มครึ่ง.. อีกตั้งครึ่งชั่วโมงถึงจะเที่ยงคืนไม่ใช่รึ”
คืนวันที่14 กรกฏาคมนั้นนับเป็นคืนที่จะมีหยินรุนแรงที่สุดในรอบปี เพราะเป็นคืนที่ประตูนรกจะเปิดออก และเหล่าภูติผีวิญญาณก็จะพากันออกมายังโลกมนุษย์นั่นเอง
แต่โม่วู๋เตาก็ยังคงบ่นไม่หยุด“คืนนี้พวกเราต้องไปกันตั้งหลายที่ เจ้ายังไม่รีบไปหารถอีกรึ”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปทันที“เจ้าอย่าได้ร้อนใจนัก ข้าได้สั่งแวมไพร์สองตนให้บินพาพวกเราไปแล้ว เดี๋ยวเดียวก็ถึง!”
โม่วู๋เตาร้องโวยวายออกมาทันที“เจ้าบินอยู่บนท้องฟ้าเช่นนั้น จะให้หลิวเทวะวิญญาณดูดซับพลังหยินบนผืนโลกได้อย่างไรกันเล่า”
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงยกมือขึ้นชี้ไปทางรถที่จอดอยู่ด้านนอกพร้อมกับร้องตะโกนบอกว่า
“ใช้รถคันนั้นก็แล้วกัน!”
โม่วู๋เตารีบวิ่งตรงไปที่รถทันทีพร้อมกับเร่งเร้าหลิงหยุนไปด้วย“เร็วๆเข้า!”
หลังจากที่ขึ้นไปบนรถแล้วหลิงหยุนจึงหันไปถามโม่วู๋เตา “พวกเราจะไปที่ใหนก่อนดีล่ะ”
“เจ้าส่งแผนที่มาให้ข้าข้าจะได้สำรวจดู..”
หลิงหยุนกรอกตาไปมาพร้อมกับดุโม่วู๋เตา“อะไรกัน นี่เจ้ายังไม่ได้เตรียมหาสถานที่ไว้ก่อนรึ?”
โม่วู๋เตาตอบกลับด้วยความโมโห“ข้าเพิ่งจะเคยมาปักกิ่งครั้งแรก จะรู้ว่าที่ใหนเป็นที่ใหนได้อย่างไรกันเล่า เจ้าอย่าโง่ไปหน่อยเลย..”
หลิงหยุนจึงเรียกแผนที่ที่ใช้ในการตามหาหลิงเสี่ยวครั้งนั้นออกมาส่งให้โม่วู๋เตาระหว่างที่โม่วู๋เตากำลังจ้องมองสถานที่ต่างๆบนแผนที่นั้น เขาก็ร้องตะโกนออกมาว่า
“ที่นี่..เป้าหมายแรกของพวกเรา!”
หลิงหยุนจ้องมองสถานที่ที่โม่วู๋เตาจิ้มบนแผนที่แล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาเพราะมันก็คือมหาวิทยาลัยหยานจิงนั่นเอง!
โม่วู๋เตาเห็นหลิงหยุนยิ้มออกมาเช่นนั้นจึงได้แต่ร้องถามว่า“นี่เจ้ายิ้มทำไมกัน”
หลิงหยุนจึงตอบกลับไปว่า“นักพรตน้อย.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าอีกสามอาทิตย์ข้าก็ต้องไปรายงานตัวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว!”
โม่วู๋เตาทำตาโตพร้อมกับร้องอุทานออกมาอยา่งตกใจ“ห๊ะ! คนอย่างเจ้านี่นะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงได้ ?”
หลิงหยุนขับรถไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดังก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. คนอย่างข้านี่ล่ะ!”
โม่วู๋เตาถึงกับพูดไม่ออกและถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลิงหยุน.. นี่เจ้าจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจริงๆอย่างนั้นรึ” novel-lucky
หลิงหยุนส่ายหน้าทันที“ไม่แน่นอน.. ดังคำโบราณว่าไว้ ตำราหรือจะสู้ลงมือ ข้าไม่มีเวลามากมายถึงเพียงน้้น!”
หลิงหยุนพูดไม่ผิดนัก..เขาไม่มีเวลามากพอที่จะไปนั่งเรียนในห้องเรียนเช่นนั้น!
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่15 กรกฏาคม และอีกเพียงแค่หนึ่งเดือน ก็จะถึงวันจัดงานชุมนุมชาวยุทธบนเขาหลงหู่..
หลิงหยุนคาดหวังว่าในวันชุมนุมชาวยุทธนั้นเขาจะได้พบกับเฉิงเม่ยเฟิง และในวันนั้นเขาจะจัดการสังหารเหล่าแม่ชีของสำนักจิ้งซินเพื่อนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับมา..
และหลังจากที่ช่วยเฉิงเม่ยเฟิงแล้วหลิงหยุนก็จะรีบไปช่วยนางฉินจิวยื่อที่สำนักกระบี่เทวะ
หลิงหยุนเคยรับปากเหมี่ยวเสี่ยวเหมาว่าจะกลับไปเผ่าเหมี่ยวเจียงกับนางช่วยนางแก้ไขปัญหากระหว่างท่านหมอเสี่ยวกับเหมี่ยวเฟิงฮวงที่ยืดเยื้อมานานหลายปี
นอกจากนั้นแล้วหลิงหยุนยังได้วางแผนไว้ว่า ในครึ่งปีหลังนั้นเขาจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำเอาฝาหม้อเสินหนงกลับคืนมา
แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้นหลิงหยุนเฝ้าฝึกฝนอย่างหนักทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ เหตุใดเขายังจะต้องเสียเวลาไปนั่งเรียนในมหาวิทยาลัยอีกเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น..ด้วยจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังของหลิงหยุนเวลานี้ เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เขาก็สามารถเรียนจนหลักสูตรในเทอมแรกของมหาวิทยาลัยได้แล้ว!
โม่วู๋เตาได้แต่เหน็บแนม“ในเมื่อเจ้าคิดว่าจะไม่ไปเรียนอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องไปรายงานตัวอีกเล่า หรือเจ้าอยากจะไปมีเรื่องชกต่อยกับคนธรรมดา?”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มกับคำพูดประชดประชันของโม่วู๋เตาและตอบกลับไปว่า “ข้าก็แค่ทำตามความต้องการของท่านแม่เท่านั้น!”
และแม่ที่หลิงหยุนพูดถึงในเวลานี้ก็คือนางฉินจิวยื่อนั่นเอง..
หลังจากที่หลิงหยุนตอบคำถามของโม่วู๋เตาแล้วเขาก็เริ่มถามกลับบ้าง “เหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะไปที่นี่เป็นแห่งแรก”
ความจริงแล้วหลิงหยุนนึกถึงสถานที่ที่มีหยินรุนแรงได้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นที่สุสาน เมรุเผาศพ แดนประหาร โรงพยาบาล บ้านร้าง หรือสถานที่รกร้างอื่นๆอีกมากมาย และหลิงหยุนเองก็คิดว่าโม่วู๋เตาน่าจะพาเขาไปยังสถานที่เหล่านี้ แต่โม่วู๋เตากลับพาเขามหาวิทยาลัยหยานจิง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขามาก..
แต่เหตุผลของโม่วู๋เตากลับไม่มีอะไรมาก“เพราะที่นี่ใกล้ที่สุดยังไงล่ะ!”
หลิงหยุนเหลือบมองโม่วู๋เตาที่กำลังยิ้มอย่างมีเลศนัยจากนั้นโม่วู๋เตาจึงพูดต่อว่า “ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเจดีย์โบราณอายุนับร้อยๆปีเลยทีเดียว ข้าจึงอยากเข้าไปสำรวจดู..”
ความจริงแล้วเจดีย์เหล่านี้น่าจะถูกสร้างขึ้นตามวัดวาอารามต่างๆและส่วนใหญ่เจดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ในการกักขังวิญญาณชั่วร้าย และโมวู๋เตาก็สังหรณ์ใจว่าเจดีย์ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหยางจิงนั้นน่าจะมีทางเข้าออกอยู่ด้วย..
ก่อนหน้านี้ทั้งหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาตั้งใจไว้ว่าจะมาสำรวจสุสานใต้ราชวังที่อยู่ในปักกิ่งเพียงแต่ทั้งคู่นั้น คนหนึ่งก็ยุ่ง ส่วนอีกคนก็เห็นว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม!
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้พร้อมกับถามขึ้นอย่างสงสัย“แต่นี่ยังไม่ดึกมาก พวกเราจะเริ่มเข้าไปสำรวจกันเลยงั้นรึ”
โม่วู๋เตาเข้าใจดีว่าหลิงหยุนหมายความเช่นไรเขาจึงตอบกลับไปว่า “พวกเราจะยังไม่เข้าไปสำรวจในเจดีย์โบราณทันที พวกเราเข้าไปสังเกตการณ์รอบๆมหาวิทยาลัยหยางจินเสียก่อน ที่นั่นเป็นสถานที่ที่หยินรุนแรงมาก พวกเราจะได้ทดสอบหลิวเทวะวิญญาณนี้ไปด้วยยังไงเล่า!”
สาเหตุที่พลังหยินในสถานที่ศึกษามักจะรุนแรงนั้นก็เพราะสถานที่ศึกษาส่วนใหญ่มักจะสร้างอยู่บนที่ที่เคยเป็นสุสานมาก่อน นั่นเพราะผู้ที่ยังอยู่ในวัยเรียนนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มคนสาวที่มีหยางแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีคำโบราณว่าไว้.. หนุ่มสาวเกิดมาเพื่อคร่าภูติผีวิญญาณชั่วร้าย!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปลองกันเลย!”
ระหว่างทางโม่วู๋เตาก็สังเกตเห็นผู้คนกำลังเผากระดาษเงินกระดาษทองจึงรีบร้องบอกหลิงหยุน
“นี่..เจ้ารีบนำหลิวเทวะวิญญาณออกมาได้แล้ว ตลอดทางที่เราผ่านไปนั้นหยินค่อนข้างรุนแรงมาก!”
และเมื่อมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองก็ย่อมมีทั้งวิญญาณที่มารอรับ และวิญญาณที่มาขโมย..
หลิงหยุนรีบเรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมาทันที..และยกมือขึ้นชี้ไปตรงหน้าโม่วู๋เตาพร้อมกับร้องบอก..
“นั่นไง..เจ้าเห็นหรือไม่”
โม่วู๋เตานั้นต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเขาสามารถเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ และหลังจากที่ได้ฝึกวิชากับอาจารย์ของเขามานานหลายปี โม่วู๋เตาก็ถึงขั้นที่สามารถมองเห็นลำแสงสีต่างๆ ได้ด้วย..
และลำแสงที่มีสีแตกต่างกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังหยินนั่นเอง..
“นี่..เจ้า.. เจ้าเห็นแสงเหล่านั้นด้วยงั้นรึ”
“หรือว่าเจ้าใช้น้ำตาวัวดำทาตาไว้จึงได้มองเห็น”
ตามความเชื่อของชาวจีนนั้น..หากผู้ใดนำน้ำตาของวัวที่มีสีดำทั้งตามาทาที่เปลือกตาของตนเอง จะทำให้คนผู้นั้นสามารถมองเห็นภูติผีวิญญาณได้
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ไม่จำเป็น.. ข้าเห็นด้วยดวงตาของข้าเอง แล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนด้วย!”
หลิงหยุนมีเนตรหยิน–หยางมีหรือที่จะไม่เห็นภูติผีวิญญาณเหล่านี้!
เนตรหยิน–หยางของหลิงหยุนนั้นไม่เพียงแค่สามารถมองทะลุสิ่งกีดขวาง แต่ยังสามารถมองเห็นพลังงานลี้ลับต่างๆ ที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับผืนโลกได้อีกด้วย
หลิงหยุนไม่สนใจโมวู๋เตาที่กำลังตกตะลึงเขาใช้เนตรหยิน–หยางจ้องมองลำแสงสีต่างๆรอบด้านที่เริ่มพุ่งเข้ามาในรถอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆถูกหลิวเทวะวิญญาณดูดเข้าไป!
ทันทีที่พลังหยินเหล่านั้นพุ่งเข้ามา..อุณหภูมิภายในรถก็ลดลงทันที และเริ่มรู้สึกเย็นยะเยือก มันไม่ใช่ความเย็นที่สัมผัสได้ในหน้าหนาว แต่เป็นความเย็นที่น่าสยดสยอง และทำให้คนธรรมดาสามารถขนลุกขนชัน หรือขนหัวลุกได้ในทันที!
“หลิวต้นนี้ดูดเอาพลังหยินเข้าไปจริงๆด้วย!”หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตกใจ!
แต่โม่วู๋เตานั้นตื่นเต้นยิ่งกว่าหลิงหยุนเขาร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ใช่แล้ว.. นี่ต้องเป็นหลิวเทวะวิญญาณอย่างแน่นอน! เจ้าดูสิ.. พลังหยินมากมายถูกมันดูดเข้าไปแล้ว!”
หลังจากนิ่งไปเล็กน้อย..โม่วู๋เตาก็ร้องออกมาอย่างเสียดาย “เฮ้อ.. น่าเสียดายจัง! นี่ถ้าพวกเราอยู่ที่เขาเป่ยเหมิง หรือที่ฉางผิงแล้วล่ะก็ เจ้าจะได้ประโยชน์มหาศาลกว่านี้มากนัก!”
“ทำไมรึที่เขาเป่ยเหมิงกับฉางผิงมีอะไรงั้นรึ?”
โม่วู๋เตายิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าไม่รู้อะไร.. ท่านอาจารย์บอกข้าว่าเขาเป่ยเหมิงนั้นเรียกอีกชื่อว่าเขาวิญญาณ ที่นั่นจะมีพลังหยินห่อหุ้มอยู่ตลอดทั้งปี ว่ากันว่าที่นั่นมีภูติผีวิญญาณอยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่อาจารย์ของข้ายังไม่กล้าที่เข้าไปในเขาเป่ยเหมิงเลย..”
“เจ้าไม่เคยได้ยินสงครามฉางผิงงั้นรึสงครามฉางผิงเป็นสงครามระหว่างแค้วนฉินกับแค้วนจ้าว ในสงครามครั้งนั้นมีเหล่าทหารล้มตายมากมาย ว่ากันว่าที่นั่นมีหลุมศพนับล้านหลุมเลยทีเดียว! พลังหยินจึงนับว่ารุนแรงยิ่งนัก!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับหันมาถามโม่วู๋เตาด้วยความสนอกสนใจ“จริงรึ”
โม่วู๋เตามองหลิงหยุนอย่างสงสัยพร้อมกับถามออกมา“นี่เจ้าไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์มาเลยงั้นรึ”
หลิงหยุนไม่สนใจคำประชดประชันของโม่วู๋เตาเขาร้องออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย “ไว้วันหน้าพวกเราไปสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ด้วยกัน!”
“ข้าไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว!”
มหาวิทยาลัยหยานจิงอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลหลิงมากนักไม่นานรถของทั้งคู่ก็มาจอดอยู่ที่ข้างกำแพงของมหาวิทยาลัย..
“ดูท่าภายในนั้นจะมีพลังหยินรุนแรงกว่าด้านนอกหลายเท่านัก!
หลิงหยุนลงจากรถและจ้องมองเข้าไปด้านใน เขาพบเห็นลำแสงมากมายหนาแน่นอยู่เต็มไปหมด และมันก็กำลังถูกหลิวเทวะวิญญาณดูดเข้าไป..
หลิงหยุนถือหลิวเทวะวิญญาณไว้ในมือและหลังจากที่จัดการล็อคประตูรถเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน
“เข้าไปข้างในกันดีกว่า!”
จากนั้นทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปด้านในของมหาวิทยาลัยหยานจิงทันที..