ทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในมหาวิทยาลัยหยานจิงทั้งคู่เดินตรงไปยังบริเวณที่เป็นป่าไม้หนาทึบ และกิ่งไม้ใบไม้ด้านบนก็ช่วยบดบังแสงจันทร์จากท้องฟ้าได้ในระดับหนึ่ง แสงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาได้จึงค่อนข้างเบาบางมาก..
ท่ามกลางความมืดสลัวในป่าที่เงียบสงัดเช่นนี้..กิ่งไม้ใบไม้ที่กำลังโบกสะบัดนั้น ได้ทำให้เกิดเป็นเงาเคลื่อนไหวไปมาอยู่ด้านล่าง และในคืนวันเชงเม้งเช่นนี้ จึงสามารถสร้างความน่ากลัวจนขนหัวลุกให้กับผู้ที่พบเห็นได้ไม่น้อย..
ภายในป่าทึบที่เงียบสงัดเสียงลมพัดดังหวีดหวิวไม่หยุด ฟังราวกับเสียงกรีดร้องของเหล่าภูติผีวิญญาณ..
พลังหยินภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้รุนแรงกว่าด้านนอกหลายเท่านักพลังหยินสีเขียว สีดำต่างก็หมุนเป็นวงกลมคล้ายกระแสพายุหมุน ก่อนจะถูกดูดเข้าไปในหลิวเทวะวิญญาณที่หลิงหยุนถืออยู่..
ภาพที่หลิงหยุนเห็นนั้น..หากเปลี่ยนเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมาพบเข้า คงจะต้องหวาดกลัวถึงขั้นผมตั้ง และปัสสาวะราดแน่ แต่หลิงหยุนกับโม่วู๋เตานั้นยังคงมีท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก..
ทันทีที่เท้าของหลิงหยุนสัมผัสกับพื้นดินสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่หลิวเทวะวิญญาณในมือ เวลานี้กิ่งและใบของหลิวเทวะวิญญาณกำลังโบกสะบัดไปมาเบาๆ คล้ายคนกำลังส่ายศรีษะไปมาด้วยความสนุกสนาน และกำลังชื่นชอบกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่
และมันก็กำลังดูดเอาพลังหยินที่อยู่โดยรอบเข้าไปอย่างต่อเนื่อง!
หลิงหยุนกำลังมองหลิวเทวะวิญญาณในขณะที่โม่วู๋เตาก็กำลังจ้องมองหลิงหยุนอีกที แววตาของโม่วู๋เตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และปิติยินดี!
–นี่เจ้าตื่นเต้นที่เห็นวิญญาณงั้นรึ-
หลิงหยุนหยุดจ้องมองหลิวเทวะวิญญาณและหันไปมองสีหน้าที่ตื่นเต้นของโม่วู๋เตาแทน แล้วก็ได้แต่ยิ้มและเอ่ยถามออกไป..
ทันทีที่เข้ามาภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งคู่ก็สนทนากันผ่านกระแสจิตตลอด ไม่เช่นนั้นหากมีผู้คนผ่านไปผ่านมา และได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาเข้า ก็อาจต้องตกใจจนสติแตกได้..
–หึ..นี่เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าตื่นเต้นเพราะเห็นวิญญาณงั้นรึ-
โม่วู๋เตาจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาตื่นเต้นราวกับพบเห็นปีศาจในขณะที่คิ้วทั้งสองข้างยังคงขมวดเข้าหากันแน่น..
เพราะตลอดทางจากบ้านตระกูลหลิงจนกระทั่งมาถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้โม่วู๋เตาเพียงแค่พบเห็นพลังหยิน แต่กลับไม่พบสหายที่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่นึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ
ในคืนวันที่14 กรกฏาคมนั้น จะเป็นคืนที่เหล่าภูติผีวิญญาณพากันออกมาเดินให้ขวักไขว่ไปหมด แต่ตลอดทางที่ทั้งคู่ผ่านมานั้น โม่วู๋เตากลับไม่พบเห็นวิญญาณชั่วร้ายล่องลอยให้เห็นเลยแม้แต่น้อย..
‘หรือเหล่าวิญญาณนับร้อยๆนั้นได้กลับไปแล้วงั้นรึ’
ร่างกายของหลิงหยุนนั้นมีความพิเศษกว่าร่างกายของคนธรรมดาทั่วไปอีกทั้งพลังปราณในร่างก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เช่นนี้แล้วมีหรือที่วิญญาณชั่วร้ายจะกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ มีแต่จะหนีให้ห่างหลิงหยุนมากที่สุดต่างหากเล่า..
–เจ้ามีกายศักดิ์สิทธิ์แต่ข้าก็มีไฟบริสุทธิ์อยู่ในร่างเช่นกัน! เหล่าวิญญาณชั่วร้ายย่อมไม่กล้าเข้าใกล้อยู่แล้ว!-
หลิงหยุนนั้นคาดเดาได้ว่าโม่วู๋เตากำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงอธิบายให้โม่วู๋เตาฟังโดยที่ไม่ต้องรอให้เอ่ยถาม..
และหลิงหยุนก็ไม่ได้โกหกโม่วู๋เตา..เวลานี้เขาอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-2) ภายในร่างกายจึงเริ่มเปรียบเสมือนเตาหลอมดีๆนี่เอง และมีไฟบริสุทธิ์ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา
ไฟบริสุทธิ์เหล่านี้ได้หลอมอวัยวะภายในของหลิงหยุนให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นและขจัดสิ่งสกปรกที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายออกไป ร่างกายของหลิงหยุนนั้นนับวันจึงยิ่งบริสุทธิ์ และแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
และเวลานี้อวัยวะภายในหลักทั้งห้าของหลิงหยุนไม่ว่าจะเป็นตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต ก็ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับธาตุทั้งห้าอันได้แก่ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดิน..
ผู้บ่มเพาะตนที่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะมาจนถึงขั้นนี้ได้นั้นจะมีไฟบริสุทธิ์เกิดขึ้นภายในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ผู้ที่บ่มเพาะตนมาจนถึงขั้นนี้จึงมีพลังงานความร้อนเพียงพอที่จะสามารถกลั่นโอสถ หรือวัตถุต่างๆได้..
หากไม่มีร่างกายเช่นนี้..ก็คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการกลั่นโอสถ หรือสร้างวัตถุต่างๆ ให้เสียเวลา..
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัด..ไฟบริสุทธิ์ของหลิงหยุนนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกับเหยาตัน (แก่นปีศาจ) ในตัวของไป๋เซียนเอ๋อนั่นเอง แตกต่างกันที่วิธีการ และวิชาที่ฝึกฝนเท่านั้น..
และไฟบริสุทธิ์ในร่างของหลิงหยุนนั้นก็ไร้รูปและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นเพียงแค่ชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น ไม่ใช่เปลวไฟอย่างที่เราเห็นๆกันทั่วไป..
อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยต่อให้มีเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถส่องขยายได้หลายล้านเท่า ก็ยากที่จะมองเห็นไฟบริสุทธิ์ที่ว่านี้ได้ ไอลีนโนเวล
ไฟบริสุทธิ์ที่ผู้บ่มเพาะตนฝึกมาถึงขั้นนี้ได้แล้วนั้นเจ้าตัวก็จะสามารถควบคุม และบังคับมันได้ด้วยเช่นกัน!
เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนฝึกฝนจนสามารถครอบครองไฟบริสุทธิ์นี้ได้โม่วู๋เตาก็ถึงกับมีสีหน้าตกใจ และตกตะลึง เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยกนิ้วโป้งชูให้หลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม
–เจ้านี้สุดยอดมากจริงๆ!-
ด้วยเหตุนี้..เมื่อภูติผีวิญญาณ หรือปีศาจธรรมดาๆทั่วไปพบเห็นหลิงหยุนเข้า พวกมันจึงไม่กล้าที่จะกล้ำกรายเข้าใกล้ และมีแต่จะหลบหนีไปให้ไกลเสียมากกว่า
หลังจากที่ได้เห็นโม่วู๋เตาเอ่ยชื่นชมตนเองด้วยความจริงใจเช่นนั้นหลิงหยุนจึงพูดออกมาว่า “เจ้าค่อยๆเรียนรู้ข้าไปเรื่อยๆ!”
ในระหว่างนั้น..หลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณมหาวิทยาลัยหยานจิง และภาพเจดีย์เก่าแก่นับร้อยๆปีก็ได้ปรากฏขึ้นในรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขา..
ทันทีที่เห็น..หลิงหยุนถึงกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “โอ้โห.. พลังน่าเกรงขามมากทีเดียว!”
ภายใต้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้น..เขาเห็นลำแสงสีเขียวมากมายจากทั่วทุกหนทุกแห่งภายในมหาวิทยาลัย พุ่งจากพื้นดินขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเส้นตรงคล้ายกับเสามากมาย บ้างก็ยาว บ้างก็สั้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเส้นตรง ไม่มีคดงอเลยแม้แต่น้อย!
‘ภายในมหาวิทยาลัยหยานจิงมีอะไรที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยรึ’
หลิงหยุนได้แต่ตื่นเต้นดีใจอย่างมากและคิดว่าภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย
หลังจากที่หายตื่นเต้นดีใจแล้วหลิงหยุนก็เริ่มสำรวจเจดีย์เก่าแก่นับร้อยปีที่ปรากฏในจิตหยั่งรู้ต่อ..
เจดีย์เก่าแก่นี้มีสีเขียวและสีดำแม้จะเป็นเจดีย์ที่มีถึงสิบสามชั้น แต่กลับมีความสูงเพียงแค่สี่สิบเมตรเท่านั้น หากมองจากมุมที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้น จะพบว่าเจดีย์นี้ถูกล้อมรอบไว้ด้วยป่าหนาทึบอีกชั้น ทำให้ภายในยิ่งดูเงียบสงัด และลึกลับมากขึ้น..
–ไม่ว่าเจดีย์นี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลอันใดก็ตามแต่ที่แน่ๆ มันต้องกำลังสะกดบางสิ่งบางอย่างไว้แน่นอน!-
หลิงหยุนยืนยันกับโม่วู๋เตาเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่รุนแรงกว่าบริเวณอื่นๆ หลายเท่านัก!
–ไปสำรวจกันดีกว่า!-
หลังจากที่หลิงหยุนอยู่ที่นี่และปล่อยให้หลิวเทวะวิญญาณดูดเอาพลังหยินเข้าไปมากพอแล้ว เขาก็ชวนโม่วู๋เตาไปที่เจดีย์เก่าแก่ต่อ..
โม่วู๋เตาพยักหน้าอย่างมีความสุขแล้วทั้งสองคนก็รีบใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปในป่าทึบทันที และเพียงไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงที่ตั้งของเจดีย์โบราณ..
–ที่นี่พลังหยินรุนแรงมากจริงๆด้วย!-
ทันทีที่เข้าใกล้บริเวณที่ตั้งของเจดีย์โบราณโม่วู๋เตาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากป่าทึบ และเป็นความเย็นที่สามารถทำให้ผู้คนต้องขนหัวลุกได้อย่างแน่นอน!
หลิงหยุนยังคงถือหลิวเทวะไว้ในมือและเขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เวลานี้หลิวเทวะกำลังโบกสะบัดไปมา และดูดเอาพลังหยินรอบๆตัวเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง!
จากนั้น..หลิวเทวะก็เริ่มเปลี่ยนแปลง แม้จะไม่ได้ดื่มเลือดคนตระกูลหลิง และไม่ได้รับปราณเสวียนหวง แต่ลำต้นของมันก็เริ่มสูงขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เริ่มมีกิ่งก้านแตกออกมาอย่างช้าๆ และใบของหลิงเทวะก็กลายเป็นสีเขียวสดใสมีชีวิตชีวายิ่งนัก!
หนำซ้ำยังมีรากงอกออกมาด้วย..
และเมื่อมาถึงตอนนี้..หลิงหยุนก็มั่นใจแล้วว่ามรดกตกทอดของตระกูลหลิงนั้น แท้จริงก็คือหลิวเทวะวิญญาณที่โม่วู๋เตาบอกอย่างแน่นอน!
แต่เพราะหลิงหยุนเคยเห็นหลิวเทวะวิญญาณเปลี่ยนแปลงเมื่อครั้งที่อยู่ในห้องบรรพชนตระกูลหลิงแล้วเขาจึงไม่ได้ตื่นเต้นตกใจ แต่กำลังสนอกสนใจกับเจดีย์โบราณอายุนับร้อยๆปีนั่นมากกว่า..
เจดีย์โบราณแห่งนี้ดูช่างน่าหวาดกลัวและขนหัวลุกยิ่งนัก เพราะภายในไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย แต่กลับมีหยินที่รุนแรงมาก!
หลิงหยุนกำลังนึกถึงดวงตาหยางของค่ายกลมังกรหยิน–หยางซึ่งเขาค้นพบที่ก้นหลุมยักษ์ในเมืองจิงฉู..
หลิงหยุนยืนจ้องมองเจดีย์โบราณแห่งนี้ด้วยความสงบนิ่ง..เขาสัมผัสได้ว่าพลังหยินที่พวยพุ่งออกมานั้น เป็นพลังที่ดุร้าย!
และหลิงหยุนก็คุ้นเคยกับพลังที่ดุร้ายเช่นนี้ยิ่งนักเพราะเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น หลิงหยุนเคยสังหารสัตว์อสูรที่ดุร้ายมามากมาย และพวกมันก็ล้วนแล้วแต่มีไอพลังที่ดุร้ายรุนแรงเช่นนี้..
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจลงไปที่พื้นด้านล่างของเจดีย์โบราณแต่จิตหยั่งรู้ของเขาก็สามารถเจาะลึกลงไปในพื้นดินได้เพียงแค่สองหรือสามเมตรเท่านั้น จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าด้านล่างเจดีย์โบราณนี้ ได้สะกดปีศาจ หรือว่าสัตว์อสูรไว้กันแน่
–นี่หลิงหยุน..เจ้ายืนนิ่งเฉยทำไมกัน เหตุใดจึงไม่เข้าไปสำรวจด้านในเล่า?-
โม่วู๋เตาจ้องมองเจดีย์โบราณพร้อมกับร้องถามออกมาด้วยความกระตือรือร้นที่จะเข้าไปสำรวจด้านใน..
–เจ้านักพรตทึ่ม!นี่เจ้าไม่เห็นรึว่ามีค่ายกลอยู่-
หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางโซ่เส้นใหญ่ซึ่งถูกวางล้อมรอบฐานเจดีย์ไว้..และที่หน้าประตูทางเข้าก็ยังมีหุ่นขุนพลตั้งอยู่..
โม่วู๋เตาหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามออกไปด้วยความสงสัย–ค่ายกลเหล่านี้น่าจะมีไว้ป้องกันคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น หรือแม้แต่เจ้าก็ยังเข้าไปไม่ได้งั้นรึ-
แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้า–ไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา!-
หลิงหยุนเป็นถึงปรมาจารย์แห่งค่ายกลมีหรือที่สำรวจเจดีย์โบราณอยู่นานสองนาน จะไม่สามารถรู้ได้ว่าภายในเจดีย์แห่งนี้ได้มีการวางค่ายกลที่ซับซ้อนไว้ และจุดตรงกลางของเจดีย์นั้นก็คือดวงตาค่ายกล!
–งั้นรึ!มันคือค่ายกลอะไรกัน?-
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปด้านหน้าพร้อมกับอธิบายว่า
–หากข้าเดาไม่ผิด..น่าจะเป็นค่ายกลดักมังกร!-
–แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดของค่ายกล..เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่ายกลขนาดใหญ่เท่านั้น!-
คิ้วของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่นในระหว่างที่ค่อยๆอธิบายให้กับโม่วู๋เตาฟัง เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเข้าทั้งคู่เวลานี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่ายกลที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น!
โม่วู๋เตาจ้องหน้าหลิงหยุนด้วยแววตาตกตะลึงก่อนจะถามออกไปว่า
–ค่ายกลดักมังกรงั้นรึเช่นนี้ก็หมายความว่าด้านล่างเจดีย์มีมังกรอยู่น่ะสิ?-