บทที่ 178 ขยับขยาย
ป้อมถ่าลา
ในฐานะที่เป็นเมืองค้าขาย ป้อมถ่าลาจึงอุดมไปด้วยทรัพยากร การผลิตดอกดาราเงินจำนวนมากทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองผลิตทรัพยากรที่หาได้ยากในเขตคนเถื่อน ดอกดาราเงินที่ผลิตขึ้นมาจำนวนมากจะถูกส่งออกไปทั่วใต้หล้า ไปถึงแดนมนุษย์ แดนเผ่าวิญญาณ และที่อื่น ๆ ซึ่งเมื่อแลกกันแล้วก็จะได้รับทรัพยากรจากแดนอื่น ๆ มาเช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ จึงเป็นทั้งความขัดแย้งและการค้า
ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองนอกกองทัพที่สำคัญและไม่มีแนวป้องกันให้พูดถึงมากนัก แต่มันก็ถูกล้อมรอบด้วยกองทหารรักษาการณ์ที่ทรงพลังและป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ซึ่งก็มีเมืองเหล็กกล้าของชนเผ่าเพลิง เมืองยึดแสงของชนเผ่าหมาป่าเงิน และเมืองลมโชยของชนเผ่าวารีดำ
เมืองยุทธศาสตร์เหล่านี้เฝ้าติดตามและป้องกันซึ่งกันและกัน ทำให้ป้อมถ่าลาเมินเรื่องราวอื่น ๆ ไปได้เป็นส่วนใหญ่ อาศัยการขาดความสงบสุขระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ และการผลิตทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์เพื่อเงินตราอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ คนเถื่อนที่อาศัยในป้อมถ่าลาจึงเป็นพวกที่มีความสุขที่สุด มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุดในแดน ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา กระทั่งคนที่ยากจนที่สุดในป้อมถ่าลายังมีรถม้าหรูเป็นของตนเอง คนเถื่อนที่นั่นส่วนมากไม่ทำงานด้วยซ้ำ เอาแต่ขี้เกียจไปวัน ๆ บ้างก็นอนอาบแดด งานส่วนมากเป็นคนเถื่อนจากเผ่าอื่นจัดการ อย่างน้อยก็มีแปดในสิบส่วนของคนที่อาศัยอยู่ ซึ่งมาอยู่ที่นี่เพื่อทำงาน ที่เหลืออีกสองส่วนคือคนพื้นเมือง มีความสุขอุราจากเงินตราที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของคนอื่น
แน่นอนว่าสถานการณ์นี้ขึ้นอยู่กับยุคแห่งความสงบในปัจจุบัน
เมื่อใต้หล้าไม่สงบสุขอีกต่อไป ป้อมถ่าลาก็จะไม่เป็นที่ที่น่าอยู่อีกต่อไป
ในช่วงเดือนแรกของขบวนสัตว์อสูร ป้อมถ่าลาตื่นตกใจไม่น้อย ความ ‘กล้าหาสิ่งใดสะเทือน’ ของเมืองเหล็กกล้า เมืองยึดแสง และเมืองลมโชย ต่างถูกขบวนสัตว์อสูรโค่นล้มลง ทหารจำนวนมากถูกบีบให้ล่าถอย
แม้พวกมันจะหยุดรุดหน้ามาด้วยเพราะชนเผ่าเพลิงกำลังเริ่มรวบรวมกองทัพและข่มขู่พวกมัน แต่คนที่อาศัยในป้อมถ่าลาก็ตกใจกลัวหนักเมื่อเห็นว่าพวกตนเปลี่ยนจากแนวหลังเป็นแนวหน้าอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เห็นอสูรวิ่งอาละวาดในระยะไกลจากกำแพงเมือง ทำให้คนเถื่อนที่อาศัยภายในป้อมราวกับราชาและละทิ้งความดุร้ายป่าเถื่อนไปหมดแล้วตกใจกลัวนัก บ้างถึงขนาดปัสสาวะรดตรงนั้นเลยก็มี
ถึงกระนั้นนั่นก็ไม่ใช่ส่วนที่เลวร้ายที่สุด
หลังจากนั้นก็เกิดการล้อมเมืองขึ้นอย่างรวดเร็ว
การโจมตีไม่ได้ริเริ่มโดยสัตว์อสูรแต่เป็นโดยมนุษย์
กองทัพกำลังสวรรค์อันน่าชังได้ตั้งค่ายไว้นานแล้ว เพื่อรอการมาถึงของขบวนสัตว์อสูร
เมื่อขบวนสัตว์อสูรกวาดล้างเมืองใหญ่ไปสาม ทำลายเกราะป้องหน้าของคนเถื่อน บีบให้ต้องล่าถอย กองทัพกำลังสวรรค์จึงฉวยโอกาสโจมตีแนวหลังที่อ่อนแอ ฆ่าสังหารมาจนถึงป้อมถ่าลาด้วยกำลังเต็มเปี่ยม
ป้อมถ่าลาถูกตีอยู่ครึ่งวันจึงแตก
หลังจากนั้นก็เกิดการฆ่าและปล้นสะดมอย่างป่าเถื่อน
ไร้ความเมตตาหรือความเห็นอกเห็นใจ กองทัพกำลังสวรรค์ชิงเอาทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเขาสามารถเก็บได้กลับไป
ป้อมถ่าลาซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ถูกปล้นชิงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทรัพยากรดั่งทะเลอันกว้างใหญ่ถูกชิงไปเช่นนั้น และกองทัพกำลังสวรรค์ยังมุ่งหน้าออกมาได้ทันที ทั้งยังเผาเมืองวอดไปกว่าครึ่ง เกิดเป็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น
มหันตภัยเช่นนี้ส่งผลต่อป้อมถ่าลารุนแรงนัก ทำให้คนเถื่อนที่นั่นยอมก้มหัวหลังจากถือตัวสูงเย่อหยิ่งมานาน
ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าภัยพิบัติของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น พายุที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำลังก่อตัวขึ้นบนขอบฟ้า
อสูรกายกลุ่มใหญ่ของกำลังรวมตัวกัน ห่างออกไปประมาณสิบลี้จากป้อมถ่าลา
ที่ใจกลางของฝูงสัตว์อสูรเป็นวังสีเลือดขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
พระราชวังลอยกลางอากาศนั้นมีจระเข้เกราะแปดตัวคอยพยุงอยู่นั่นเอง พวกมันสูงดั่งกูเขาเล็ก หางบิดดั่งลำตัวมังกร อากาศที่เย็นเยือกสีขาวพ่นออกมาจากปากยามหายใจ จระเข้เกราะเหล่านี้ หากเป็นแดนมนุษย์ก็กวาดล้างเมืองได้ทั้งเมือง แต่อยู่ที่นี่เป็นได้แค่อสูรหามเกี้ยวชั้นต่ำเท่านั้น
หมอกสีแดงสดหมุนวนอยู่รอบวังลอยได้สีเลือด บางครั้งก็ผันผวนไปด้วยพลังงานชั่วร้าย ปักษาปีกเหล็กเผลอบินเข้าไป ยังไม่ทันได้กรีดเสียงร้องจนจบ ร่างก็สลายกลายเป็นควันสีเลือดแล้ว
อสูรกายรอบปราสาทยิ่งกลัวมากขึ้น ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ปราสาทสีเลือดโดยไม่มีเหตุผล
ส่วนใหญ่วังจะเงียบสงบ อาจมีอสูรกายสองสามตัวเข้าออกบ้าง นำคำสั่งออกมาและสั่งฝูงสัตว์อสูรให้มุ่งหน้าต่อในทางใด
แต่วันนี้สถานการณ์แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
“กรรรร !!”
เสียงหอนสั่นสะเทือนเลือนลั่นดังก้องไปทั่วแดนรกร้างว่างเปล่า
“บัดซบ ! โอหังนัก !!!”
สิ้นเสียงคำราม ไอสังหารหนั่นแน่นก็แผ่ออกมาจากวังสีเลือด
ไอสังหารพลันจับต้องได้ กระจายตัวไปทั่วทุ่งหญ้า ไม่ว่าไปทางใด ก็จะเกิดเมฆสีเลือดขึ้นมา
แสงสีแดงเลือดเต็มท้องฟ้า ไอสังหารรุนแรงที่ก่อให้เกิดเมฆแดงเริ่มแผ่กระจาย กระทั่งคนเถื่อนที่ห่างออกไปร้อยลี้ยังสามารถสัมผัสถึงความเกรี้ยวกราดได้
เกิดอะไรขึ้น ?
คนเถื่อนทั้งหลายได้แต่มึนงงไม่เข้าใจ
หากแต่พริบตาต่อมา ภาพน่าผวาก็ปรากฏสู่สายตา
ฮูวววววว !
เสียงแตรแตรดังต่ำดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้ารกร้าง
สัญญาณสั่งโจมตีดังขึ้นอีกครั้ง มาพร้อมกับกลิ่นอายล่าสังหารไร้ที่สิ้นสุด
เป็นไปได้อย่างไร ?
จู่ ๆ ขบวนสัตว์อสูรจะขยายขนาดจนใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ?
ทหารคนเถื่อนเห็นแล้วตกใจกลัว
อสูรกายทั้งหลายพันตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง
ลืมเรื่องความเข้าใจตรงกัน ! ไม่ต้องหวังจะพัฒนาสิ่งที่สำเร็จไปแล้ว !
อย่างไรจะไม่มีการประนีประนอมอีก ! ไม่มีความเข้าใจตรงกัน ! มีแต่การโจมตีไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น !
พวกมันจะสู้ ล่า กลืนกิน และตายไปเสีย !
นี่คือความดุร้ายและความป่าเถื่อนที่ควรจะเป็นของสัตว์อสูรมาตั้งแต่ต้น
“กรรร !” สัตว์อสูรบนทุ่งหญ้าว่างเปล่าเริ่มหอนด้วยความตื่นเต้น ละทิ้งสิ้นซึ่งเหตุผล ใช้เพียงสัญชาตญาณดั้งเดิมเท่านั้น
พวกมันเริ่มออกวิ่ง
คนเถื่อนทั้งหลายมองสัตว์อสูรปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าทีละตัว กำลังรวมกันเป็นขบวนใหญ่แล้วพุ่งเข้ามา
กีบอสูรนับหมื่นกระแทกพื้น เกิดเป็นเสียงสะเทือนลั่นที่พื้นปฐพี แสงอาทิตย์ถูกสัตว์อสูรบินได้ปิดเสียงจนมืด
มีสัตว์อสูรทั่วฟ้าทั่วดิน
พวกมันมุ่งหน้ามาราวกับคลื่น นำพากำลังที่ไม่อาจต้านทานได้เข้ามา
“สวรรค์ !” ทหารคนเถื่อนอุทานขึ้นด้วยความสิ้นหวังเมื่อเห็นภาพเช่นนั้น
เช่นเดียวกับพวก ‘คนเถื่อน’ ในป้อมถ่าลาที่ยิ่งลนลานเมื่อเห็นขบวนสัตว์อสูรใกล้เข้ามา
ตู้ม !
พวกมันเข้าโอบล้อมป้อมถ่าลาภายในชั่วพริบตา
เมืองผลิตทรัพยากรที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ได้หายไปแล้ว… ภายใต้การบุกตะลุยอันดุร้ายบ้าคลั่งของเหล่าสัตว์อสูร
ภาพฉากคล้ายกันปรากฏทั่วแดนคนเถื่อน พวกที่ล่าถอยก็ต่างหาที่หลบภัยจากสัตว์อสูร ส่วนพวกที่ตั้งใจปกป้องเมืองและเข้าสู้กับขบวนสัตว์อสูร เดิมทีก็คิดว่าจะรอให้ขบวนสัตว์อสูรถอยไปเช่นแต่ก่อน แต่กลับพบว่าครั้งนี้คาดการณ์ผิดไป
ขบวนสัตว์อสูรขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว ความโกรธแค้นของใจสีเลือดจะล้างเลือดของเผ่าคนเถื่อนจำนวนมากเพื่อลบล้างสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไป
ในวันนั้น เมืองคนเถื่อน 13 เมืองถูกตีแตก คนเถื่อนนับไม่ถ้วนเสียชีวิต
วันนั้นจะถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ตลอดกาลว่าเป็นวันหายนะของเผ่าคนเถื่อน !!!