ภาคที่ 32 ป้ายคำสั่งจิตโลกา ตอนที่ 9 ยืมมีด

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 9 ยืมมีด โดย Ink Stone_Fantasy

 

“ล้มเหลวได้อย่างไรกัน ศิษย์พี่ ท่านยังไม่สามารถฆ่าตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งได้เลยหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยถามอย่างกระวนกระวาย ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ของเขาจะเป็นแนวที่เน้นไปทางร่างกาย มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน การรักษาชีวิตแกร่งกล้าจนล้นฟ้า แต่ฝีมือทางด้านการลอบสังหารก็อาจนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งขั้นสุดยอดแล้ว ยังจัดการขั้นอลวนคนเดียวมิได้อีกหรือ

ประมุขหอหมื่นโลกาส่ายหน้า “ฉื้อเหมย ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มีสมบัติลับสองชิ้นอยู่กับตัว บวกกับความล้ำเลิศด้านเขตลวง คิดจะลอบสังหารเขา เกรงว่าพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาก็ยังทำมิได้เลย ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเชี่ยวชาญการกลายเป็นอากาศธาตุและการต่อสู้ประชิดตัวมากกว่า ถ้าหากเจ้าสามารถสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ เชื่อว่าก็จะสามารถเข้าประชิดตัวลอบสังหารเขาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงได้แล้ว”

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยฟังแล้วเดือดดาลแต่ก็จนใจ

เท่าที่เขาดู ศิษย์พี่ของเขาช่างเป็นเศษสวะโดยแท้! ตอนแรกก็รู้จักเลือกวิธีการรักษาชีวิตที่แกร่งที่สุด รักษาชีวิตไปถึงระดับศิษย์พี่ของเขานั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็พอๆ กันกับท่านอาจารย์เลยทีเดียว อยากจะสังหารเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำได้

วิถีทางนี้ของพวกเขา… อันที่จริงแล้วการรักษาชีวิตเองก็ร้ายกาจอยู่แล้ว การรักษาชีวิตของเขา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็นับว่าอ่อนแอมากแล้ว แต่ถ้าหากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็จะสามารถไปถึงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้! อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาร่างแยกด้วย แต่สามารถแบ่งแยกร่างได้ถึงเก้าร่างแยก ถึงเวลานั้นที่ทำการลอบสังหาร เกรงว่าจะสามารถคุกคามเทพจักรวาลชั้นที่สองเหล่านั้นได้เลยทีเดียว ฝีมือก็สามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

แต่ร่างแยกทั้งเก้าและการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด เมื่อประจันหน้ากับ ‘การแตกสลายของอากาศอันสับสนอลหม่าน’ ก็ต้องตกต่ำลงไปอยู่ดี! แต่เขามีท่านอาจารย์ช่วยเหลือ ก็สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติในท้ายที่สุดนั้นได้

“ช่างเป็นตัวโง่งมคนหนึ่งโดยแท้ รู้จักแต่การรักษาชีวิตรอด พลังยุทธ์อ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นการแตกสลายของอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงเวลานั้นขอร้องท่านอาจารย์ก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเอ่ยพึมพำ

แต่ประมุขหอหมื่นโลกากลับตั้งใจแน่วแน่แล้ว…ว่าจะพึ่งตนเอง

ถึงแม้ว่าประมุขหอหมื่นโลกาจะเห็นแก่ตัวและเย็นชา แต่ก็มิได้ทะเยอทะยานเกินไปนัก

“ท่านกลัวตาย แต่ตอนนี้กลับทำลายเรื่องดีของข้าเสียได้” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกระวนกระวายใจอยู่บ้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ตาย เหล่าเทพจักรวาลจะมาขอร้องให้เขาเสาะหารังระดับเกราะทองได้อย่างไรกันเล่า

“ศิษย์พี่ ข้าอยากติดต่อกับท่านอาจารย์” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูด

“ติดต่อท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ” ประมุขหอหมื่นโลกาประหลาดใจ

“อืม” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพยักหน้า “จะปล่อยเจ้าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกมิได้แล้ว เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงตอนนั้นผู้ที่รู้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าวันไหนสักวันเขาก็จะสำรวจเคล็ดร่างแยกออกมาได้”

“เช่นนั้นเจ้าก็ติดต่อเสียเถิด” ประมุขหอหมื่นโลกาพูด ในใจของเขาเองก็เข้าใจความคิดอันแท้จริงของศิษย์น้องของตน กลัวว่าจะยังเป็นเพราะศิลาปฐมโลกาเหล่านั้น เขารู้ว่าศิษย์น้องมักใหญ่ใฝ่สูง มีความทะเยอทะยานที่แตกต่างกันกับเขา ศิษย์น้องจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพยักหน้า

พรึ่บ…

ศิษย์พี่รองมีวิธีติดต่อท่านอาจารย์ของพวกเขา แต่เผชิญหน้ากับท่านอาจารย์ จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ยังมีความหวั่นกลัวอยู่บ้าง

เพราะไม่เหมือนกันกับศิษย์พี่ ศิษย์พี่ไม่พึ่งพาท่านอาจารย์ ทั้งยังอิสระเสรี ส่วนเขานั้นต้องอาศัยท่านอาจารย์ในหลายๆ ด้าน ดังนั้นก็ย่อมต้องเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ให้มากหน่อย

“ฟิ้ว…”

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแพร่กระจายไปรอบๆ กฎเกณฑ์สูงสุดก็ร่นถอยไป

เงาร่างโปร่งแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นเงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนก เสียงก็ก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ “หมื่นโลกา ฉื้อเหมย พวกเจ้าสองคนเรียกหาข้าหรือ”

“ท่านอาจารย์ขอรับ”

ประมุขหอหมื่นโลกาทักทายอย่างเคารพเป็นอย่างยิ่ง คนที่ชี้แนะแนวทาง มีบุญคุณถ่ายทอดวิชา เขาก็ย่อมต้องเคารพท่านอาจารย์อยู่แล้ว

“ท่านอาจารย์ ในอากาศอันสับสนอลหม่านของพวกเรานี้ มีคนหนึ่งที่ชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิง เขาสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ เขาสำแดงเขตลวงไปทั่วสารทิศ ข้าสงสัยว่าเขาอาศัยเขตลวงตรวจพบวิธีการบำเพ็ญพื้นฐานจากศิษย์ของข้าและศิษย์ของศิษย์พี่หมื่นโลกา และหลังจากนั้น…” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเริ่มต้นพูดในทันที

หลังจากที่เงาร่างโปร่งแสงได้ฟังแล้วก็เอ่ยอย่างเรียบเรื่อยยิ่ง “จะฆ่าหรือ อยากฆ่าพวกเจ้าก็ฆ่าเสียเถิด! เรื่องนี้ไม่เห็นต้องเอามาถามข้าเลย”

“ศิษย์พี่เขาลอบสังหารล้มเหลว พวกเราก็หมดหนทางเป็นการชั่วคราว” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูด

“ข้าอยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ก็เผชิญกับความกดดัน ก็ไม่มีหนทางช่วยเหลือพวกเจ้าหรอก ถ้าหากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไปก่อนล่ะนะ” เงาร่างโปร่งแสงเอ่ยอย่างเย็นชา

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยลังเลสงสัย แต่ก็ไม่กล้ารบเร้าอะไรมากมายอีก

เขาเข้าใจนิสัยของท่านอาจารย์ของตนเป็นอย่างดี ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่รับปาก เช่นนั้นรบเร้าต่อไปก็อาจทำให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจเอาได้ เขาสามารถล่อหลอกท่านอาจารย์ให้มีความสุขได้ ก็ย่อมเข้าใจอุปนิสัยของท่านอาจารย์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

“ข้ากับศิษย์พี่จะไปคิดหาวิธีกันดูอีกครั้ง กราบลาท่านอาจารย์ขอรับ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยคารวะอย่างนบนอบในทันที สุดท้ายเขาก็ลากศิษย์พี่เข้ามาเกี่ยวด้วย หมายความว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของศิษย์พี่รอง

“กราบลาท่านอาจารย์” ประมุขหอหมื่นโลกาก็พูดขึ้นเช่นกัน เขาไม่แยแสที่ถูกศิษย์น้องใช้ประโยชน์ เขาผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

พลังยุทธ์แตกต่างกัน นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกัน

ประมุขหอหมื่นโลกาสามารถมองดูอากาศอันสับสนอลหม่านพินาศย่อยยับได้อย่างเฉยเมยจริงๆ ดังนั้นกับความคิดเล็กน้อยนั้นของศิษย์น้อง เขาก็แค่ยิ้มให้มันเท่านั้น

“บำเพ็ญให้ดีๆ เป็นเทพจักรวาลให้เร็วหน่อย” เงาร่างโปร่งแสงออกคำสั่งประโยคหนึ่งแล้วก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้เหลือเพียงแค่ประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเท่านั้น

“ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์เผชิญแรงกดดันอยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ ก็หมดหนทาง ข้าก็สังหารตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้” ประมุขหอหมื่นโลกาพูดจบแล้วก็หายตัวไปในทันที

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่บนความแห้งแล้งตามลำพัง สีหน้าอึมครึม

“หมดหนทางอย่างนั้นหรือ เผชิญกับแรงกดดันของอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างนั้นหรือ ตาเฒ่าเอ๋ย! ช่างใจแคบเหลือเกิน ก็แค่มอบสมบัติลับด้านห้วงอากาศที่ร้ายกาจให้สักชิ้นหนึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมิได้” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเดือดดาล เขาเข้าใจกระจ่างดีว่าท่านอาจารย์ของตนมีภูมิหลังอันล้ำลึกเพียงใด ถึงแม้จะเผชิญกับแรงกดดันของอากาศอันสับสนอลหม่าน หากคิดจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงจริงๆ ก็ย่อมต้องมีวิธีอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าเต็มใจที่จะลงทุนจ่ายหรือไม่เท่านั้นเอง

ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กขั้นอลวนคนหนึ่ง ท่านอาจารย์ของเขาจะคร้านที่จะลงทุนลงแรง อีกทั้งท่านอาจารย์ของเขายังหยิ่งยโสเกินไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเรียนรู้ได้จากจักรพรรดิเก้าเมฆา หรือว่าสิ่งที่วิธีการพื้นฐานวิวัฒน์ออกมา เขาก็ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น

เพราะว่าวิชาที่เขาสืบทอดสายนี้ทั้งกว้างขวางและลึกซึ้ง เขาก็ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้รับวิชาสืบทอดจะสามารถวิวัฒน์ออกมาได้มากน้อยสักเท่าใด! ถึงอย่างไรจักรพรรดิเก้าเมฆาที่ถึงแก่ความตายในตอนนั้นก็ยังไม่สามารถวิวัฒน์เคล็ดร่างแยกออกมาได้เลย! ต้องรู้ไว้ว่า ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาและเคล็ดร่างแยก… ล้วนเป็นเพียงแค่พื้นฐานของวิถีนี้ของเขาเท่านั้น

แม้กระทั่งจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ยังสำเร็จวิชาเคล็ดร่างแยก

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับการลอบสังหารแล้วก็ส่งตัวตรงกลับมายังวังทวีสูญ

ภายในวังทวีสูญ บรรพชนห้วงอากาศและบรรพชนทิพย์ ร่างแปรของพวกเขาทั้งสองคนต่างก็คอยตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่นี่ ตรวจตราชุดเกราะเกล็ดที่แม่ทัพโม่กู่ทิ้งเอาไว้ชุดนั้น ใช้คำพูดของบรรพชนห้วงอากาศพูดว่า “ช่างลึกลับเหลือเกิน การกลายเป็นอากาศธาตุที่แฝงอยู่บนชุดเกราะเกล็ดนี้ช่างกระชับเสียเหลือเกิน ถ้าหากข้าสามารถตรวจสอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บางทีข้าอาจจะสามารถก้าวหน้าทางด้านห้วงอากาศขึ้นไปได้อีกก้าวหนึ่งก็เป็นได้” เห็นได้ชัดว่าเขาหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับบรรพชนทิพย์นั้นหรือ ก็ชมชอบที่จะสำรวจวัตถุลึกลับทุกอย่างอยู่แล้ว ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ หรือ บรรพชนทิพย์ก็ย่อมกระหายอยากอยู่แล้ว เขาเองก็หวังที่จะฝังความลึกลับของชุดเกราะเกล็ดชุดนี้เข้าไปในร่างกายของตน ทำให้ตนเองมีเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน พอถึงเวลาที่เขาเผชิญกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าหยั่งรู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ร่างแปรของบรรพชนทิพย์เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินมาแล้วจึงตะโกนเรียกอย่างกระตือรือร้น

“ก็พอได้อะไรมาบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป

บรรพชนทิพย์พูดคุยกับตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสุขใจยิ่งนัก

การลอบสังหารคราวนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนความคิดไปเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่ยอมให้บุตรชายบุตรสาวและภรรยาออกไปจากวังทวีสูญโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขาเป็นการชั่วคราว

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

โลกฟ้ากระจ่างแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน นี่คืออาณาเขตของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย

วังที่เดียวดายเหน็บหนาวแห่งหนึ่ง สร้างอยู่บนยอดเขา

สาวใช้และผู้ดูและภายในวังแห่งนี้มีอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น นับว่าน้อยนัก จ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่งอยู่บนบัลลังก์ตามลำพัง สายตาทะลุผ่านประตูตำหนักของวัง มองดูอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างที่อยู่ไกลออกไป

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยคิดหาหนทางอยู่ตลอดเวลา

จะต้องกำจัดเขาให้จงได้

หากไม่กำจัดทิ้งข้อตกลงอันยิ่งใหญ่ที่เขาวางแผนเอาไว้ ศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลก็จะไม่มีแล้ว!

“มีสมบัติลับคุ้มกันชีพสองชิ้นอยู่กับตัวอย่างนั้นหรือ ศิษย์พี่พูดว่าบรรพชนโลกาและจอมมารดายังยากที่จะสังหารเขา อยากจะสังหารเขา ก็มีเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ไม่กล้าเชื่อสักเท่าใดนัก “เทพจักรวาลกลุ่มนั้นเห็นความสำคัญของตงป๋อเสวี่ยอิงถึงเพียงนั้น จะดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

แต่เขากลับไม่รู้ว่า

ฝูงมารผลาญทำลายที่แฝงตัวเข้ามา สงสัยว่าจะมีผู้เป็น ‘อ๋อง’ อยู่ในจำนวนนั้นด้วย ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปเสี่ยงอันตรายสืบหา พวกเขาก็ย่อมต้องมอบวัตถุคุ้มกันชีพให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงยังค้นพบรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งอีกด้วย ทำให้พวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกายิ่งทวีความชมชอบ ก็ย่อมต้องหยิบเอาวัตถุล้ำค่าคุ้มกันชีพที่เหมาะสมกับขั้นอลวน

“ทำอย่างไรดี” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยครุ่นคิด

ในใจของเขามีความคิดอยู่ตลอด เพียงแต่กำลังลังเล เพราะว่านั่นจะต้องเป็นการยั่วบุบุคคลผู้น่าหวั่นเกรงคนหนึ่ง

“ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว ก็ได้แต่ยืมมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วล่ะนะ” นัยน์ตาของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเยียบเย็นอย่างยิ่ง

……………………………………….