ปิงหวูชิงยกมือขึ้นขยับกระบี่พันเล่มบนท้องฟ้าหันปลายเข้าหาศัตรูอย่างน่ากลัว
“ซือหยูเซี่ยนตอนนี้เจ้าคงยังทิ้งพวกข้าไม่ได้ มาสู้กับข้าซะ!”
ปิงหวูชิงมองซือหยู
ไม่ว่าซือหยูจะไปทำอะไรมาพวกมีดสวรรค์จะไม่ปล่อยให้ซือหยูรอดไปแน่
“หึหึทุกคนต้องรับผิดชอบกำจัดคนทรยศ ข้าเองก็ไม่เว้น!”
ซือหยูยักไหล่หัวเราะเขาเหลือบมองเหล่าศัตรู
“ข้าชอบใจนักตอนที่อยู่กับคนหมู่มากรังแกคนน้อยๆ อย่างพวกเจ้า!”
“เจ้าคิดอย่างนั้นรึ?”
ปี้หลิงเทียนที่มองดูการต่อสู้ยิ้มถาม
ซืหยูมองเขาและยิ้มตอบ “เจ้าคิดจะลงมือแล้วล่ะสิ?”
ถ้าปี้หลิงเทียนเข้าสู้ซือหยูจะใช้พลังทั้งหมดที่มีต่อสู้กับเขา
“แน่นอนว่าไม่ข้าสนใจแค่พวกสี่นภาจรัสเท่านั้น นอกจากจะจำเป็น ข้าจะไม่ยุ่งกับการต่อสู้ของพวกเจ้า”
ปี้หลิงเทียนยิ้มอยู่ตลอดเวลาเขาดูสง่างามและไม่สนใจใคร
“แต่ต่อให้ข้าไม่ทำอะไรคนอื่นก็จะลงมือแทนข้า”
ปี้หลิงเทียนมองไปยังคนที่อยู่ไกลในเทือกเขา
“เจ้าคือฮั่นเฟยไม่ใช่รึ?”
ฮั่นเฟยรึ?เหตุการณ์เริ่มแตกตื่น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่รู้ว่าฮั่นเฟยคือใคร!
นางคือคนที่เก่งที่สุดในสำนักอสูรสวรรค์!นางคือนภาจรัสไร้เทียมทาน อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ก้าวข้ามวีรบุรุษทุกคนในสำนักอสูร
เมื่อเดือนก่อนในแดนเหนือได้เกิดเหตุการณ์ที่ฟ้าดินจมสู่ความมืด สุริยาดำสนิทปกคลุมพื้นพิภพกลบแสงตะวันจันทราของโลกเดิม
สุริยาทมิฬนี้ลอยขึ้นมาบนฟ้าเพื่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้!นางคือสตรีวิถีอสูรไร้เทียมทานคนแรกถัดจากผู้ก่อตั้งสำนักอสูรสวรรค์ที่บ่มเพาะวิชา ‘สุริยาทมิฬอสูรสวรรค์’ ได้สำเร็จ!
พลังของนางเกินกว่าจ้าวเทวะไปแล้วว่ากันว่าผู้เฒ่าสำนักอสูรสวรรค์ทั้งสิบคนล้วนพ่ายแพ้นาง!
และผู้เฒ่าที่มีพลังสูงสุดในบรรดาผู้เฒ่าทั้งสิบนั้นคือผู้เฒ่าที่เป็นอสูรเนรมิตรมานาน!
ยอดสูงสุดของสำนักอสูรสวรรค์ถึงกับสั่นคลอน
เสียงเสื้อผ้าพัดปลิวตามแรงลมดังสะท้อนในความเงียบเมื่อสตรีงดงามปรากฏกายที่กลางอากาศนางสวมชุดบางและมีสีผิวเรียบเนียนดุจหิมะ ดวงตานั้นสดใสเป็นประกาย ทุกคนถูกหอบเอาลมหายใจไปเมื่อเห็นนาง ซือหยูเองก็มองนางด้วยความประทับใจเช่นกันความงามของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าปิงหวูชิงเลย! ความต่างก็คือฮั่นเฟยนั้นมีเสน่ห์ยั่วยวนกว่า นางมีเสน่ห์ตามธรรมชาติที่ตรงข้ามกับความเย็นชาของปิงหวูชิง
รูปลักษณ์ของฮั่นเฟยทำให้หลายๆ คนพูดคุยกัน
“หนึ่งในสี่นภาจรัสฮั่นเฟย!!”
“นางปรากฏตัวออกมาแล้ว!”
ปี้หลิงเทียนมองฮั่นเฟยด้วยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่แยกจากกันในงานชุมนุมนภาจรัสข้าไม่ได้เจอเจ้ามาสามปี เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ฮั่นเฟยมองข้ามปี้หลิงเทียนไปหาซือหยูและเริ่มตรวจสอบเขา
ปี้หลิงเทียนยังคงเย็นชาและยิ้มอย่างงดงามแม้จะถูกเมิน
“เจ้าชื่ออะไร?”
ฮั่นเฟยจ้องมองซือหยู ทุกหนแห่งเงียบกริบเหล่ายอดฝีมือจากทุกมุมทวีปจ้องซือหยูตาไม่กระพริบ เขาถูกให้เกียรติจนหนึ่งในนภาจรัสเป็นฝ่ายถามชื่อของเขาอย่างเปิดเผย!
กู้ไทซูหรี่ตาเล็กน้อยแสงในตาของเขาเย็นชา
“เจ้าต้องการอะไร?”
ปิงหวูชิงก้าวมายืนหน้าซือหยูนางขวางซือหยูจากฮั่นเฟย
ฮั่นเฟยไม่สนใจ
“ข้าถามเขาไม่ใช่เจ้า” novel-lucky
ปิงหวูชิงพูดอย่างเย็นชา
“ก่อนเจ้าจะแตะต้องเขาเจ้าต้องขออนุญาตข้าก่อน!”
“เจ้าน่ะรึ?”
ฮั่นเฟยไม่สนใจปิงหวูชิงเท่าใดนัก
“ใช่ข้าเอง! ข้าเป็นคู่หมั้นของเขา!”
ปิงหวูชิงกล่าวอ้างโดยไม่สนใจว่ามีคนจำนวนมากกำลังมองดูอยู่
ลู่จือยี่ตัวสั่นเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผลนางมองซือหยูผู้สวมหน้ากากสีเงิน นางรู้สึกว่าหัวใจโดนบางอย่างทิ่มแทง เขาหมั้นกับปิงหวูชิงไปแล้วหรือ? แววตานางหม่นหมอง
“เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถาม”
ฮั่นเฟยกล่าว
“พลังอสูรของเจ้ามาจากไหน?”
‘นางมาเพื่อพลังอสูรอย่างที่ข้าคิดเลย’
ซือหยูคิดในใจ
พลังอสูรอันบริสุทธิ์ที่เขาใช้เมื่อครู่นั้นทำให้อสูรสวรรค์เริ่มสนใจเข้าแล้ว
ในฐานะที่เป็นสำนักอสูรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจิวโจวสำนักอสูรสวรรค์มักจะอ้างสิทธิ์ในพลังอสูรของตนเอง พลังอสูรที่พวกเขาได้รับมานั้นแตกต่างจากสำนักอสูรอื่น เพราะสำนักอสูรสวรรค์จะได้พลังอสูรที่บริสุทธิ์อย่างมากมาครอง
แต่พลังอสูรของซือหยูนั้นบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับคนสำนักอสูรสวรรค์
“ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าหรือ?”
ซือหยูยืนกอดอกอย่างไร้ซึ่งความกลัวราวกับคำว่า ‘นภาจรัส’ ไม่มีความหมายสำหรับเขา
ใบหน้าเหล่ายอดฝีมือจากที่อื่นกำลังสนใจ
“โง่เขลาจริงๆ ที่พูดกับนภาจรัสเช่นนั้น!”
“นภาจรัสคือฉายาที่มอบให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคของทวีปแต่ละคนจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานหากเวลามาถึงไม่ใช่หรอกรึ?”
“ราชาเก้าเขตเองก็ล้วนเคยเป็นนภาจรัสทั้งนั้นในตอนเป็นหนุ่มสาว!”
“ความล้มเหลวรอมันอยู่แล้วด้วยนิสัยใจคอเช่นนี้ ความตายย่อมเข้าหาไม่ช้าก็เร็ว!”
ฮั่นเฟยขมวดคิ้วนางไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธนางอย่างมั่นคงได้เช่นนี้
ปี้หลิงเทียนยิ้มราวกับรู้ล่วงหน้า “เจ้าแน่ใจนะว่าอยากให้ข้าลงมือ?”
ฮั่นเฟยเหลือบมองเหลบ่าศิษย์ในตำหนักโลหิตด้านหลังซือหยู
คนเหล่านั้นตัวสั่นด้วยความเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในบ้านน้ำแข็งพวกเขามองฮั่นเฟยเหมือนกับที่มองม่อเทียนฉวน!
คำหนึ่งคำดังก้องในใจพวกเขานั่นคือคำว่า ‘แม่มด’! แม่มดผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่ข่าวลือว่าไว้
กู้ไทซูยิ้มอย่างสิ้นหวังแม้แต่เขาก็หวาดกลัวฮั่นเฟย ในการประลองจริง เขามิอาจรับสิบกระบวนท่าของฮั่นเฟยได้ ซือหยูเคยก็ไม่น่าจะต่างกัน
ซือหยูหรี่ตานางคนนี้แข็งแกร่งกว่าปี้หลิงเทียน แต่ซือหยูก็มีวิธีการมากมายในการเอาชนะนาง แต่สิ่งที่เขาต้องจ่ายไปนั้นสูงเกินไป
“พี่สาวฮั่นเฟยใยไม่ให้เฟิงเอ๋อมีโอกาสทดสอบพี่สาวดูเล่า?” เสียงอ่อนหวานของสตรีดังผ่านกลีบเมฆา
รอยแยกมิติฉีกออกวิหคเพลิงบินออกมา เด็กสาวน่ารักนั่งอยู่บนวิหคเพลิงราวกับหญิงสาวทั่วไป เท้าเปลือยเปล่าของนางแกว่งไปมาบนอากาศ
ฮั่นเฟยเงยหน้ามองและขมวดคิ้ว
“ตงฟางเถียนเฟิงเจ้าจะไปอยู่ฝั่งนั้นหรือ?”
ตงฟางเถียนเฟิงทำให้คนส่วนมากแตกตื่นขึ้นไปอีก
“ตระกูลใหญ่ที่สุดในโลกตระกูลบูรพา!”
“อะไรนะ?นางก็มาด้วยเรอะ?!”
“ฮึ่ย!สองนภาจรัสมาอยู่ด้วยกันแบบนี้! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ยอดฝีมือส่วนมากไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เห็นนภาจรัสต่อให้มีเวลาทั้งชีวิตและตอนนี้นภาจรัสปรากฏตัวพร้อมกันถึงสองคน พวกเขาทั้งตื่นเต้นและหวาดผวา ตงฟางเถียนเฟิงกระโดดลงมาจากวิหคเพลิงนางร่อนลงข้างซือหยูราวกับขนนกพร้อมกับหัวเราะอย่างน่ารัก
“เฟิงเอ๋อไม่สนใจถ้าพี่ฮั่นเฟยจะรังแกคนอื่นแต่ถ้ารังแกเขาล่ะก็…ต้องผ่านข้าไปก่อน!”
ฮั่นเฟยมองซือหยูด้วยความแปลกใจ
“เจ้าเป็นอะไรกับเขา?คุ้มค่าแล้วรึที่เข้ามายุ่ง?”
ซือหยูเบ้ปากสาวน้อยคนนี้ยังคงไม่รามือ นางพยายามหาทางได้ตัวจ้าวสวนบุพผาอยู่ตลอดเวลา!
นางถึงกับมาช่วยเขาเพราะเรื่องนี้
แต่ที่ทำให้ซือหยูหยุดนิ่งในเวลาต่อมาก็คือคำพูดที่ออกมาจากปากตงฟางเถียนเฟิงมันคือคำพูดที่แทบจะทำให้ทุกคนคลั่ง
“ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกเขาก็แค่ฉวยโอกาสกับร่างกายข้าเท่านั้น”
คำพูดของตงฟางเถียนเฟิงไม่เคยทำให้คนไม่ตกตะลึงเลย