ตอนที่ 1034 - สองนภาจรัส

The Divine Nine Dragon Cauldron

ปิงหวูชิงยกมือขึ้นขยับกระบี่พันเล่มบนท้องฟ้าหันปลายเข้าหาศัตรูอย่างน่ากลัว
  “ซือหยูเซี่ยนตอนนี้เจ้าคงยังทิ้งพวกข้าไม่ได้ มาสู้กับข้าซะ!”
  ปิงหวูชิงมองซือหยู
  ไม่ว่าซือหยูจะไปทำอะไรมาพวกมีดสวรรค์จะไม่ปล่อยให้ซือหยูรอดไปแน่
  “หึหึทุกคนต้องรับผิดชอบกำจัดคนทรยศ ข้าเองก็ไม่เว้น!”
  ซือหยูยักไหล่หัวเราะเขาเหลือบมองเหล่าศัตรู
  “ข้าชอบใจนักตอนที่อยู่กับคนหมู่มากรังแกคนน้อยๆ อย่างพวกเจ้า!”
  “เจ้าคิดอย่างนั้นรึ?”
  ปี้หลิงเทียนที่มองดูการต่อสู้ยิ้มถาม
  ซืหยูมองเขาและยิ้มตอบ  “เจ้าคิดจะลงมือแล้วล่ะสิ?”
  ถ้าปี้หลิงเทียนเข้าสู้ซือหยูจะใช้พลังทั้งหมดที่มีต่อสู้กับเขา
  “แน่นอนว่าไม่ข้าสนใจแค่พวกสี่นภาจรัสเท่านั้น นอกจากจะจำเป็น ข้าจะไม่ยุ่งกับการต่อสู้ของพวกเจ้า”
  ปี้หลิงเทียนยิ้มอยู่ตลอดเวลาเขาดูสง่างามและไม่สนใจใคร
  “แต่ต่อให้ข้าไม่ทำอะไรคนอื่นก็จะลงมือแทนข้า”
  ปี้หลิงเทียนมองไปยังคนที่อยู่ไกลในเทือกเขา
  “เจ้าคือฮั่นเฟยไม่ใช่รึ?”
  ฮั่นเฟยรึ?เหตุการณ์เริ่มแตกตื่น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่รู้ว่าฮั่นเฟยคือใคร!
  นางคือคนที่เก่งที่สุดในสำนักอสูรสวรรค์!นางคือนภาจรัสไร้เทียมทาน อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ก้าวข้ามวีรบุรุษทุกคนในสำนักอสูร
  เมื่อเดือนก่อนในแดนเหนือได้เกิดเหตุการณ์ที่ฟ้าดินจมสู่ความมืด สุริยาดำสนิทปกคลุมพื้นพิภพกลบแสงตะวันจันทราของโลกเดิม
  สุริยาทมิฬนี้ลอยขึ้นมาบนฟ้าเพื่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้!นางคือสตรีวิถีอสูรไร้เทียมทานคนแรกถัดจากผู้ก่อตั้งสำนักอสูรสวรรค์ที่บ่มเพาะวิชา ‘สุริยาทมิฬอสูรสวรรค์’ ได้สำเร็จ!
  พลังของนางเกินกว่าจ้าวเทวะไปแล้วว่ากันว่าผู้เฒ่าสำนักอสูรสวรรค์ทั้งสิบคนล้วนพ่ายแพ้นาง!
  และผู้เฒ่าที่มีพลังสูงสุดในบรรดาผู้เฒ่าทั้งสิบนั้นคือผู้เฒ่าที่เป็นอสูรเนรมิตรมานาน!
  ยอดสูงสุดของสำนักอสูรสวรรค์ถึงกับสั่นคลอน
  เสียงเสื้อผ้าพัดปลิวตามแรงลมดังสะท้อนในความเงียบเมื่อสตรีงดงามปรากฏกายที่กลางอากาศนางสวมชุดบางและมีสีผิวเรียบเนียนดุจหิมะ ดวงตานั้นสดใสเป็นประกาย ทุกคนถูกหอบเอาลมหายใจไปเมื่อเห็นนาง  ซือหยูเองก็มองนางด้วยความประทับใจเช่นกันความงามของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าปิงหวูชิงเลย! ความต่างก็คือฮั่นเฟยนั้นมีเสน่ห์ยั่วยวนกว่า นางมีเสน่ห์ตามธรรมชาติที่ตรงข้ามกับความเย็นชาของปิงหวูชิง
  รูปลักษณ์ของฮั่นเฟยทำให้หลายๆ คนพูดคุยกัน
  “หนึ่งในสี่นภาจรัสฮั่นเฟย!!”
  “นางปรากฏตัวออกมาแล้ว!”
  ปี้หลิงเทียนมองฮั่นเฟยด้วยรอยยิ้ม
  “ตั้งแต่แยกจากกันในงานชุมนุมนภาจรัสข้าไม่ได้เจอเจ้ามาสามปี เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
  ฮั่นเฟยมองข้ามปี้หลิงเทียนไปหาซือหยูและเริ่มตรวจสอบเขา
  ปี้หลิงเทียนยังคงเย็นชาและยิ้มอย่างงดงามแม้จะถูกเมิน
  “เจ้าชื่ออะไร?”
  ฮั่นเฟยจ้องมองซือหยู  ทุกหนแห่งเงียบกริบเหล่ายอดฝีมือจากทุกมุมทวีปจ้องซือหยูตาไม่กระพริบ เขาถูกให้เกียรติจนหนึ่งในนภาจรัสเป็นฝ่ายถามชื่อของเขาอย่างเปิดเผย!
  กู้ไทซูหรี่ตาเล็กน้อยแสงในตาของเขาเย็นชา
  “เจ้าต้องการอะไร?”
  ปิงหวูชิงก้าวมายืนหน้าซือหยูนางขวางซือหยูจากฮั่นเฟย
  ฮั่นเฟยไม่สนใจ
  “ข้าถามเขาไม่ใช่เจ้า” novel-lucky
  ปิงหวูชิงพูดอย่างเย็นชา
  “ก่อนเจ้าจะแตะต้องเขาเจ้าต้องขออนุญาตข้าก่อน!”
  “เจ้าน่ะรึ?”
  ฮั่นเฟยไม่สนใจปิงหวูชิงเท่าใดนัก
  “ใช่ข้าเอง! ข้าเป็นคู่หมั้นของเขา!”
  ปิงหวูชิงกล่าวอ้างโดยไม่สนใจว่ามีคนจำนวนมากกำลังมองดูอยู่
  ลู่จือยี่ตัวสั่นเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผลนางมองซือหยูผู้สวมหน้ากากสีเงิน นางรู้สึกว่าหัวใจโดนบางอย่างทิ่มแทง เขาหมั้นกับปิงหวูชิงไปแล้วหรือ? แววตานางหม่นหมอง
  “เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถาม”
  ฮั่นเฟยกล่าว
  “พลังอสูรของเจ้ามาจากไหน?”
  ‘นางมาเพื่อพลังอสูรอย่างที่ข้าคิดเลย’
  ซือหยูคิดในใจ
  พลังอสูรอันบริสุทธิ์ที่เขาใช้เมื่อครู่นั้นทำให้อสูรสวรรค์เริ่มสนใจเข้าแล้ว
  ในฐานะที่เป็นสำนักอสูรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจิวโจวสำนักอสูรสวรรค์มักจะอ้างสิทธิ์ในพลังอสูรของตนเอง พลังอสูรที่พวกเขาได้รับมานั้นแตกต่างจากสำนักอสูรอื่น เพราะสำนักอสูรสวรรค์จะได้พลังอสูรที่บริสุทธิ์อย่างมากมาครอง
  แต่พลังอสูรของซือหยูนั้นบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับคนสำนักอสูรสวรรค์
  “ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าหรือ?”
  ซือหยูยืนกอดอกอย่างไร้ซึ่งความกลัวราวกับคำว่า ‘นภาจรัส’ ไม่มีความหมายสำหรับเขา
  ใบหน้าเหล่ายอดฝีมือจากที่อื่นกำลังสนใจ
  “โง่เขลาจริงๆ ที่พูดกับนภาจรัสเช่นนั้น!”
  “นภาจรัสคือฉายาที่มอบให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคของทวีปแต่ละคนจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานหากเวลามาถึงไม่ใช่หรอกรึ?”
  “ราชาเก้าเขตเองก็ล้วนเคยเป็นนภาจรัสทั้งนั้นในตอนเป็นหนุ่มสาว!”
  “ความล้มเหลวรอมันอยู่แล้วด้วยนิสัยใจคอเช่นนี้ ความตายย่อมเข้าหาไม่ช้าก็เร็ว!”
  ฮั่นเฟยขมวดคิ้วนางไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธนางอย่างมั่นคงได้เช่นนี้
  ปี้หลิงเทียนยิ้มราวกับรู้ล่วงหน้า  “เจ้าแน่ใจนะว่าอยากให้ข้าลงมือ?”
  ฮั่นเฟยเหลือบมองเหลบ่าศิษย์ในตำหนักโลหิตด้านหลังซือหยู
  คนเหล่านั้นตัวสั่นด้วยความเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในบ้านน้ำแข็งพวกเขามองฮั่นเฟยเหมือนกับที่มองม่อเทียนฉวน!
  คำหนึ่งคำดังก้องในใจพวกเขานั่นคือคำว่า ‘แม่มด’! แม่มดผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่ข่าวลือว่าไว้
  กู้ไทซูยิ้มอย่างสิ้นหวังแม้แต่เขาก็หวาดกลัวฮั่นเฟย ในการประลองจริง เขามิอาจรับสิบกระบวนท่าของฮั่นเฟยได้ ซือหยูเคยก็ไม่น่าจะต่างกัน
  ซือหยูหรี่ตานางคนนี้แข็งแกร่งกว่าปี้หลิงเทียน แต่ซือหยูก็มีวิธีการมากมายในการเอาชนะนาง แต่สิ่งที่เขาต้องจ่ายไปนั้นสูงเกินไป
  “พี่สาวฮั่นเฟยใยไม่ให้เฟิงเอ๋อมีโอกาสทดสอบพี่สาวดูเล่า?”   เสียงอ่อนหวานของสตรีดังผ่านกลีบเมฆา
  รอยแยกมิติฉีกออกวิหคเพลิงบินออกมา เด็กสาวน่ารักนั่งอยู่บนวิหคเพลิงราวกับหญิงสาวทั่วไป เท้าเปลือยเปล่าของนางแกว่งไปมาบนอากาศ
  ฮั่นเฟยเงยหน้ามองและขมวดคิ้ว
  “ตงฟางเถียนเฟิงเจ้าจะไปอยู่ฝั่งนั้นหรือ?”
  ตงฟางเถียนเฟิงทำให้คนส่วนมากแตกตื่นขึ้นไปอีก
  “ตระกูลใหญ่ที่สุดในโลกตระกูลบูรพา!”
  “อะไรนะ?นางก็มาด้วยเรอะ?!”
  “ฮึ่ย!สองนภาจรัสมาอยู่ด้วยกันแบบนี้! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
  ยอดฝีมือส่วนมากไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เห็นนภาจรัสต่อให้มีเวลาทั้งชีวิตและตอนนี้นภาจรัสปรากฏตัวพร้อมกันถึงสองคน พวกเขาทั้งตื่นเต้นและหวาดผวา  ตงฟางเถียนเฟิงกระโดดลงมาจากวิหคเพลิงนางร่อนลงข้างซือหยูราวกับขนนกพร้อมกับหัวเราะอย่างน่ารัก
  “เฟิงเอ๋อไม่สนใจถ้าพี่ฮั่นเฟยจะรังแกคนอื่นแต่ถ้ารังแกเขาล่ะก็…ต้องผ่านข้าไปก่อน!”
  ฮั่นเฟยมองซือหยูด้วยความแปลกใจ
  “เจ้าเป็นอะไรกับเขา?คุ้มค่าแล้วรึที่เข้ามายุ่ง?”
  ซือหยูเบ้ปากสาวน้อยคนนี้ยังคงไม่รามือ นางพยายามหาทางได้ตัวจ้าวสวนบุพผาอยู่ตลอดเวลา!
  นางถึงกับมาช่วยเขาเพราะเรื่องนี้
  แต่ที่ทำให้ซือหยูหยุดนิ่งในเวลาต่อมาก็คือคำพูดที่ออกมาจากปากตงฟางเถียนเฟิงมันคือคำพูดที่แทบจะทำให้ทุกคนคลั่ง
  “ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกเขาก็แค่ฉวยโอกาสกับร่างกายข้าเท่านั้น”
  คำพูดของตงฟางเถียนเฟิงไม่เคยทำให้คนไม่ตกตะลึงเลย