คืนสนอง
“ใครบอกกันนะว่าเซียวหลูเป็นแค่นางโชวกัน เธอสวยมากเลยนะ”
“แถมยังดูอ่อนช้อย นุ่มนวลเลยทีเดียว”
“นี่ผลจากการใช้ผงเสริมความงามงั้นหรอ”
“นี่เป็นงานเปิดตัวผงเสริมทรวงอกหรือผงเสริมความงามกันแน่เนี่ย”
เหล่าแขกเหรื่อและนักข่าวที่เข้าร่วมงานเปิดตัวต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก ชายวัยกลางคนในชุดสูทคนหนึ่งกับหญิงสาวในชุดสูทสั่งตัดคนหนึ่งจ้องไปยังใบหน้าของเซียวหลูด้วยความตกตะลึงพร้อมทำคิ้วขมวด
ชายวัยกลางคนได้กระซิบถามหญิงสาวในชุดสูทว่า “ไหนว่าเรียบร้อยแล้วไง แล้วนี่มันอะไรกัน”
“ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เธอแจ้งมายังทางเราว่าเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางที่จะแก้ไขใบหน้าของเธอได้ทันการแน่นอน แม้แต่ต่อให้โปะหน้าหนาแค่ไหนก็ตาม แล้วนี่จะทำยังไงกันดีคะ” หญิงสาวในชุดสูทพูดพร้อมความงงงวยและรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที
“พวกเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ พวกเราต้องหยุดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความโกรธ
ตอนนี้เซียวหลูได้ปรากฏสู่สายตาสาธารณะชนด้วยใบหน้าที่สวยเลิศเลออย่างไร้ที่ติ แม้แต่พวกเขาจะได้รูปตอนเสียโฉมมาแต่จะเอาไปทำอะไรได้กัน
รูปถ่ายเองก็เป็นของจริงแน่นอน เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเซียวหลูถึงได้แปลงโฉมได้เร็วขนาดนี้
ในตอนนั้นเอง หวังซือหยา ดงชุ่น และซูจิ้งออกมาด้วยกัน ทันทีที่ซูจิ้งออกมาเหล่านักข่าวต่างถ่ายรูปกันอย่างจ้าละหวั่น
เขานั้นเด่นกว่าเซียวหลูในตอนนี้ซะอีก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าซูจิ้งเพิ่งจะสตรีมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และยังคงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอยู่
หลังจากนั้นงานเปิดตัวก็ดำเนินต่อไปด้วยดี ไม่มีเรื่องอะไรอีก ซูจิ้งเองนึกเบื่อๆไม่รู้จะทำอะไรก็ได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาเล่นๆ
แต่กลับจับพิรุธที่คู่ชายวัยกลางคนในชุดสูทและหญิงสาวในชุดสูทตัดได้จึงได้คอยจับตาดูเอาไว้ จากออร่าที่พวกเขาปล่อยออกมานั้นดูไม่เสถียรมากซะจนเขารู้ได้ในทันทีว่าทั้งคู่ต้องมาจากบริษัทชิไลอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามซูจิ้งไม่ได้บอกใครในเรื่องนี้ งานเปิดตัวได้ดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ตั้งแต่ต้นยันจบทั้งสองก็ยังไม่ได้ทำอะไรออกมา เมื่อเสร็จงานแล้วทั้งสองรีบเดินออกไปด้วยอารมณ์หมดอาลัยตายอยาก
เซียวหลูเองหลังจากเสร็จงานไปแล้วซักพักร่างกายของเธอก็คืนสภาพปกติตามที่ซูจิ้งบอก
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนวดเธอด้วยเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ
แถมยังใช้ผงลบเลือนริ้วรอยทำให้ใบหน้าของเธออาการดีขึ้นจนเหลืออีกนิดหน่อยก็หายแล้ว
ทั้งหวังซือหยาและดงชุ่นเห็นดังนี้ก็ดีใจมาก ทั้งสองรู้สึกดีใจที่ตัวเองชักชวนซูจิ้งมางานในวันนี้ไม่อย่างนั้นล่ะก็งานได้ล่มไม่เป็นท่าแน่นอน
ซูจิ้งพูดออกมาขณะที่ทุกคนกำลังดีใจว่า “ดูเหมือนว่าในระหว่างงานเปิดตัวมีคนจากบริษัทชิไลเข้ามาดูด้วยนะ เดี๋ยวผมขอไปดูบ้างก็แล้วกัน”
ทุกคนต่างตะลึงทันทีที่ได้ยิน หวังซือหยาได้พูดออกมาว่า “ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะแค่ไปดูน่ะ”
ซูจิ้งเอานิ้วไปถูจมูกตัวเองก่อนจะพูดออกไปว่า “แค่ไปดูจริงจริ๊ง เพื่อว่าใครสักคนจะได้เรียนรู้ว่าการมาป่วนงานชาวบ้านเขาจะเป็นยังไง”
หวังซือหยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยรู้นิสัยของซูจิ้งดีว่าไม่จบแค่ดูแน่นอน
หวังซือหยาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ดูดีๆก็แล้วกัน รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่ต้องกักตัวยัยช่างแต่งหน้านั้นไว้แล้ว ปล่อยตัวเธอไป”
ช่างแต่งหน้าสาวที่ถูกกักตัวไว้ก่อนหน้านี้ถูกปล่อยตัวออกจากสำนักงาน ซูจิ้งได้ถอนการสะกดจิตออกโดยไม่ได้ลบความทรงจำใดๆ
เมื่อเธอรู้สึกตัวเธอจำได้ว่าเธอบอกทุกอย่างให้ทุกคนได้รู้ ทันใดนั้นหน้าของเธอเปลี่ยนสีทันที
เธอขอโทษหวังซือหยากับเรื่องที่เธอทำ แต่หวังซือหยาไม่พูดอะไรแค่บอกให้หน่วยรักษาความปลอดภัยนำตัวเธอออกไปแค่นั้น
พร้อมทั้งให้นักกฎหมายจัดการเรื่องสัญญาจ้างของเธอและเตรียมฟ้องร้องจากสิ่งที่เธอทำ นั่นจะทำให้ช่างแต่งหน้าสาวคนนี้เจอปัญหาใหญ่ในชีวิตนี้แน่นอน
ซูจิ้ง หวังซือหยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยได้ไปงานเปิดตัวสินค้าของบริษัทชิไลด้วยกัน
งานจัดขึ้นไม่ไกลจากที่จัดงานของซือหยาเท่าไหร่นัก ใช้เวลาเพียง20นาทีก็ถึง เมื่อพวกเขาไปที่งานก็พบว่างานได้เริ่มไปแล้ว
พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้เวทีแต่อย่างใด เพียงมองอยู่ห่างๆแค่นั้นเอง
งานของบริษัทชิไลได้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวา พอดูๆไปแล้วเหมือนน่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
เป็นไปได้ว่าเพราะถือว่าตัวบริษัทเองเป็นบริษัทใหญ่ ก็เลยไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มาดึงดูดสายตา
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเพลงดึงดูดจากบนเวที
ชายวัยกลางคนที่ซูจิ้งเห็นในงานเปิดตัวได้ยืนอยู่บนเวทีพร้อมพูดด้วยเสียงดังว่า
“ต่อไป พวกเราลองมาชมผลของครีมที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของทางบริษัทชิไลกันนะครับ ตามภาพนี่คือสภาพผิวของเธอก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา ผิวของเธอนั้นแห้งจนเรียกได้ว่าหยาบกระด้างเลยก็ว่าได้ ส่วนนี่คือภาพของผิวเธอหลังใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้ว
ที่ทุกท่านเห็นอยู่ตอนนี้เป็นสภาพผิวจริงที่ผ่านการแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าทุกคนไม่เชื่อผม
ผมจะให้หญิงสาวผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนนี้ ล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้า และล้างหน้าเพื่อให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอกันครับ”
หญิงสาวคนที่ถูกบอกว่าใช้สินค้าดูแลผิวภัณฑ์ของบริษัทชิไล ได้เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมใบหน้าที่ดูสวยงามและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผิวพรรณของเธอก็ดูดีจริงๆ
โจวเสวี่ยได้พูดแบบดูถูกออกมาว่า “ไม่ต้องพูดเลย ดูจากรูปก็รู้ว่าภาพผิวก่อนการใช้ครีมนั่นทำขึ้นมาเห็นๆ ผิวเธอดูดีขนาดนี้ไม่มีทางสภาพแย่แบบนั้นได้แน่นอน”
หวังซือหยาและดงชุ่นก็ได้หัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินโจวเสวี่ยพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการโฆษณาพวกเธอก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก ซูจิ้งเองก็ได้แค่ยิ้มๆแต่ไม่พูดอะไร แต่ถ้าคนที่อยู่ที่นั่นเห็นรอยยิ้มของซูจิ้งจะรู้สึกขนลุกทันทีที่สังเกตุแน่นอน
ตอนนี้ที่ทุกคนเห็นก็คือหญิงสาวที่ดูสุขภาพผิวดีคนนั้นได้ทำการลบการแต่งหน้า พร้อมล้างหน้าต่อหน้าทุกคนในขณะอยู่บนเวที ทุกคนต่างก็คิดว่าหลังเจอเธอล้างหน้าแล้วเธอต้องดูหน้าเกลียดแน่นอน แต่ด้วยสถานะของบริษัทใหญ่อย่างบริษัทชิไล ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นเป็นแน่
แต่ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่หญิงสาวคนนั้นล้างหน้า และแสดงใบหน้าที่แท้จริงให้เห็น
ผู้คนในงานต่างกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ บางคนถึงกับกลัวจนต้องล้มพับลงไปในทันที ตอนนี้หญิงสาวที่เป็นนางแบบของงานที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จ
ใบหน้าของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วรอย กระ จุดด่างดำ เหมือนกับเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาราวสามสิบถึงสี่สิบปี
บอกได้เลยว่าสภาพผิวในตอนนี้แย่กว่าในรูปก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทชิไลซะอีก
“พระเจ้า เป็นไปได้ยังไงกัน”
“โคตรน่ากลัวเลย”
เหล่านักข่าวต่างจับภาพเบื้องหน้าอย่างมันมี ประดุจดั่งได้หัวข้อข่าวใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาเคยได้ทำงานมา
“อย่าถ่ายนะ นี่มันแค่อุบัติเหตุเท่านั้น”
“หยุดก่อนนะ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
เหล่าพนักงานจากบริษัทชิไลต่างทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บางคนได้พยายามจับตัวหญิงสาวนางแบบที่กำลังยืนอึ้งอยู่กับเหตุการณ์
บางคนทำถึงขนาดพุ่งชนเธอให้ล้มแล้วรีบจับหน้ากดพื้นไว้
แต่เหล่านักข่าวก็ยังกระหน่ำถ่ายรูปทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บอกได้เลยว่าเกิดความโกลาหลอย่างแท้จริง คนของทางบริษัทชิไลได้รีบออกมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่ประจักษ์ย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำแก้ตัว แถมทุกคนเองก็ยังเห็นกับตาของตัวเอง
บางคนถึงกับถ่ายภาพด้วยมือถือของตัวเอง
ไม่ว่าจะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นอีกแล้ว คนของบริษัทชิไลเองล้วนรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้น
เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ได้ยังไงกัน ผิวของนางแบบนั้นแท้จริงแล้วก็ดูดีอยู่แล้วแถมยังดูดีตั้งแต่เกิดเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีทางทีจะอยู่ๆก็แห้งกร้านขนาดนั้นได้แน่นอน พวกเขาไม่รู้เลยจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หวังซือยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยต่างตกตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมต้องคำถามในหัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทชิไลกันแน่
พวกเขายังไม่เริ่มโต้กลับเลยแต่บริษัทชิไลได้จบลงซะแล้ว
ทันใดนั้นหวังซือหยาก็เหมือนนึกขึ้นได้แล้วหันไปหาซูจิ้งใจทันทีพร้อมพูดออกมาว่า “อาจิ้ง ฝีมือนายรึเปล่า” คนอื่นๆที่ได้ยินซือหยาถามต่างหันขวับไปหาซูจิ้งในทันที
“เปล่านา…. ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ซูจิ้งพูดพลางยักไหล่
“ไม่เอาน่า… ฉันไม่เชื่อหรอก ดูท่าทางก็รู้แล้ว” หวังซือหยาพูดพลางยิ้มออกมา
“ก็ แค่ การแต่งหน้าธรรมดาหล่ะ ผมแค่แอบใส่อะไรบางอย่างลงไปในน้ำเฉยๆ” ซูจิ้งสร้างเรื่องหลอกๆขึ้นมา
“นายใช้อะไรกันน่ะ” ทุกคนต่างประหลาดใจ พลางทึ่งในความสามารถของซูจิ้งที่ทำได้ตั้งแต่เสกหน้าหญิงสาวให้เลอโฉมแม้กระทั่งทำให้สาวหน้าตาดีการเป็นหน้าเกลียดหน้ากลัวได้ดั่งใจ