บทที่ 1113 วิชาเคลื่อนย้ายธาต

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ชายชุดเขียวจ้องมองหลุมที่อยู่บนพื้นดินพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเอง..
  “เฮ้อ..ดูท่าข้าคงจะวิตกกังวลเรื่องเด็กผู้ชายคนนั้นมากจนเกินไป หนำซ้ำยังคิดไปว่ามีเหล่าปีศาจบุกเข้ามาที่นี่ด้วย!”
  จากนั้นชายชุดเขียวก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เวลานี้ประเทศของเราก็ได้กลับสู่ความสงบแล้ว และได้กลายเป็นประเทศที่รุ่งเรืองมากอีกด้วย..”
  “เรื่องครั้งนั้นก็ล่วงเลยมามานานกว่าสี่สิบปีแล้วเหล่าปีศาจไหนเลยจะกล้าย่างกรายเข้ามาในปักกิ่งอีกเล่า เวลานี้พวกมันน่าพากันซุ่มตัวอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรด้วยความหวาดกลัวเสียมากกว่า คงไม่มีปีศาจตนใดกล้าเข้ามาที่นี่เป็นแน่!”
  เสียงของชายผู้นี้ไม่ได้ดังมากแต่ก็ไม่ได้เบานัก หนำซ้ำยังไม่ใช่การพูดผ่านกระแสจิตแต่อย่างใด และดูคล้ายกับว่าชายผู้นี้ไม่ได้หวั่นเกรงว่าจะมีผู้ใดผ่านมาได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย และนั่นย่อมบ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่มีความหวาดกลัวต่อผู้ใด..
  หลังจากนั้นชายคนเดียวกันนี้ก็เงยหน้าขึ้นจากพื้นดินและใช้จิตรู้ของตนเองสำรวจไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง..
  เมื่อหลิงหยุนเห็นเช่นนั้นเขาจึงรีบถอนจิตหยั่งรู้ของตนเองกลับทันที และรีบใช้เสินหยวนทำให้ตนเองกับโม่วู๋เตาหายกลืนหายไปกับความมืด และธรรมชาติรอบตัวทันที แล้วจิตรู้ของชายผู้นั้นก็ไม่อาจสำรวจพบพวกเขาทั้งคู่!
  แต่แล้วน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดุดันแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจก็ดังขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่บริเวณนี้.. ถ้าเช่นนั้นจงฟังข้าให้ดี!”
  “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นผู้ใดและมาจากที่ใด ไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์ หรือว่าภูติผีปีศาจ.. แต่จงรู้ไว้ว่าที่นี่คือเมืองหลวงของประเทศจีน เป็นที่พำนักของเหล่าองค์จักรพรรดิ หากเจ้ายังกล้าโผล่มาที่นี่ และยังคงมาวุ่นวายกับค่ายกลดักมังกรนี่อีกล่ะก็ เจ้าก็เตรียมตัวถูกคนของหน่วยนภา และหน่วยมังกรสังหารได้เลย!”
  ระหว่างที่พูด..แสงสีเขียวรอบตัวของชายผู้นั้นก็ค่อยๆ สว่างมากขึ้นเรื่อย
  น้ำเสียงที่ชายชุดเขียวใช้พูดออกไปนั้นคือน้ำเสียงที่ถูกควบคุมด้วยพลังจิตอีกที ทำให้คนธรรมดาทั่วไป หรือแม้แต่ยอดฝีมือขั้นต่ำไม่อาจได้ยินได้ แต่หลิงหยุนนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน..
  และการควบคุมเสียงด้วยพลังจิตนี้ก็แตกต่างการใช้มังกรคำรามของหลิงหยุน ซึ่งใช้จุดตันเถียนควบคุมเสียง และใช้เทคนิคเฉพาะตัวในการควบคุมลำคอ แต่ก็สามารถควบคุมความเข้มของเสียงได้ด้วยเช่นเดียวกัน..
  สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้นความเข้มของเสียงภายในพื้นที่ปิดที่จะสามารถได้ยินเป็นปกตินั้น จะอยู่ที่ 40 ถึง 60 เดซิเบล และหากเสียงที่มีความเข้มของเสียงน้อยกว่า 20 เดซิเบลนั้น ก็จะเป็นเสียงที่เบามาก และยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถได้ยินได้ แต่หากเสียงนั้นมีความเข้มสูงกว่า 120 เดซิเบล คนธรรมดาก็จะไม่อาจทนต่อเสียงนั้นได้ และอาจตกอยู่ในสภาพหูหนวกชั่วคราว..
  และด้วยสาเหตุนี้..หลิงหยุนจึงสามารถใช้มังกรคำรามจัดการกับเหล่าแวมไพร์บนเทือกเขาเซียนเหยินหลิงอย่างได้ผล
  ครั้งนั้นหลิงหยุนยังไม่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ด้วยซ้ำไปเขายังสามารถควบคุมความเข้มของเสียงได้ตามที่ต้องการ แต่ชายผู้นี้ดูเหมือนจะเหนือกว่าหลิงหยุนซึ่งเวลานี้อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่่ (ขั้นพลังชี่-2) มีหรือที่ชายผู้นั้นจะไม่สามารถควบคุมความเข้มของเสียงให้มีขนาดเดซิเบลดั่งที่ใจต้องการได้..
  และดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะยังสามารถประเมินความสามารถของหลิงหยุนได้ถูกต้องด้วยเขาจึงเลือกใช้ความเข้มของเสียงในขนาดที่คนธรรมดา และยอดฝีมือขั้นต่ำไม่อาจได้ยินได้ เพื่อสื่อสารกับหลิงหยุนโดยเฉพาะ!
  และด้วยเสียงที่มีความเข้มในระดับเดซิเบลที่ชายผู้นี้ใช้นั้นแม้แต่โม่วู๋เตาที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิงหยุนยังไม่สามารถได้ยินเลย..
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของชายผู้นั้นแล้วก็ถึงกับยิ้มออกมาและแอบคิดอยู่ในใจว่า ‘หากเจ้าไม่มีปัญญาหาข้าพบก็รีบๆ ไสหัวไปได้แล้ว ยังจะยืนพล่ามอยู่ได้!’
  หากตอนนี้อยู่ในป่าลึกห่างไกลจากตัวเมืองหลิงหยุนคงจะต้องปรากฏตัว และประมือกับยอดฝีมือผู้นี้อย่างแน่นอน แต่เพราะนี่คือใจกลางเมืองปักกิ่ง เขาจึงไม่ต้องการสร้างแรงสั่นสะเทือนให้มากไปกว่านี้ได้..
  นั่นเพราะด้วยความแข็งแกร่งของคนทั้งคู่นั้นหลิงหยุนเชื่อว่าหากพวกเขาทั้งสองคนลงมือต่อสู้กันอย่างดุเดือด เจดีย์เก่าแก่แห่งนี้ต้องได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงยากที่ใครจะรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมาได้ ส่วนตัวเขาเองก็คงต้องรู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองอย่างแน่นอน..
  และดูเหมือนว่าชายชุดเขียวเองก็จะคิดเช่นเดียวกับหลิงหยุนเขาจึงไม่ออกสำรวจค้นหาผู้บุกรุกอย่างจริงจัง และเลือกที่จะสื่อสารผ่านระดับความเข้มของเสียงที่ผู้อื่นไม่อาจได้ยินได้
  “ในเมื่อค่ายกลภายในเจดีย์เก่าแก่แห่งนี้ยังไม่ถูกทำลายข้าก็จะยอมถอยให้เจ้าหนึ่งก้าว เพื่อที่เราทั้งคู่จะได้ไม่ต้องบาเหมางใจกัน!”
  ชายชุดเขียวเอ่ยเตือนหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงจริงจังและจัดการถอนจิตรู้ของตนเองกลับมา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่วายที่จะแสดงความแข็งแกร่งของตนให้อีกฝ่ายเห็น เพราะเพียงแค่พริบตาเดียว.. ร่างสีเขียวนั้นก็ไปยืนอยู่เหนือพื้นผิวน้ำในทะเลสาบไร้นาม โดยที่ฝ่าเท้าไม่แตะพื้นน้ำเลยแม้แต่น้อย..
  และเมื่อแรงกดดันจากพลังจิตนั้นหายไปหลิงหยุนก็เริ่มเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกสำรวจดูชายชุดเขียวว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
  และระหว่างที่หลิงหยุนแอบดูชายชุดเขียวที่ยืนอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบไร้นามนั้นเขาก็หันไปสะกิดให้โม่วู๋เตามองไปทางทิศใต้ของทะเลสาบไร้นาม..
  หลิงหยุนเห็นชายชุดเขียวเริ่มเคลื่อนที่ไปมาเหนือผิวน้ำด้วยความรวดเร็วจนเห็นคล้ายกับแสงกระพริบสีเขียวปรากฏขึ้นตามจุดต่างๆทั่วทั้งผืนน้ำเป็นร้อยๆจุด และไม่ว่าชายชุดเขียวจะผ่านไปที่จุดใด เขาก็จะฟาดฝ่ามือลงไปที่ผิวน้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเป็นฝ่ามือลึกลับอยู่เต็มท้องทะเลสาบเต็มไปหมด!
  จากนั้น..ร่างของชายชุดเขียวก็กระโดดจากผิวน้ำขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมหมุนตัวตีลังกาลงมาซัดฝ่ามือทั้งสองข้างลงไปบนผืนน้ำอย่างรุนแรงอีกครั้ง!
  พลังรุนแรงที่ซัดจากฝ่ามือทั้งสองข้างนั้นทำให้น้ำปริมาณมากพุ่งขึ้นจากผืนน้ำมาบรรจบกันเป็นเส้นโค้งขนาดใหญ่อย่างไม่ได้ตั้งใจ และเวลานี้ทะเลสาบไร้นามที่เคยเงียบสงบ ก็เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด และระดับน้ำก็ลดลงอย่างรวดเร็ว..
  หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วชายชุดเขียวก็กระโดดพุ่งจากผิวน้ำขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง ก่อนจะหายเข้าไปภายในเจดีย์เก่าแก่อย่างรวดเร็ว..
  หากไม่นับระยะเวลาที่ชายผู้นี้เข้าไปสำรวจภายในค่ายกลดักมังกรแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็วนั้น นับตั้งแต่ที่เขาพูดคุยกับหลิงหยุน ไปจนถึงจัดการสะกดคลื่นที่พลุ่งพล่านในทะเลสาบไร้นามนั้น ก็กินเวลาไปเพียงแค่สองนาทีเท่านั้น..
  ‘ดูท่าชายผู้นี้คงจะมีภารกิจอื่นที่จะต้องไปจัดการไม่เช่นนั้นคงจะไม่รีบร้อนจากไปเช่นนี้แน่!’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดสงสัยอยู่ในใจ..
  หลิงหยุนรอจนกระทั่งมั่นใจว่าชายผู้นั้นจากไปแล้ว..เขาจึงปล่อยมือจากโม่วู๋เตา และเลิกใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุ แล้วค่อยๆผ่อนคลายร่างกายอย่างช้าๆ
  ส่วนโม่วู๋เตานั้นยังคงอยู่ในอาการตกใจและตกตะลึงอย่างมาก เขาส่ายหน้าไปมาอยู่เป็นเวลานาน ดูคล้ายกับคนที่เพิ่งหายจากอาการหวาดกลัวสุดขีด ก่อนจะหันไปมองหลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับเอ่ยถามผ่านกระแสจิต..
  –ปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่-
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“อืมม.. ชายผู้นั้นกลับไปแล้ว!”
  “เฮ้อ..ข้าตกใจแทบตาย!”
  จากนั้นโม่วู๋เตาก็หันมาจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงราวกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับภูติผีปีศาจ แล้วจึงร้องถามออกมาด้วยความตระหนกตกใจ!
  “นี่เจ้าใช้วิชาอะไรกันเหตุใดข้าจึงรู้สึกราวกับว่าตรงที่เรายืนอยู่นี้มันเปลี่ยนไป.. คล้ายกับว่า..”
  โม่วู๋เตาครุ่นคิดอยู่นานเพื่อหาคำอธิบายที่จะสามารถบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อครู่ได้อย่างถูกต้องตรงใจที่สุด..
  “มันคล้ายกับว่า..จู่ๆ ข้าก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ในเวลานั้น..”
  หลิงหยุนรู้ว่าโม่วู๋เตากำลังตกอกตกใจกับเรื่องอะไรเขาจึงอธิบายให้โม่วู๋เตาฟังด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
  “วิชาเมื่อครู่นั้นเรียกว่าวิชาเคลื่อนย้ายธาตุเป็นวิชาพรางตัวชั้นเยี่ยม ใช้เพื่อรับมือกับยอดฝีมือที่มีจิตหยั่งรู้ที่ทรงอานุภาพเช่นชายเมื่อครู่นั้น!”
  สำหรับผู้ที่ฝึกบ่มเพาะตนไปถึงขั้นหนึ่งแล้วย่อมได้จิตหยั่งรู้มาด้วยอย่างแน่นอน จิตหยั่งรู้ที่ได้มานี้จึงเปรียบเสมือนหูตาของเหล่าผู้บ่มเพาะตนทั้งหลาย และอานุภาพของจิตหยั่งรู้นั้นก็เหนือกว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนทั่วไปมากมายหลายเท่านัก..
  หากผู้บ่มเพาะตนสองคนมาพบกันเข้าโดยบังเอิญและต่างฝ่ายต่างก็ฝึกฝนจนถึงขั้นได้จิตหยั่งรู้แล้วทั้งคู่ หนำซ้ำอานุภาพจิตหยั่งรู้ของทั้งสองฝ่ายยังแข็งแกร่งเท่ากันอีก.. novel-lucky
  หากเป็นเช่นนั้น..ต่างฝ่ายต่างจะหลบหลีกรัศมีจิตหยั่งรู้ของอีกฝ่ายได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ
  คำตอบก็คือ..ใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุที่หลิงหยุนเพิ่งใช้ไปเมื่อครู่นั่นเอง!
  แต่วิชาเคลื่อนย้ายธาตุที่ว่านี้ผู้บ่มเพาะตนต้องฝึกถึงระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ขึ้นไปแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถใช้วิชานี้ได้..
  แต่ตอนนี้หลิงหยุนยังอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-2) เท่านั้น และเพื่อให้สามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุนี้ได้ เขาจึงต้องใช้เสินหยวนช่วยให้ตนเองมีพลังจิตแข็งแกร่งพอที่จะใช้วิชานี้ได้..
  วิชาเคลื่อนย้ายธาตุที่ว่านี้ก็คือ..การหลอมรวมตนให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัว จนกระทั่งไม่เหลือตัวตนอยู่ในสถานที่นั้น และเวลานั้น
  และเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะหลิงหยุนก็ได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุนี้ หลบหลีกการตรวจจับจากรัศมีจิตหยั่งรู้ของผู้บ่มเพาะคนอื่นมาได้นับครั้งไม่ถ้วน
  และด้วยเหตุนี้ทำให้โม่วู๋เตารู้สึกว่าตนเองนั้นถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ยังสถานที่อื่นและเวลาอื่น
  “เฮ้อ..โชคดีที่หลบพ้น!”
  หลิงหยุนเห็นท่าทางของโม่วู๋เตาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่หวั่นเกรงนัก..
  “ต่อให้ชายผู้นั้นหาพวกเราสองคนพบข้าก็ไม้ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย! ดีเสียอีก.. ข้าจะได้ประมือกับเขาสักครั้ง ตอนนี้ข้ารู้สึกคันไม้คันมือมาก!”
  โม่วู๋เตาถึงกับทำตาโตและร้องออกมาอย่างแปลกใจ “เจ้าเอาชนะชายผู้นั้นได้ด้วยงั้นรึ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงต้องรีบหลบด้วยเล่า?”
  หลิงหยุนระล่ำระลักตอบกลับทันที“ข้าไม่อยากเล่นสนุกกับเขาที่นี่ต่างหากเล่า.. สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะแก่การประมือ!” ระหว่างที่พูดหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางเจดีย์โบราณ..
  แต่โม่วู๋เตาเองก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับหลิงหยุนเพราะจากประสบการณ์ที่เขาเคยเห็นการต่อสู้ของหลิงหยุนมาแล้วนั้น โม่วู๋เตาสามารถคาดเดาได้ว่าเจดีย์โบราณนั่นคงจะพังทลายยับเยินเป็นแน่!
  “แล้วนี่เราจะทำอะไรต่อดี”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ในเมื่อพลังหยินที่นี่ถูกดูดไปจนเกือบจะหมดแล้ว พวกเราก็ไปที่อื่นต่อกันดีกว่า..”
  หลังจากตกลงกันแล้ว..หลิงหยุนกับโม่วู๋เตาก็รีบกลับไปยังที่จอดรถซึ่งอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยหยานจิง..
  ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด..รถของหลิงหยุนเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ หลิงหยุนขับรถไปด้วยความระมัดระวัง แต่ระหว่างนั้นเรื่องราวเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา..
  เวลานี้หลิงหยุนกำลังวิเคราะห์หาข้อมูลบางอย่างที่หลุดออกมาจากปากของชายชุดเขียว..
  ‘เด็กผู้ชายที่ชายผู้นั้นพูดถึงคือใครกันนะใช่ตัวข้าหรือไม่?’
  ‘ชายผู้นั้นยังพูดถึงเรื่องราวเมื่อสี่สิบปีก่อนด้วย..เมื่อสี่สิบปีก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นะ! ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นชายผู้นี้คงไม่หลุดปากออกมาคล้ายกับเป็นเรื่องที่ยากจะลืมเลือนได้เช่นนี้!’
  เรื่องเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้นเป็นเรื่องที่หลิงหยุนให้ความสนอกสนใจเป็นอย่างมากนั่นเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงด้วยเช่นกัน!
  เพราะเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้น..ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนของตระกูลหลิงนับสิบคน ต่างก็เดินทางไปยังคุนหลุนพร้อมกับนำหลิวเทวะวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลหลิงไปด้วย และหลังจากนั้นทั้งหมดก็ไม่มีผู้ใดได้กลับออกมาอีกเลย หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าทุกคนเป็นตายร้ายดีเช่นใด และอยู่ที่ใหนกันแน่?
  จากคำพูดที่หลุดออกจากปากของชายชุดเขียวนั้น..หลิงหยุนพอที่จะมั่นใจได้ว่าในอดีตประเทศนี้เคยมีปีศาจที่ฝึกตนบ่มเพาะ และดูเหมือนพวกมันจะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับประเทศนี้อย่างมาก
  ด้วยเหตุนี้..ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมานั้น เหล่าปีศาจจึงต้องอาศัยอยู่ตามป่าเขาที่ห่างไกล ไม่กล้ากล้ำกรายเข้ามาในเมืองหลวงดังที่โม่วู๋เตาเคยบอกกับเขาไว้…
  ‘ค่ายกลดักมังกร..หน่วยนภา.. หน่วยมังกร..’
  หลิงหยุนนั้นเป็นถึงปรมาจารย์ด้านค่ายกล..เขาจึงพอจะคาดเดาได้ว่าชายชุดเขียวนั้น น่าจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลค่ายกลแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นแล้ว เพียงแค่เจดีย์เก่าแก่สั่นสะเทือน เขาคงจะไม่ปรากฏตัวทันทีทันใดเช่นนี้เป็นแน่!
  เพียงแต่หลิงหยุนไม่คิดว่าชายผู้นี้จะมีพลังสูงส่งและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
  ชายชุดเขียวผู้นี้จะเป็นผู้ใดและหน่วยนภากับหน่วยมังกรจะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดนั้น หลิงหยุนเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ หลิงหยุนเชื่อว่ายอดฝีมือที่อยู่ในสองหน่วยนี้ย่อมไม่ธรรมดา และเขาเองก็ไม่อาจประมาทได้..
  ‘แต่ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร..ย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลงแห่งปักกิ่งอย่างแน่นอน!’
  เรื่องนี้หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ให้ซับซ้อนมากนักเพราะนี่คือค่ายกลดักมังกร และเมื่อมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมังกร ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับตระกูลหลงเช่นกัน!
  เป็นที่รู้กันดีว่า..ตระกูลหลงนั้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศนี้ และหากพบว่าที่ใดมีสิ่งของ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรแล้วล่ะก็ ตระกูลหลงไม่เคยที่จะปล่อยปละละเลย หรือไม่ใส่ใจอย่างแน่นอน อีกทั้งที่นี่ก็คือปักกิ่ง.. ยากนักที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวกับมังกรหลุดรอดพ้นหูพ้นตาคนตระกูลหลงไปได้!
  ในเมื่อค่ายกลดักมังกรนี้เป็นเพียงแค่บางส่วนของค่ายกลขนาดใหญ่ถ้าเช่นนั้นแล้วค่ายกลทั้งหมดจะมีอานุภาพที่น่ากลัว และอัศจรรย์มากเพียงใดกัน
  เมื่อคิดได้เช่นนี้..หลิงหยุนก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาทันที และอยากจะรีบออกไปสำรวจค่ายกลขนาดใหญ่ และน่าอัศจรรย์นี้โดยเร็วที่สุด!
  ‘ข้าอยากประมือกับชายชุดเขียวผู้นี้นักแม้ขั้นของเขาจะเหนือกว่าข้า แต่ข้าเชื่อว่าตัวข้าเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปน้อยกว่าเขาเลย!’