บทที่ 1114 ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“นี่..เจ้ามัวแต่คิดอะไรอยู่ ดึกๆ เช่นนี้พลังหยินยิ่งรุนแรงมากขึ้น เจ้ารีบนำหลิวเทวะวิญญาณออกมาเร็วเข้า มันจะได้ดูดเอาพลังหยินเข้าไปอีกมากๆ!”
  โม่วู๋เตาเห็นหลิงหยุนที่เอาแต่เหม่อลอยคล้ายคนกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่แล้วก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จานั้น เขาจึงได้รีบร้องเตือนหลิงหยุนให้นำหลิวเทวะวิญญาณออกมาจากแหวนพื้นที่..
  ดูเหมือนโม่วู๋เตาจะตื่นเต้นกับการทำให้หลิวเทวะวิญญาณเจริญเติบโตมากกว่าหลิงหยุนเสียอีก..
  นี่ก็เพิ่งจะผ่านเวลาเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่ประตูนรกเปิดไปได้ไม่นานและเมื่อเหล่าภูติผีวิญญาณพากันออกมาอย่างมากมายนั้น พลังหยินก็จะยิ่งรุนแรงกว่าเดิมมากมายหลายเท่านัก หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็ต้องรออีกครั้งในปีหน้า..
  “นั่นสิ!ข้าลืมเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
  หลิงหยุนถอนหายใจและรีบเรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมาจากแหวนพื้นที่ แต่ครั้งนี้เขาส่งหลิวเทวะวิญญาณให้กับโม่วู๋เตาเป็นผู้ถือแทน..
  “แต่ข้าว่าตามถนนแบบนี้พลังหยินคงจะไม่รุนแรงเหมือนที่เจดีย์เก่าแก่นั่น!” หลิงหยุนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา..
  “หึ..เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ! ที่นี่เป็นถนนในเมืองหลวง หากมีพลังหยินรุนแรงมากมายเช่นที่เจดีย์โบราณนั่น คงต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้วล่ะ!”
  “นี่หลิงหยุน..หากเจ้าไม่รู้อะไรก็ต้องหัดเงียบไว้บ้าง แล้วก็ต้องรู้จักหาความรู้ให้มาก หรือไม่ก็ฟังผู้อื่นพูดให้มาก!”
  โม่วู๋เตาอบรมหลิงหยุนเสียงเข้มจนหลิงหยุนที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับต้องพูดประชดประชันออกมา และคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก..
  “ได้..ได้.. ข้าฟังเจ้าพูดแล้ว! มีอะไรเจ้าก็รีบๆอธิบายมา..”
  “หลิงหยุน..เจ้าดูหลิวเทวะวิญญาณนี่สิ! ตอนนี้สูงจนไม่สามารถตั้งตรงในรถได้แล้ว!”
  หลังจากที่หลิวเทวะวิญญาณได้ดูดเอาพลังหยินมากมายจากเจเดีย์เก่าแก่เข้าไปมันก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ลำต้นของมันก็สูงมากกว่าสี่เมตรแล้ว หนำซ้ำยังมีกิ่งก้านแตกออกมาอีกมากมาย แต่ละก้านก็ยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งเมตร ใบของมันมีสีเขียวสดใส และตามลำต้นก็เริ่มมีหน่อใหม่ๆ งอกออกมาอีกมากมาย ซึ่งแตกต่างจากก่อนที่จะนำมารับหยินภายนอกมากนัก เวลานี้หลิวเทวะวิญญาณจึงดูลึกลับ และแปลกตาอย่างมาก..
  ยิ่งไปกว่านั้น..เวลานี้หลิวเทวะวิญญาณก็ได้มีรากงอกยาวออกมาจนหนาแน่น และรากของมันก็มีสีขาวและเหลืองผสมกัน
  มาถึงตอนนี้..หลิวเทวะวิญญาณเจริญเติบโตจนเป็นต้นไม้จริงๆแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กิ่งหลิวเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งที่ไม่ได้นำไปปลูกลงดินเลยแม้แต่น้อย
  เวลานี้กิ่งของหลิวเทวะวิญญาณยังคงโบกสะบัดไปมาและกำลังดูดเอาหยินที่อยู่ตามท้องถนนเข้าไปอย่างรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้มาก..
  “จุดหมายต่อไปคือที่ใด”
  โม่วู๋เตาหยิบแผนที่ออกมากางหลังจากเหลือบมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงยกมือขึ้นจิ้มไปยังสถานที่แห่งหนึ่งพร้อมกับร้องออกมาว่า
  “ที่นี่!”
  หลิงหยุนพยักหน้าและเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังฌาปนสถานที่โม่วู๋เตาชี้ทันที..
  “นี่..เจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสามสี่ชั่วโมง ระหว่างที่ผ่านสีแยก โรงพยาบาล หรือว่าป่าทึบ เจ้าก็ชะลอความเร็วลง หรือไม่ก็จอดให้หลิวเทวะวิญญาณดูดเอาพลังหยินเข้าไปด้วยก็ได้”
  เวลานี้หลิวเทวะวิญญาณที่เติบโตจนมีรากออกมาแล้วนั้นสามารถดูดเอาพลังหยินเข้าไปได้ในปริมาณที่มากกว่าเดิม และเร็วกว่าเดิมหลายเท่ามากนัก..
  และภายในหนึ่งชั่วโมง..หลิงหยุนก็ขับรถวนไปวนมาอยู่รอบเมือง และเมื่อพบว่าที่ใดมีพลังหยินรุนแรง เขาก็จะชะลอ หรือไม่ก็จอดให้หลิวเทวะดูดเอาพลังหยินเหล่านั้นเข้าไป!
  จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ขับรถไปยังฌาปนกิจสถานต่างๆรอบปักกิ่งต่อ..
  และเมื่อถึงเวลาตีสามครึ่ง..ภารกิจในการบ่มเพาะหลิวเทวะวิญญาณของหลิหยุนกับโม่วู๋เตาก็เป็นอันเสร็จสิ้น!
  “เจ้าดูสิ..ตอนนี้หลิวเทวะวิญญาณสูงเกือบจะหกเมตรแล้ว คงไม่สามารถยัดเข้าไปในรถได้อีกแล้วล่ะ!”
  โม่วู๋เตาร้องตะโกนบอกหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้นทั้งคู่ออกตระเวนอยู่ข้างนอกร่วมสี่ชั่วโมง และผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจยิ่งนัก..
  และเวลานี้หลิวเทวะวิญญาณที่สูงถึงหกเมตรนั้นก็โตจนเกือบจะไม่สามารถเก็บเข้าไปไว้ในแหวนพื้นทีได้เช่นกัน..
  หนำซ้ำหลิวเทวะวิญญาณที่ดูดเอาพลังหยินเข้าไปอย่างมากมายนั้นก็ได้ปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ออกมาอย่างต่อเนื่อง..
  “เอาล่ะ..สองสามวันนี้พวกเราคอยจับตามองหลิวเทวะวิญญาณอย่างใกล้ชิด ดูว่าจากนี้ไปมันจะให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์เพียงใดบ้าง”
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็เรียกหลิวเทวะกลับเข้าไปในแหวนพื้นทีและขับรถกลับตระกูลหลิงทันที!
  ……….
  หลิงหยุนกับโม่วู๋เตากลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงในเวลาตีสี่ครึ่งพอดี..
  แต่เพราะประตูบ้านตระกูลหลิงได้ถูกปิดแล้วหลิงหยุนจึงจอดรถไว้ด้านนอกดังเดิม และทั้งคู่ก็เข้ามาทางด้านประตูข้างแทน..
  ประตูด้านข้างของคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นโดยปกติจะถูกปิดไว้ตลอดและจะใช้เข้าออกได้เฉพาะบุคคลพิเศษอย่างสมาชิตระกูลหลิง และเหล่ากุ่ยเท่านั้น!
  และเพราะเหตุนี้ประตูข้างนี้จึงต้องมีคนคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้คนภายนอกสามารถเข้ามาได้..
  ทันทีที่โม่วู๋เตากับหลิงหยุนเข้าไปในบ้านทั้งคู่ก็ตรงเข้าไปยังสวนชั้นที่หกของคฤหาสน์ตระกูลหลิงทันที!
  และหลิงหยุนก็มองหาที่ที่เหมาะสมแล้วจัดการนำหลิวเทวะวิญญาณไปปลูกลงดิน..
  หลิงหยุนคิดว่าหลิวเทวะวิญญาณก็คือต้นไม่ชนิดหนึ่งในเมื่อเป็นต้นไม้ก็ควรที่จะนำไปปลูกลงบนดิน ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ตลอดเวลาเช่นนี้!
  ยิ่งไปกว่านั้น..หลิวเทวะวิญญาณต้นนี้ก็ได้ดูดเอาพลังหยินเข้าไปจนเจริญเติบโต และสูงกว่าเดิมถึงสองเมตร และเวลานี้ก็กำลังปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ที่บริสุทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้น หากปลูกไว้ในสวนเช่นนี้สมาชิกตระกูลหลิงคนอื่นๆ ก็ย่อมได้ประโยชน์ตามไปด้วย!
  ในยุคสมัยนี้แล้ว..พลังชีวิตบนผืนโลกค่อนข้างแร้นแค้น ทำให้ผู้บ่มเพาะตนนั้นสามารถฝึกฝนได้อย่างยากลำบาก เป็นผลให้การฝึกฝนล่าช้ากว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่มาก เรียกได้ว่าช้ายิ่งกว่าเต่าคลานเสียอีก!
  ตระกูลหลิงเป็นเจ้าของหลิวเทวะวิญญาณที่สามารถปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ที่บริสุทธิ์และทรงพลังเช่นนี้ นับว่าเหนือกว่าพลังชีวิตที่ถูกกักเก็บไว้ในค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนที่บ้านเลขที่-1 ในจิงฉูเสียอีก..
  พลังชีวิตธาตุไม้คือพลังที่ทำให้มนุษย์มีความสดชื่นแจ่มใสแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ หรือบ่มเพาะ หากร่างกายสัมผัสกับพลังชีวิตธาตุไม้ทุกๆวันเช่นนี้ คนผู้นั้นก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีชีวิตที่ยืนยาว!
  แต่หากเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธหรือบ่มเพาะ คนผู้นั้นนอกจากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ก็ยังจะมีพละกำลังในการฝึกฝน และใช้ความพยายามในการฝึกเพียงแค่กึ่งเดียว!
  และที่สำคัญหลิวเทวะวิญญาณเป็นมรดกตกทอดของตระกูลหลิงหากสมาชิกตระกูลหลิงที่ฝึกวิชาตามคัมภีร์เสวียนหวง สามารถดูดซับพลังชีวิตธาตุไม้จากหลิวเทวะวิญญาณเข้าไปทั้งวันทั้งคืนได้เช่นนี้ ก็จะทำให้การฝึกฝนของเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
  และสาเหตุที่หลิงหยุนเลือกที่จะนำหลิวเทวะวิญญาณปลูกลงดินนั้นก็ด้วยเหตุผลเพียงแค่สองประการ..
  ประการแรก..หลิงหยุนพบว่าหลิวเทวะวิญญาณนั้นปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ออกมา และจะแพร่กระจายอยู่เพียงแค่ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงเท่านั้น ไม่กระจายออกไปด้านนอก ซึ่งนับว่าดีกว่าค่ายกลหลุมพลังของเขามากมายนัก..
  และเหตุผลประการที่สองก็คือ..ต้นหลิวเทวะวิญญาณนี้มีความแข็งแกร่ง และยืดหยุ่นอย่างมาก แทบไม่ต้องพูดถึงลำต้นที่แข็งแกร่งเลย เพราะเพียงแค่กิ่งก้าน และรากที่งอกออกมานั้น ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนก็ยากที่จะใช้กระบี่ฟันขาดได้..
  หรือพูดง่ายๆก็คือว่าหลิวเทวะวิญญาณต้นนี้ มีความแข็งแรงทนทาน และยากต่อการถูกทำลาย!
  เพระหลังจากที่หลิงหยุนฝังต้นหลิวเทวะวิญญาณลงดินที่หน้าเจดีย์โบราณและดึงขึ้นมาอย่างรุนแรงนั้น เขากลับพบว่ารากของหลิวเทวะวิญญาณที่เพิ่งงอกใหม่นั้นไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย
  และนั่นทำให้หลิงหยุนเกิดความคิดว่า..เขาอาจจะนำกิ่งของหลิวเทวะมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับศัตรูก็ได้!
  เดิมทีหลิงหยุนคิดว่าจะทดสอบความแข็งแกร่งของหลิวเทวะวิญญาณด้วยการใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ฟันลงไปที่ลำต้นของมัน แต่แล้วเขาก็ได้ล้มเลิกความคิด เพราะหลิงหยุนสัมผัสได้ว่าหลิวเทวะวิญญาณนั้นเฉลียวฉลาดยิ่งนัก และหากเขาทำเช่นนั้นมันคงต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน! ไอลีนโนเวล
  โม่วู๋เตาที่เห็นหลิงหยุนปลูกหลิวเทวะวิญญาณลงไปในพื้นดินนั้นก็ได้แต่ถามขึ้นว่า “นี่เจ้าจะปลูกหลิวเทวะวิญญาณไว้ที่นี่จริงๆรึ”
  หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและตอบกลับไปทันที “ก็ถ้าหลิวเทวะวิญญาณยังเป็นเพียงแค่กิ่งไม้เหมือนก่อน ข้าก็คงเก็บมันไว้ในแหวนพื้นที่ แต่นี่มันได้เติบโตเป็นต้นไม้แล้ว จึงสมควรที่จะต้องปลูกลงดินไม่ใช่รึ”
  ระหว่างที่หลิงหยุนตอบโม่วู๋เตานั้น..เขาก็สังเกตเห็นหลิวเทวะวิญญาณเริ่มโบกสะบัดไปมา ราวกับว่ากำลังพยักหน้าแทนคำขอบคุณในสิ่งที่หลิงหยุนทำ..
  ‘มรดกตระกูลหลิงช่างน่าทึ่งนัก!’
  หลิงหยุนจ้องมองหลิวเทวะวิญญาณที่โบกสะบัดไปมาและได้แต่ยิ้มเมื่อรู้ว่าหลิวเทวะวิญญาณสามารถเข้าใจในสิ่งที่ตนเองพูด!
  โม่วู๋เตาเข้าใจแต่ก็อดที่จะถามออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “แล้วหากมีคนมาแอบขโมยไปเล่า”
  นี่คือหลิวเทวะวิญญาณที่หลิงหยุนกับโม่วู๋เตาช่วยกันบ่มเพาะมาเกือบตลอดทั้งคืนต้นหลิวเล็กๆต้นนี้จึงเป็นเสมือนยิ่งกว่าลูกน้อยของโม่วู๋เตา เขาจึงกังวลใจว่าจะมีคนมาขโมยมันไป..
  หลิงหยุนจึงตอบกลับยิ้มๆ“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน่า.. ข้าไม่ปล่อยให้ผู้ใดมาขโมยมรดกตระกูลหลิงไปได้แน่!”
  และแน่นอนว่าหากผู้ใดต้องการจะขโมยจริงๆหากคนผู้นั้นไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้ จุดจบของมันผู้นั้นก็คือความตาย..
  โม่วู๋เตายื่นมืออกไปลูบไล้หลิวเทวะวิญญาณอย่างทะนุถนอมราวกับกำลังลูบไล้ใบหน้าของหญิงอันเป็นที่รัก
  “ข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี..”
  หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจออกมา“เฮ้อ.. ก็ถ้าเจ้าเป็นห่วงหลิวเทวะวิญญาณถึงเพียงนี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่เฝ้ามันไว้ก็แล้วกัน..”
  พูดจบ..หลิงหยุนก็หันหลังเดินจากไปทันที!
  โม่วู๋เตาไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ปล่อยหลิวเทวะวิญญาณไว้เพียงลำพัง แล้ววิ่งตามหลิงหยุนไปพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
  “นี่..เจ้ารอข้าด้วยสิ!”
  ทั้งสองคนเดินเข้าไปยังสวนชั้นที่เจ็ดของคฤหาสนต์ตระกูลหลิงและเป็นที่ที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงชั่วคราว..
  “เอาล่ะ..ข้าจะไปนอนแล้ว ตระเวนอยู่ข้างนอกทั้งคืน ตอนนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก!” โม่วู๋เตาร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับหาวนอน
  หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า“เช้าที่สดใสเช่นนี้เหมาะแก่การฝึกฝนวิชายิ่งนัก เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่นอนและเกียจคร้านเช่นนี้ แล้วเจ้าจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้อย่างไรกัน?”
  หลิงหยุนร้องบอกโม่วู๋เตาด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะเวลานี้โม่วู๋เตาก็เหมือนกับน้องชายของเขาคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการเห็นโม่วู๋เตากินๆนอนๆ แล้วก็ตายไปอย่างเกียจคร้าน..
  แต่โม่วู๋เตาตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ“เจ้าอยากจะฝึกก็เชิญ! ข้าไม่สนใจ..”
  “อีกอย่าง..ร่างกายของข้าก็ไม่ได้ทำด้วยเหล็กกล้า เมื่อคืนก็แทบไม่ได้หลับได้นอน ใครจะเหมือนเจ้าที่นั่งว่างไม่มีอะไรจะทำเล่า..”
  โม่วู๋เตาพูดยังไม่ทันจบดีด้วยซ้ำไปร่างของเขาก็พุ่งไปทางห้องนอนของตนเองโดยไม่รอฟังว่าหลิงหยุนจะพูดอะไร..
  หลิงหยุนร้องตะโกนไล่หลังไปอย่างโมโห..“นี่! เจ้ายังไปนอนไม่ได้ เจ้าต้องฝึกวิชาก่อน!”
  เสียงโม่วู๋เตาร้องตะโกนตอบกลับมาด้วยความโมโห“เจ้าเป็นใครกัน อาจารย์ของข้ายังห้ามไม่ให้ข้านอนไม่ได้เลย!”
  หลิงหยุนจ้องมองโม่วู๋เตาด้วยความโมโหพร้อมกับร้องตะโกนออกไป “ได้.. อยากนอนก็ตามใจ เชิญเจ้นอนตามสบายเลย!”
  “แต่หากเจ้าอยากจะติดตามข้าไปที่ต่างๆเจ้าต้องเริ่มฝึกฝนวิชาอย่างจริงจังมากกว่านี้ เพราะหากเจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้ หากติดตามข้าไปก็รังแต่จะได้รับอันตราย!”
  “เจ้าดูอย่างคืนนี้สิ!หากชายผู้นั้นพบเจ้ากับข้า อย่าว่าแต่ชีวิตเจ้าเลย แม้แต่ชีวิตของข้าเองก็ยังอยู่ในอันตราย!”
  หลิงหยุนร้องบอกโม่วู๋เตาเพราะหลิงหยุนนั้นเห็นโม่วู๋เตาเป็นเสมือนน้องชาย จึงได้แต่เป็นห่วงชีวิตของเขา เพราะหากวันข้างหน้าทั้งคู่ต้องออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆด้วยกัน เขาก็ยากที่จะปกป้องโม่วู๋เตาราวกับเด็กน้อยได้..
  เขาจึงต้องบังคับโม่วู๋เตาให้ขยันฝึกฝนวิชาให้จงได้!
  โม่วู่เตานิ่งพร้อมกับถอนหายใจเสียงดังและตะโกนตอบหลิงหยุนกลับไปว่า “เฮ้อ.. ได้ๆ ฝึกก็ฝึก! แต่วิชาของสำนักเหมาซานข้าคือการฝึกสมาธิ..”
  หลิงหยุนถึงกับส่ายหัวและตอบกลับไปทันที“ใครจะให้เจ้าฝึกวิชาเหมาซานกันเล่า ข้าจะสอนวิชาของข้าให้กับเจ้า! ตามข้ามา..”
  จากนั้น..โม่วู๋เตาก็ตามหลิงหยุนไปหามุมสงบนั่งขัดสมาธิ และหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “วิชาที่ข้าจะสอนให้กับเจ้าเรียกว่าวิชาดาราคุ้มกาย!”
  และในเวลารุ่งเช้าเช่นนี้..หลิงหยุนย่อมต้องฝึกวิชาดาราคุ้มกายอย่างแน่นอน!