สำหรับการต่อสู้นั้น..หากจะรักษาชีวิตไว้ได้จำเป็นที่จะต้องมีสามสิ่งนี้ ซึ่งก็คือการป้องกันที่แข็งแกร่ง วิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ และความสามารถในการหลบซ่อนพรางตัว
สำหรับหลิงหยุน..วิชาที่ใช้ป้องกันตัวที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือวิชาดาราคุ้มกาย!
วิชาดาราคุ้มกายนั้นเป็นวิชาที่ฝึกฝนด้วยการดูดซับเอาพลังสุริยะที่ร้อนแรงพลังจันทราแข็งแกร่ง และพลังดวงดาวนับล้านๆดวงเข้าไปในร่างกาย พลังทั้งสามนี้ไม่เพียงสร้างให้ผู้ฝึกมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ผู้ฝึกฝนวิชานี้ยังจะมีพลังที่แข็งแกร่งอีกด้วย
สำหรับวิชาตัวเบานั้น..ในเมื่อโม่วู๋เตาอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว จึงนับว่ามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่พอควร หลิงหยุนจึงตั้งใจที่จะถ่ายทอดวิชามังกรพรางร่างให้ เพราะวิชานี้เป็นวิชาที่สามารถใช้หลบหลีกคู่ต่อสู้ หรือแม้กระทั่งหลบหนีได้เป็นอย่างดี
นอกจากวิชาตัวเบาที่ใช้หลบหนีคู่ต่อสู้แล้วก็ต้องมีวิชาที่สามารถใช้พรางตัวคู่ต่อสู้ในยามคับขันได้ และก็คงไม่มีวิชาใดที่จะล้ำเลิศไปกว่าวิชาเคลื่อนย้ายธาตุอีกแล้ว เพราะผู้ที่ใช้วิชานี้หลบซ่อนตัว แม้แต่ผู้ที่มีจิตหยั่งรู้ก็ยังไม่สามารถหาพบได้ เพียงแต่เวลานี้โม่วู๋เตายังห่างไกลที่จะสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้..
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงตั้งใจที่จะสอนวิชาที่ใช้สำหรับพรางตัวอย่างวิชาเต่าหายใจหรือวิชาศิลาและซากไม้ให้กับโม่วู๋เตาแทน..
การฝึกวรยุทธนั้นสำคัญคือความก้าวหน้าแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรเร่งรีบ เพราะหากรีบเร่งจนเกินไปก็อาจเกิดผลร้ายได้ หลิงหยุนจึงเลือกที่จะสอนเพียงแค่วิชาดาราคุ้มกายให้กับโม่วู๋เตาก่อน เพื่อที่โม่วู๋เตาจะได้พัฒนาร่างกายของตนเองให้แข็งแกร่งจนสามารถป้องกันศตราวุธได้..
อีกทั้งวิชาดาราคุ้มกายนั้นเป็นวิชาที่ผู้เริ่มต้นจะสามารถฝึกฝนได้อย่างง่ายดายหากผู้ฝึกมีความเข้าอกเข้าใจก็จะสามารถลงมือฝึกฝนได้ทันที เพียงแต่ยิ่งฝึกขึ้นไปถึงขั้นที่สูงมากขึ้นเท่าไหร่ ความยากก็จะยิ่งทวีสูงขึ้นไปตามลำดับด้วย นั่นเพราะยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งเป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดที่สูงขึ้นมากเรื่อยๆเช่นกัน และหากไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดที่สูงขึ้นได้ ก็ยากที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นต่อไปได้เช่นกัน
แม้กระทั่งตัวหลิงหยุนเอง..เขาฝึกวิชาดาราคุ้มกายมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดของขั้นที่สองเท่านั้น แม้กระทั่งเวลานี้ที่หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่แล้ว แม้เขาจะเฝ้าฝึกฝนดาราคุ้มกายอย่างหนักหน่วงมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่สามารถข้ามขึ้นสู่ขั้นที่สามได้เสียที และนี่แสดงให้เห็นว่าวิชาดาราคุ้มกายนั้นเป็นวิชาที่ยิ่งสูงก็ยิ่งสำเร็จยาก..
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ยังเลือกที่จะฝึกฝนวิชานี้นั่นเพราะผลลัพธ์ที่จะได้จากการฝึกดาราคุ้มกายนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
หลังจากที่โม่วู๋เตากับหลิงหยุนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วหลิงหยุนก็ได้บอกเคล็ดวิชาดาราคุ้มกายให้โมู่วู๋เตาฟังผ่านกระแสจิต และค่อยๆอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
โบราณว่า..กำแพงมีหูประตูมีช่อง วิชาที่ล้ำเลิศเช่นนี้ หลิงหยุนจึงต้องสอนโม่วู๋เตาผ่านกระแสจิต
โม่วู๋เตาเองก็จัดเป็นคนประเภทเดียวกับหลิงหยุนที่เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ต่อให้ไม่ได้มีใจรัก หรือว่าชื่นชอบ เมื่อตัดสินใจที่จะลงมือทำแล้ว เขาก็จะต้องใจทำมันอย่างดีที่สุดเช่นกัน!
ในเมื่อยอมนั่งขัดสมาธิฝึกฝนวิชากับหลิงหยุนและยอมทิ้งเวลาอันมีค่าอย่างการนอนไปแล้ว โม่วู๋เตาจึงตั้งใจฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง ส่วนหลิงหยุนเองก็ตั้งอกตั้งใจสอน อีกทั้งโม่วู๋เตาเองก็นับเป็นคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เพราะหากเขาไม่เฉลียวฉลาดก็คงยากที่จะได้เป็นศิษย์เหมาซาน และยากที่อาจารย์ของเขาจะยอมถ่ายทอดวิชาให้..
เพียงแค่ครั้งแรกโม่วู๋เตาก็สามารถจดจำเคล็ดวิชาดาราคุ้มกายได้อย่างแม่นยำหลังจากได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดจากหลิงหยุน โม่วู๋เตาก็สามารถเข้าใจพื้นฐานการฝึกวิชานี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และยังสามารถเข้าใจรายละเอียดที่ซับซ้อนได้ ที่สำคัญ.. โม่วู๋เตาสามารถจับหลักสำคัญๆของวิชาดาราคุ้มกายได้อีกด้วย..
หลังจากนั้น..โม่วู๋เตาก็หลับตาเดินลมปราณ และเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกายด้วยตัวเองทันที!
‘คิดไม่ถึงว่าในเหล่านักพรตจะมีเพชรเม็ดงามเช่นนี้อยู่ด้วย!’
หลังจากที่เห็นโม่วู๋เตาลงมือฝึกฝนวิชาด้วยตัวเองแล้วหลิงหยุนก็ได้แต่นึกชื่นชมอยู่ในใจ นั่นเพราะหลิงหยุนเองก็เคยสอนวิชานี้ให้กับคนอื่นๆมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหนิงหลิงยู่ ฉินตงเฉี่วย ตี้เสี่ยวอู๋ หลิงลี่ และอีกหลายคน แต่ทุกคนต่างก็ต้องฟังเขาอธิบายอยู่ถึงสามรอบ จึงจะสามารถลงมือฝึกฝนด้วยตนเองได้..
‘เจ้านักพรตน้อยผู้นี้มีพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดเลยทีเดียว!’
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเขานั่งมองโม่วู๋เตาฝึกฝนอยู่อย่างเงียบๆ และคอยกำกับ และบอกเคล็ดลับให้อย่างไม่คิดที่จะปิดบัง..
ในเรื่องของวรยุทธที่จะใช้สำหรับการต่อสู้นั้นหลิงหยุนยังไม่รีบร้อนที่จะสอนนัก เมื่อเห็นว่าการฝึกวิชาของโม่วู๋เตาเป็นไปอย่างราบรื่น เขาจึงเริ่มหลับตาลง และฝึกดาราคุ้มกายด้วยเช่นกัน
หลิงหยุนมุ่งมั่นฝึกดาราคุ้มกายอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะสัมผัสได้ว่าตนเองนั้นใกล้ที่จะสามารถข้ามขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว..
วิชาดาราคุ้มกายนั้นมีทั้งหมดเจ็ดขั้นใหญ่แต่ละขั้นใหญ่ก็จะมีเจ็ดระดับย่อย..
ขั้นที่หนึ่งเป็นขั้นของการเริ่มต้นฝึกฝนในขั้นนี้จึงเป็นการนำเอาความร้อนจากพลังสุริยะเข้าไปชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ พลังสุริยะที่ร้อนดั่งไฟนี้จะทำหน้าที่กำจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกจากร่างกาย เพื่อทำให้ผิวหนังของผู้ฝึกนั้นค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ฝึกวิชานี้จะเสมือนหนึ่งมีเสื้อเกราะที่แข็งแรงปกคลุมร่างกาย
ขั้นที่สองนั้นเป็นความต่อเนื่องมาจากขั้นที่หนึ่งหากผู้ฝึกสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของดาราคุ้มกายขั้นที่สองได้ ร่างกายของคนผู้นั้นจะมีความบริสุทธิ์อย่างที่สุด เสมือนสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว ในเมื่อร่างกายไร้ซึ่งสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าน้ำ ไฟ หรือพิษก็ไม่จะอาจกล้ำกรายทำร้ายร่างกายของคนผู้นั้นได้..
ขั้นที่สามนั้นเรียกว่าการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอวัยวะภายในร่างกายรวมทั้งอวัยวะสำคัญอื่นๆของร่างกายด้วย เช่นดวงตา ลำคอ หัวใจ ส่วนล่างของร่างกาย แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย
การที่หลิงหยุนต้องการที่จะเข้าสู่ขั้นที่สามของดาราคุ้มกายให้เร็วนั้นเขาย่อมต้องมีเหตุผล..
นั่นเพราะตราบใดที่หลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นที่สามของดาราคุ้มกายได้เขาก็จะสามารถนำเอาพลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาวนับล้านๆดวงนี้ มาชำระล้างอวัยวะภายในให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น และกระบี่เหินเงาธนูที่อยู่ในร่างกายของเขานั้น ก็จะได้รับอานิสงค์จากพลังทั้งสาม และจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!
ทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกดาราคุ้มกายจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสามชั่วโมง ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเจิดจ้ามากขึ้น และเสียงผู้คนที่ตื่นขึ้นมายามเช้าก็เริ่มดังแว่วมาแต่ไกล หลิงหยุนจึงหยุดการฝึกฝน และลืมตาขึ้น..
ริมฝีปากของหลิงหยุนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เวลานี้เขารับรู้ได้ว่าตนเองนั้นเข้าใกล้ที่จะขึ้นสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่สามเข้าไปทุกทีแล้ว..
‘อย่างน้อยในวันที่15 สิงหาคมนี้ ข้าก็ควรจะเข้าสู่ขั้นที่สามได้แล้ว!’ หลิงหยุนมั่นใจเช่นนั้น..
นั่นเพราะเดือนหกเดือนเจ็ด และเดือนแปดของทุกปีนั้น จะเป็นเดือนที่ประเทศจีนมีอากาศร้อนที่สุด และตามแนวโคจรของดวงจันทร์แล้ว ในคืน 15 ค่ำเดือน 8 นั้นก็ยังเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย และเป็นคืนแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในคืนนั้นจึงเป็นคืนที่มีแสงจันทร์จะมีพลังแข็งแกร่งที่สุด และเป็นคืนที่มักจะเกิดปรากฏการณ์ทางช้างเผือก ที่เหล่าดวงดารานับล้านๆดวงจะมารวมกันมากที่สุดในรอบปี..
ในเมื่อสามองค์ประกอบสำคัญของการฝึกวิชาดาราคุ้มกายลงตัวพร้อมกันเช่นนี้หลิงหยุนจึงเชื่อว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นที่สามของดาราคุ้มกายได้สำเร็จอย่างแน่นอน!
“เฮ้อ..ช่างน่าเสียดายนักที่โลกใบนี้มีดวงอาทิตย์เพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น!”
หลิงหยุนคิดแล้วก็ตื่นเต้นจึงได้แต่ร้องออกมาอย่างเสียดายพร้อมกับทำสีหน้าผิดหวังเพราะในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นมีดวงอาทิตย์ถึงห้าดวงเลยทีเดียว..
“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือยังไงเจ้าอยากจะให้โลกนี้มีดวงอาทิตย์กี่ดวงกัน? เพราะที่ผ่านมาโลกเราก็มีดวงอาทิตย์ถึงสิบดวงแล้ว แต่ถูกโฮ่วอี้ยิงตกไปถึงเก้าดวง..”
โม่วู๋เตาที่ฝึกเสร็จพอดีเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนจึงได้แต่แย้งขึ้นมา..
“ก็แค่ตำนานเรื่องเล่า..”
หลิงหยุนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจระหว่างนั้นก็ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูโม่วู๋เตา และพบว่าโม่วู๋เตาสามารถเข้าสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่หนึ่งได้แล้ว..
“นี่นักพรตน้อย..คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศถึงเพียงนี้! แต่ก็เพียงแค่หนึ่งในห้าของของข้าเท่านั้น!” หลิงหยุนหยอกเย้าโม่วู๋เตา
“หึ..หัดรู้จักถ่อมตัวบ้าง!”
โม่วุ๋เตาเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้หลิงหยุนเช่นกันแต่ถึงกระนั้นเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นกับผลลัพธ์ของการฝึกฝนเมื่อครู่นี้มาก!
“นี่..จะว่าไปวิชาที่เจ้าสอนให้ก็เหมาะกับข้ามากจริงๆ ข้ามักตื่นในยามค่ำคืน และไม่ว่าที่ใดมีดวงจันทร์และดวงดาว ข้าก็สามารถฝึกฝนได้แล้ว! novel-lucky
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่เลวเลยนี่.. เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องทีเดียว! ข้ารู้ว่าจุดเด่นของเจ้าคือเรื่องนี้ ข้าจึงเลือกที่จะสอนวิชานี้ให้กับเจ้า อีกอย่าง.. ข้ามักจะสอนวิชาให้เหมาะกับธาตุของศิษย์แต่ละคน และจุดเด่นของพวกเขา!”
“ฮ่า..ฮ่า..”
โม่วู๋เตาหัวเราะออกมาพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้หลิงหยุน“ยอดเยี่ยมที่สุด! ข้าจะขยันฝึกฝนให้ก้าวหน้าโดยเร็ว”
“แต่นี่ก็เช้าแล้ว..หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้าก็จะได้ไปนอน..”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของโม่วู๋เตาประโยคแรกก็นึกชื่นชมอยู่ในใจแต่เมื่อได้ฟังประโยคต่อมาซึ่งเป็นการย้ำธาตุแท้ที่ขี้เกียจของโม่วู๋เตา หลิงหยุนก็ถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมกับตะโกนดุเสียงดัง
“เจ้านี่มันเข็นไม่ขึ้นเลยจริงๆ!วันๆก็คิดแต่เรื่องนอนๆๆ!”
โม่วู๋เตาเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันเขาจัดการใช้มือปัดดินที่ติดตามตัว และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง..
“เจ้าจะไปรู้อะไร!สิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์เรานั้นก็มีเพียงเรื่องกินกับเรื่องนอนนี่ล่ะ! ตอนนี้ข้าเองก็หิวมากแล้ว พวกเรารีบๆไปหาข้าวเช้ากินกันดีกว่า กินเสร็จข้าก็จะได้รีบไปนอน!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าโม่วู๋เตานั้นได้มาถึงจำกัดขีดสูงสุดของตนเองแล้วครั้งนี้เขาจึงไม่ห้ามปราม และไม่พูดอะไรอีก แต่กลับชวนโม่วู๋เตาเข้าไปในห้องของตนเองแทน และจัดการสั่งให้คนทำอาหารเช้ามาเสริฟให้ที่ห้อง
ทั้งสองคนนั่งกินอาหารเช้าด้วยกันจนเสร็จเรียบร้อยหลังจากนั้นโม่วู๋เตาก็ไม่สนใจที่จะรอฟังหลิงหยุนพูดอะไรอีก เขารีบวิ่งเข้าไปยังห้องนอนของตนเองเพื่อกลับไปนอนทันที
หลิงหยุนส่ายหน้ายิ้มๆเขาสั่งให้คนมาเก็บสำรับกลับไป จากนั้นจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และออกห้องไปหาหลิงลี่ที่บ้าน..
เวลานี้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้นทรงพลังมากและพลังจิตก็แข็งแกร่งยิ่งนัก การไม่ได้หลับได้นอนติดต่อกันนานๆหลายคืน จึงไม่ได้สร้างปัญหาให้กับหลิงหยุน
หลิงลี่เพิ่งจะผ่านคืนแห่งความสุขและความเศร้ามาพร้อมๆกัน สภาพจิตใจ และอารมณ์จึงนับว่าได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
…
“หลิงหยุน..วันนี้มาหาข้าแต่เช้า เข้ามสิ!”
ทันทีที่เสียงของหลิงลี่ดังขึ้นหลิงหยุนจึงเดินตรงเข้าไปในบ้านทันที และพบว่าด้านในยังมีอีกสองนั่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือหลิงเสี่ยวกับหลิงเย่ว แต่ไม่มีอดีตผู้นำตระกูลหลิงอย่างหลิงเจิ้น..
“ท่านปู่..ท่านพ่อ.. ลุงสอง..” ทันทีที่เข้าไปในบ้านหลิงหยุนก็เอ่ยทักทายทั้งสามคนทันที
“หลิงหยุน..เจ้าเข้ามานั่งคุยกันก่อนสิ!”
ดวงตาของหลิงลี่นั้นยังคงแดงก่ำแสดงให้เห็นว่าเขาเจ็บปวดและเสียใจมากเพียงใด แต่ถึงกระนั้นหลิงลี่ก็ยังปฏิบัติต่อหลิงหยุนเช่นเคย ชายชราเดินเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับพาเข้าไปนั่ง..
“ท่านปู่..ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาขอขมาท่านปู่ หากเมื่อคืนนี้หลานได้ทำสิ่งใดให้ท่านปู่เสียใจ หรือขุ่นข้องหมองใจ ขอท่านปู่ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย! ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้าเอง..”
ทันทีที่เข้าไปในห้อง..สิ่งแรกที่หลิงหยุนทำก็คือการสารภาพผิด และเอ่ยขออภัยจากชายชรา หลิงหยุนรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่เขาสมควรต้องทำ..
หลิงลี่รีบโบกมือห้ามพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนั้น เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าที่ใหนกัน ปู่บอกเจ้าแล้วว่าถึงอย่างไรโทษของหลิงห่าวก็คือโทษตาย หากเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นนับจากนี้ ปู่จะอยู่เคียงข้างเจ้าเอง!”
“หากปู่คิดว่าเรื่องเมื่อคืนเจ้าเป็นฝ่ายผิดปู่ยังจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้นำตระกูลหลิงงั้นรึ”
และการที่หลิงลี่แต่งตั้งให้หลิงหยุนขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแทนหลิงเจิ้นนั้นก็เป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดี และทำให้การสังหารหลิงห่าวของหลิงหยุนเมื่อคืนนี้ได้รับความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น
ทุกคนในตระกูลหลิงก็เข้าใจเรื่องนี้กันอย่างกระจ่างแจ้งว่าการตายของหลิงห่าวนั้นเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง!
“หลิงหยุน..เมื่อคืนหลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ข้าก็ได้พูดคุยกับพ่อของเจ้า และลุงทั้งสองต่อ พวกเราคุยกันว่าคงจะต้องขับหลิงห่าวออกจากตระกูล ลบชื่อของเขาออกจากบันทึกตระกูลหลิง และห้ามนำร่างของเขาฝังที่สุสานตระกูลหลิงอีกด้วย..”
“เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
หลังจากที่หลิงหยุนนั่งลงหลิงลี่ก็เปิดประเด็นเรื่องของหลิงห่าวทันที หลิงหยุนได้ฟังจึงรีบตอบกลับไปว่า
“ท่านปู่..ในเมื่อหลิงห่าวก็ตายไปแล้ว เรื่องนี้แล้วแต่ท่านจะจัดการ!”
สำหรับหลิงหยุนนั้น..เขามีหน้าที่ปลิดชีวิตของหลิงห่าวเท่านั้น เพราะไม่สามารถปล่อยให้คนผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชื่อตระกูลหลิงได้อีก และในเมื่อหลิงห่าวเสียชีวิตไปแล้ว ความคับแค้นใจของเขาที่มีต่อหลิงห่าวก็เป็นอันว่าจบสิ้น ส่วนร่างไร้วิญญาณของหลิงห่าวนั้น ใครจัดการเช่นใดเขาไม่ได้ใส่ใจ..”
“หลิงหยุน..เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสารหลิงห่าว บทลงโทษทั้งสามข้อนี้เป็นกฏตระกูลหลิง และความผิดของหลิงห่าวก็นับว่าสมควรยิ่งนัก..”
“หนำซ้ำบทลงโทษทั้งสามข้อนี้ลุงใหญ่ของเจ้าก็เป็นผู้เสนอเอง เจ้าไม่ต้องกังวลใจว่าจะเกิดปัญหาตามมา..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่นึกตกใจและได้แต่แอบคิดในใจว่าหลิงเจิ้นนั้นลงโทษลูกชายรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ
แต่สำหรับหลิงเจิ้นแล้ว..นี่คือการทำให้ตนเองสะอาดไร้มลทินอย่างที่สุดแล้ว ต่อไปคนอื่นๆจะไม่จับตามองเขาอีก!
“เรื่องนี้พี่หลิงหย่งคิดเห็นเช่นใดบ้าง”หลิงหยุนเป็นห่วงความรู้สึกของหลิงหย่งมากกว่า
จู่ๆหลิงเย่วก็เสริมขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เจ้าไม่ต้องกังวลใจเรื่องของหลิงหย่งไป เด็กคนนี้เป็นคนที่มีเหตุผล และมีนิสัยตรงไปตรงมา เขารู้จักอุปนิสัยใจคอของหลิงห่าวดีกว่าใครๆทั้งหมด และรู้ว่าโทษของหลิงห่าวนั้นสมควรตาย เขาไม่นึกตำหนิเจ้าแน่!”
หลิงเสี่ยวเองก็พูดต่อว่า“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ไปพบหลิงหย่ง พูดจาทำความเข้าใจกับเขาเสียล่ะ..”
หลิงเสี่ยวขอให้หลิงหยุนไปพูดจาปรับความเข้าใจกับหลิงหย่งนั้นความจริงแล้วก็เพื่อขอให้หลิงหยุนไปช่วยรักษาเยียวยาจิตใจของหลิงหย่งนั่นเอง..
หลิงหยุนลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ครับท่านพ่อ.. ลูกจะปฏิบัติตาม!”
พ่อลูกไม่จำเป็นต้องแค้นเคืองกันข้ามคืน..การปะทะคารมระหว่างหลิงหยุนกับหลิงเสี่ยวเมื่อคืนนั้น หลิงหุยนเข้าใจความรู้สึกของหลิงเสียวในเวลานั้นได้ดี เขารู้ว่าหลิงเสี่ยวรักเขามากที่สุด แต่จำต้องพูดออกมาเช่นนั้น..
หลิงลี่จึงเสริมขึ้นต่อว่า“หลิงหยุน.. เรื่องของหลิงหาวเจ้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว ร่างของเขาจะถูกนำไปฝังทันที ไม่มีพิธีศพใดๆทั้งสิ้น และจะประกาศต่อคนภายนอกว่าหลิงห่าวฝึกฝนวิชาจนธาตุไฟแตกซ่านกลายเป็นมาร และตายในที่สุด!”
เรื่องอัปยศภายในตระกูลใหญ่นั้นล้วนเป็นเรื่องที่จะไม่เปิดเผยให้คนภายนอกได้รับรู้ เรื่องของหลิงห่าวจึงต้องถูกจัดการด้วยความรวดเร็ว และหลิงหยุนก็คร้านที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหลิงห่าว เขาจึงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น..
เวลานี้สมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามรุ่นคือ..ปู่.. ลูก.. และหลาน ต่างก็นั่งพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน และไม่พูดเรื่องของหลิงห่าวอีกเลย แต่เรื่องที่สนทนากันนั้นก็ล้วนเกี่ยวกับเรื่องมรดกตระกูลหลิงที่เปลี่ยนไปอย่างหลิวเทวะวิญญาณ..
หลิงหยุนเองก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาได้เล่าให้ทุกคนฟังว่าเมื่อคืนนี้ตนเองได้นำหลิวเทวะวิญญาณออกไปบ่มเพาะด้วยการดูดซับพลังหยิน และทั้งสามคนก็ถึงกับตกใจอย่างมาก
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็เลือกที่จะไม่เล่าเรื่องของชายชุดเขียวให้กับทั้งสามคนฟังเพราะที่ผ่านมาตระกูลหลิงตกต่ำมานานหลายปี และหลุดจากวงจรจุดสูงสุดของประเทศจีนมาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาจึงไม่น่าจะรู้เรื่องภารกิจลึกลับของหน่วยนภากับหน่วยมังกร หรืออาจจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำไป..
แต่ในระหว่าางที่พูดคุยกันอยู่นั้นจู่ๆ เหล่ากุ่ยก็เลิ่กลั่กเข้ามา หลังจากทักทายทุกคนแล้วจึงหันไปรายงานหลิงหยุนว่า
“นายน้อยสี่..จ้าวผิงถูกจับตัวมาแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้!”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับถามขึ้นว่า“เยี่ยม.. แล้วมันพูดอะไรออกมาบ้าง”
เหล่ากุ่ยรายงานต่อทันที“จ้าวผิงได้รับสารภาพทุกอย่าง สิ่งที่เขาพูดนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากที่นายน้อยสืบค้นมา.. มีเพียงแค่เรื่อง..”