บทที่ 137 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 137 เรื่องกวนใจรอบสอง (6)
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อี้เป่ยเฉินก็ไม่ได้จงใจหลบหน้าอี้เป่ยซีอีก ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ค่อยๆ ดีขึ้น แผนของเธอก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เพลงบทนั้นก็เสร็จสมบูณ์อย่างเร่งรีบ
เชียนฉิน: หลิงซี เพลงนี้เพราะมากจริงๆ ผู้หญิงที่ร้องคือใครเหรอ เสียงช่างจับใจฉันเหลือเกิน
หลิงซี: เพื่อนสนิทของฉันคนนึง แต่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องร้องเพลงเลย อย่าคิดจะดึงเขาเข้ามาล่ะ
เชียนฉิน: จริงเหรอ ไม่มีความเป็นไปได้เลยเหรอ เฮ้อ งั้นช่างมันเถอะ
หลิงซี: เพลงนี้ รอสักสิบวันค่อยเผยแพร่เถอะ
เชียนฉิน: ว่าไงนะ? ฉันรอไม่ไหวอยากจะแผยแพร่มันไปตอนนี้เลย เธอไม่รู้ จะต้องมีคนชอบเยอะมากแน่ๆ อวดคนรักกันแบบนี้จะต้องมีคนชอบเยอะแน่ๆ
หลิงซี: จะอวดทั้งทีก็ต้องอวดในเวลาที่เหมาะสมนะ
เชียนฉิน: นั่นสิ ฉันลืมไปแล้วว่ามีเทศกาลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เพราะฉันเป็นโสดมานาน หลิงซี เธอมีความรักแล้วเหรอ?
หลิงซี: [ปิดหน้า] [เขินอาย]
เชียนฉิน: คนในวงการ?
อี้เป่ยซีกัดนิ้ว เขาแค่ร้องเพลงเดียวโดยไม่ระบุชื่อเท่านั้น แน่นอนว่าไม่นับว่าเป็นคนในวงการ
หลิงซี: ไม่เชิง คือว่าฉันยังมีธุระ ไม่คุยกับคุณแล้ว
เชียนฉิน: โอเค
อี้เป่ยซียิ้มพลางนำเข้าไฟล์ไว้ในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เอนลงบนเตียงอย่างมีความสุข เธอใส่หูฟัง ฟังเสียงที่เพราะอ่อนหวานของนักร้องหญิง อดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า
เสียงนี้ไพเราะมาก ลั่วจื่อหานจะต้องดีใจแน่ๆ เลย
คิดพลางก็ส่งข้อความให้ลั่วจื่อหานแล้ว
[อีกสิบวันจะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว]
ในห้องทำงานที่สงบนิ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือชัดเจนดังขึ้นขัดจังหวะการรายงานของผู้จัดการ ทุกคนต่างหันไปยังที่มาของเสียง เห็นว่าประธานใหญ่ของบริษัทตัวเองกำลังดูโทรศัพท์มือถือ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มจางๆ
ทุกคนต่างนึกว่าตัวเองตาลาย ขยี้ตาเพื่อมองอีกรอบ รอยยิ้มนั้นหายไปแล้ว จึงถอนหายใจโล่งอก ‘ใช่สิ ท่านประธานของตัวเองจะยิ้มได้อย่างไรกัน’
ผู้จัดการกระแอมไอ รายงานต่อ
[มีแผนอะไรบ้าง?] เขาจิ้มอยู่บนหน้าจออย่างรวดเร็ว คนทางนั้นก็ตอบกลับด้วยความรวดเร็วมากเช่นกัน
[เฮ้อ ฉันนึกว่านายจะมีแผนอะไรโรแมนติกซะอีก แฟนอย่างนายนี่ไม่ได้เรื่องเลย]
[แล้วแบบไหนถึงจะได้เรื่องล่ะ]
อี้เป่ยซีนอนคิดอยู่บนเตียงอยู่นาน ‘นั่นสิ แบบไหนนะถึงจะได้เรื่อง เชอะ นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องคิดงั้นเหรอ เธอก็ไม่ใช่แฟนหนุ่มของลั่วจื่อหานสักหน่อย’
[งั้นก็ต้องดูของคุณลั่วแล้ว]
[มอบทั้งตัวและใจให้ล่ะเป็นไง ได้เรื่องไหม?]
[โบราณ ไม่มีความเซอร์ไพร้เอาซะเลย]
ลั่วจื่อหานนิ่งไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วส่ายหัว
ทุกคนในห้องทำงานมองหน้ากัน ครั้งนี้ ท่านประธานยิ้มแล้วจริงๆ เหรอ?
จริงหรือเปล่าเนี่ย ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน พระเจ้า คนที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรกันนะ
ผู้จัดการกลืนน้ำลาย “ท่าน ท่านประธาน”
ลั่วจื่อหานเงยหน้าขึ้น แววตายังคงเหมือนปกติ มีความเยือกเย็นเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยปากอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ผมรายงานจบแล้ว”
“อืม เลิกประชุม”
พูดจบลั่วจื่อหานก็เดินออกไปคนเดียวแล้ว ปล่อยให้คนอื่นที่อยู่ในห้องทำงานงุนงง
“พวกเธอว่า ท่านประธานคงไม่ได้ มีความรักใช่ไหม”
“นั่นสิๆ ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มท่านประธานแบบเมื่อกี้เลย มันเป็นรอยยิ้มของคนหนุ่มสามที่กำลังมีความรัก ฉันก็ว่าทำไมหมู่นี้ถึงได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวความรักในออฟฟิศท่านประธาน”
“แค่ก เวลาทำงาน ใครอนุญาตให้พวกเราวิจารณ์ท่านประธานกัน” ผู้จัดการจับตามอง ควบคุมสถานการณ์ด้วยความขึงขังมาก เลขาตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นด้วยความเหยียมอาย “ผู้จัดการไม่อยากรู้เหรอคะ?”
ก็ได้ เขายอมรับว่าเขาก็อยากรู้เหมือนกัน
แต่ว่าอยากรู้ก็แค่อยากรู้ แต่ถ้างานล่าช้า ท่านประธานก็ลงโทษพวกเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
ขณะที่เขากำลังจะอ้าปาก จู่ๆ ผู้ช่วยของท่านประธานผลักประตูเข้ามา คนที่นั่งอยู่ข้างในมองเขาอย่างอึดอัด เขายิ้ม “วันนี้ท่านประธานอารมณ์ดี ให้ทุกคนหยุดครึ่งวัน หลายวันนี้ ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว”
“ว้าว ดีจังเลย” ผู้คนที่เดิมทีถกกันเรื่องการแต่งงานของท่านประธานอย่างออกรส ต่างออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งในห้องทำงานของท่านประธาน ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางของอี้เป่ยซีที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกอบอุ่นใจ
“วันๆ อยู่แต่บ้านไม่เบื่อเหรอ?”
“ฉันไม่อยากไปร่วมกิจกรรมทางสังคมอะไรนั่นกับคุณแม่นี่นา น่าเบื่อจะตาย ก็เลยอยู่บ้านตลอด ตอนนี้นายยุ่งหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นนายพาฉันออกไปเดินเล่นได้ไหม?”
ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนลำบากใจมากแต่ไม่กล้าพูดออกมา อี้เป่ยซีรีบกำจัดความคิดของตัวเองออกไป “ไม่เป็นไรๆ ฉันอยู่บ้านคนเดียวก็ดีเหมือนกัน จะได้จัดของก่อนหน้านี้พอดี”
“เธออยากจะไปไหน?”
ได้ยินคำถามของเขา เธอหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนนี่นา แต่ว่าแค่อยากออกไปเดินเล่นกับนาย ได้หรือเปล่า ท่านประธานลั่ว?”
“เป็นเกียรติของผมครับคุณหนูอี้”
“งั้นนายมารับฉันนะ”
“ได้”
หลังจากหยุดวีดีโอคอลแล้ว อี้เป่ยซีก็เริ่มรื้นค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเอง เธอดึงเดรสชุดหนึ่งออกมา
ไม่ได้ ลั่วจื่อหานเคยเห็นแล้ว ตัวนี้มันธรรมดาเกินไป ตัวนี้เป็นทางการเกินไป ตัวนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ตัวนี้เชยไปหน่อย ตัวนี้ก็โป๊ไปนิดนึง ตัวนี้บางไป ตัวนี้หนาไป
อี้เป่ยซีโยนเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ออกมา ก็ยังไม่เห็นตัวที่ตัวเองพอใจ ปกติแล้วมักจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าของตัวเองเยอะเกินไปจนใส่ไม่หมด แต่ทำไมพอถึงเวลาต้องใช้จริงๆ กลับรู้สึกว่าเสื้อผ้าของตัวเองน้อยเหลือเกิน
ทำอย่างไรดี ใส่ตัวไหนดี ไม่อย่างนั้นก็ยกเลิกนัดครั้งนี้ซะ แต่ว่าเขากำลังจะมาแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่ลั่วจื่อหานจะมีเวลาออกไปเดินเล่นกันเธอ
งั้นก็เลือกสักตัวหนึ่งเถอะ อี้เป่ยซีหลับตาคว้าเสื้อบนเตียง ก็ได้เดรสตัวหนึ่งที่ไม่ได้มีความโดดเด่นใดๆ สวมลงบนตัวอย่างยอมรับชะตากรรม มัดหางม้าสูง เธอมองดูตัวเองในกระจก แม้ว่ายังมีความเป็นสาวอยู่มาก แต่มักจะรู้สึกว่าเทียบกับลั่วจื่อหานไม่ได้
ลั่วจื่อหานหล่อมาก อี้เป่ยซีครุ่นคิด ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเริ่มแต่งหน้าบางๆ แล้ว
เธอเกาะราวคอยอยู่ตลอด เมื่อเห็นเงาที่คุ่นเคยก็พุ่งลงไปทันที แกล้งทำเป็นเปิดประตูด้วยท่าทางที่สง่างาม
วันนี้ลั่วจื่อหานสวมสูทสีดำ ธรรมดาแต่สง่างามทุกกระเบียดนิ้ว จนทำให้ไม่อาจละสายตาได้
“วันนี้นายหล่อมาก” ดวงตาเธอโก่งยิ้ม ไม่หวงคำชมของตัวเองเลยสักนิด ลั่วจื่อหานก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ จูงมือของอี้เป่ยซี
“วันนี้เธอก็สวยมากเหมือนกัน”
ทั้งสองคนไม่ได้ขับรถ แค่ไปเดินเล่นแถวบ้านของอี้เป่ยซี ทั้งสองคนจูงมือกันแน่นไม่ปล่อย
ต้องการเดินด้วยกันแบบนี้ตลอดไป ให้พวกเรายังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ คิดถึงเพียงช่วงเวลานี้ตลอดไป และจะไม่มีวันปล่อยมือของกันและกัน ไม่มีอะไรที่หยุดยั้งพวกเราได้ มีเพียงความเงียบสงบและความสงบสุข มีเพียงเธอกับฉัน
————