บทที่ 138 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 138 เรื่องกวนใจรอบสอง (7)
สิบวันหลังจากนั้น อาจเป็นเพราะการตั้งตาคอยที่ยาวนาน ตอนกลางคืนอี้เป่ยซีหลับสนิทมาก ตอนเช้าก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลงไปชั้นล่างเห็นคุณแม่อี้ที่ง่วนอยู่ในครัว
เธอกลอกตาไปมา “แม่คะ หนูช่วยแม่เถอะ”
“ได้สิ”
“คือว่า วันนี้ทำเพิ่มอีกที่ได้ไหมคะ” เธอยิ้มเขินอาย เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ สีชมพูระเรื่อระคนความขวยเขิน
คุณแม่อี้เข้าใจความหมายของเธออย่างรวดเร็ว จิ้มๆ หน้าผากของเธอ ทั้งสองคนเริ่มง่วนด้วยกัน อี้เป่ยซีแอบหยิบกล่องอาหารขึ้นมา เธอเองก็ไม่ค่อยได้กินอะไรตอนที่อยู่โต๊ะอาหาร
“หนูกินอิ่มแล้ว พี่ แม่ ตอนเที่ยงหนูไม่กลับมานะคะ” ไม่ทันพวกเขาตอบ อีเป่ยซีสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป เข้าไปในรถที่เรียกไว้แล้วออกไปจากจิ่นหยวนอย่างรวดเร็ว
“เป่ยซีเป็นแบบนี้ก็ดีนะ อย่างน้อยก็เดินออกมาจากอิทธิพลของเด็กคนนั้นได้แล้วจริงๆ”
อี้เป่ยเฉินพยักหน้าพร้อมส่งเสียงอู่อี้ กินไปไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง “ผมจะไปทำงานแล้ว”
“เอ๋”
นั่งอยู่ในรถประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าก็มาถึงด้านล่างของตึกเวยหลาน เธอต้องการเข้าไปด้วยความรีบร้อน
“คุณหนู คุณมาหาใครคะ?” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับห้ามเธอไว้อย่างว่องไว
อี้เป่ยซีพูดอย่างเอาอกเอาใจ “พี่สาว เพื่อนฉันทำงานในนี้ เขาลืมของไว้ที่บ้านฉัน ต้องใช้ตอนประชุม มันด่วนมาก พี่ปล่อยฉันเข้าไปก่อนได้หรือเปล่า”
“เพื่อนของคุณคือใคร?”
“…” ถ้าเอ่ยชื่อของลั่วจื่อหานจะต้องไม่ให้เธอเข้าไปแน่ๆ แต่ว่านอกจากลั่วจื่อหานแล้วเธอก็ไม่รู้จักใครเลยนี่นา งั้นเธอคิดชื่อขึ้นมาเองแล้วกัน คนในบริษัทเยอะขนาดนั้น เธอคงไม่รู้จักทุกคนหรอกมั้ง
“เขาชื่อหลิวจ้วงจ้วง”
“ขอโทษนะคะคุณหนู บริษัทของเราไม่มีคนชื่อนี้”
อี้เป่ยซีกระพริบตา “ไม่จริงมั้ง พี่สาวจำผิดหรือเปล่า เขาบอกฉันว่าทำงานที่บริษัทพวกพี่นี่นา อ๋อ เขาเพิ่งมาไม่นาน พี่ไม่รู้จักเขามันเรื่องปกติอยู่แล้ว พี่คะ เอางี้ พี่ปล่อยให้ฉันเข้าไปก่อนเถอะ”
“ขอโทษนะคะ ไม่ใช่พนักงานเข้าไปไม่ได้”
“ผ่อนผันหน่อยไม่ได้เหรอ” หญิงสาวไม่ได้สนใจอี้เป่ยซีอีก ก้มหน้าอ่านหนังสือ อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก ค่อยๆ ขยับเข้าไปข้างใน
“คุณหนู ถ้าคุณยังเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว ฉันจะเรียก รปภ.”
อี้เป่ยซียิ้มแหยๆ จะต้องใช้ความรู้สึกสัมผัสหัวใจเท่านั้นแล้ว เธอแสดงอาการน่าสงสาร เกาะอยู่ที่แผนกต้อนรับเพื่อร้องทุกข์
รถคันหนึ่งมาจอดที่หน้าประตูของเวยหลาน ผู้ชาวยสวมสูทสีขาวบริสุทธิ์ ย่างก้าวมีความสง่างามที่ปฏิเสธไม่ได้
“นั่นเหมือนกับคุณหนูอี้เลย” คนข้างกายเขากระซิบเสียงต่ำ ลั่วจื่อหานมองไปยังทิศทางที่ว่า มันคืออี้เป่ยซีจริงๆ วันนี้เธอใส่กระโปรงสั้นสีขาว อวดเห็นขาที่เรียวตรงให้เห็นอย่างเต็มที่ กระโปรงพริ้วไปมาในสายลม ซ่อนเร้นทิวทัศน์ที่อยู่ภายใต้กระโปรงเพียงวับๆ แวมๆ
แววตาของลั่วจื่อหานมืดมนลงเล็กน้อย เดินไปยังแผนกต้อนรับด้วยสีหน้าบึ้งตึง อี้เป่ยซียังคงร้องเรียนอย่างน่าสงสาร วินาทีต่อมาก็ถูกหิ้วตัวไป
“หืม ลั่วจื่อหาน”
เขากวาดตามองอี้เป่ยซีด้วยความดุดัน ถอดเสื้อนอกออก ชายของเสื้อสูทปกคลุมเลยชายกระโปรงของเธอไปมาก แล้วพาเธอเข้าไปในลิฟท์พิเศษอย่างเงียบๆ
หญิงสาวแผนกต้อนรับที่ยังไม่ทันหายจากความประหลาดใจที่ได้เจอกับท่านประธาน กำลังตกตะลึงกับพฤติกรรมที่สนิทชิดเชื้อของทั้งสองคน เธอเอ่ยปากอย่างเหลือเชื่อ “ผู้ ผู้ช่วยคะ เขา มาหา มาหาท่านประธานเหรอ?”
“อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม ต่อไปถ้าเขามาอีก ปล่อยให้เขาเข้าไปก็พอแล้ว เข้าใจไหม?”
“ค่ะๆๆ รับทราบแล้ว” เธอรีบพยักหน้า
อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามือบนตัวเธอออกแรงมาก เธอรู้สึกว่าคนข้างกายตัวเองมีความกดดันต่ำและก็รู้สึกอึดอัดมาก เธอขยับตัวต้องการจะหลุดออกจากอ้อมแขนของลั่วจื่อหานแต่ถูกเขากอดแน่นทันที ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้
“แน่นเกินไปแล้ว” แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโมโหขนาดนี้ อี้เป่ยซีบ่นเสียงเบา ลั่วจื่อหานราวกับว่าไม่ได้ยิน พาเธอไปยังห้องทำงานของท่านประธาน ปิดประตูอย่างแรง
“ลั่วจื่อหานนาย…” เธอยังไม่ทันพูดจบประโยค ริมฝีปากก็ถูกประกบอย่างแรง ระคนความโกรธที่อธิบายไม่ได้ วินาทีต่อมาอี้เป่ยซีก็ค้นพบว่าตัวเองนั่งอ้าขาอยู่ขนตักของลั่วจื่อหาน มือที่หยาบเล็กน้อยลูบไล้อยู่ที่ต้นขาของเธอทำให้เธอสั่นไหวครู่หนึ่ง
“ลั่ว…” เสียงถูกเขากลืนกินหลายต่อหลายครั้ง อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเขา ในสมองว่างเปล่า จากนั้นก็หมุนคว้างสักพัก เธอถูกวางลงบนโซฟา มือที่ซุกซนยื่นเข้าไปใต้ชายกระโปรงของเธอ ลุกล้ำตามอำเภอใจ
เธอหมดหนทาง กัดริมฝีปากของเขาโดยสัญชาตญาณ จนกระทั่งกลิ่นเลือดแผ่กระจายระหว่างริมฝีปากและฟันของคนสองคน ลั่วจื่อหานจึงหยุดการกระทำของตัวเอง มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตา มือทั้งสองของเขาวางอยู่ข้างลำตัวของอี้เป่ยซี หายใจหอบเล็กน้อย
“ลั่วจื่อหาน” เธอกัดริมฝีปากด้วยความน้อยใจ “นายเคยรับปากไว้”
“ขอโทษนะเป่ยซี” เขาก้มหน้าจูบตาของเธอ จัดเสื้อผ้าของเธอด้วยความจริงจัง แล้วกอดเธออีกครั้ง ลมหายใจยังคงหนักหน่วง “ขอโทษ”
อี้เป่ยซีต้องการจะดิ้นหลุดจากกอดของเขา เมื่อได้ยินว่า ‘อย่าขยับ’ ดังอยู่เหนือศีรษะอย่างมืดมน ก็หยุดนิ่ง
‘นี่เขาเป็นอะไรไป เหมือนกับถูกวางยาเลย’ เธอรู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ใต้ขาของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บผ่านทะลุเสื้อผ้า
ทั้งสองคนนิ่งเงียบ และอึดอัดพอกัน
ผ่านไปสักพัก อี้เป่ยซีจึงเอ่ยปากอย่างลังเล “ลั่วจื่อหาน”
“หืม” น้ำเสียงยังคงมีความอดกลั้น อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเขยื้อน เธอถามเสียงเบา “คือว่า อีกนานไหม ฉันอึดอัดนิดหน่อย”
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกนานเท่าไร เขากลัวว่าเมื่อเห็นอี้เป่ยซีอยู่ตรงหน้าแล้วก็จะบุกเข้าไปอย่างอดใจไม่ไหว แต่เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของตัวเองก็รู้สึกว่าอึดอัดมาก แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยไป
ลั่วจื่อหานถอนหายใจ ลมหายใจร้อนๆ รดอยู่บนคอของอี้เป่ยซี หน้าของเธอแดงอย่างช่วยไม่ได้
อี้เป่ยซียื่นมือโอบเอวของลั่วจื่อหาน ซบหัวอยู่บนหน้าอกของเขา เอื้อมมืออย่างระมัดนะวัง พอสัมผัสกับหานน้อยเบาๆ ก็ได้ยินเสียงครางที่ยั่วยวนของเขา
เธอรวบรวมความกล้า น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ฉัน ฉันช่วยนายไหม?”
ลั่วจื่อหานหรี่ตาไม่ได้พูดอะไร
“คือว่า นายไม่เต็มใจเหรอ”
ยังคงไม่พูดอะไร
เธอรวบรวมความกล้า มือที่สั่นไหวทำอย่างไรก็ปลดเข็มขัดของเขาไม่ออก มือที่บอบบางสัมผัสเขาเป็นครั้งคราว ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าตัวเองอดกลั้นจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว เขาอุ้มเธอขึ้นมาทันที เข้าไปยังห้องรับรองของห้องทำงาน
“อยากช่วยฉันเหรอ หืม?” เขาเปลื้องเสื้อผ้าของอี้เป่ยซีทีละชิ้น เรือนร่างที่ขาวดุจหยกปรากฏสู่สายตาของเขา ไฟชั่วร้ายในใจยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
“ฉัน คือว่า…” ยังไม่ทันรอให้อี้เป่ยซีตอบ ลั่วจื่อหานก็ประกบปากของเธอแผ่วเบา ดึงเอาเหตุและผลไปจากอี้เป่ยซีทีละน้อยๆ
“ได้ เธอช่วยฉัน”
————