TQF:บทที่ 746 อวสาน (15)

 

 

พวกนางเพียงแค่กวาดตาดูไม่กี่รอบเท่านั้น

 

ขณะนั้น สายตาพวกนางทอดไปยังทุกคน แต่ละคนมีลมปราณที่ทรงพลัง มองปาดเดียวก็รู้ถึงวิทยายุทธ ถึงแม้ปีศาจเฒ่าเหล่านี้จะอายุนับพันนับหมื่นปี แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยก็ไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

 

“คารวะอาจารย์ปู่ คารวะอาจารย์อาเล็ก”

 

ผู้คนพากันประสานมือทักทาย สายตากลับจับจ้องไปที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อย ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอ 2 สาวที่ปั่นป่วนผืนดินฉางไห่จนโกลาหลไปหมดในเวลาครึ่งปีมานี้

 

ไม่ดูก็ไม่รู้ พอดูแล้วตกใจมาก

 

ปีศาจเฒ่าพวกนี้ล้วนมีวิทยายุทธระดับจักพรรดิ์อมตะ บรรลุเทพเทวา เทพเซียนทั้งนั้น แต่พวกเขากลับมองวิทยายุทธของทั้ง 2 ไม่ออก เป็นที่ตะลึงและน่าสะพรึงกับพวกเขามาก

 

ด้วยพลังสายตาของพวกเขายังมองวิทยายุทธของอีกฝ่ายไม่ออก นั่นก็หมายความว่าวิทยายุทธของ 2 สาวสูงกว่าพวกเขามาก

 

เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วจะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร

 

แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยเมินสายตาพวกเขาโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าสายตาของพวกนางมองเพียงผู้หญิงชุดแดงเท่านั้น

 

ซึ่งก็คือคนที่อยู่ข้างผู้อาวุโสหนิง

 

หยินเฟิ่ง!

 

แม่นางหยินเฟิ่งเบิกตากว้างเล็กน้อย ยากจะปิดบังความตะลึงและไม่ปลอดภัยบนใบหน้า นางผู้เย่อหยิ่งทรนงและมั่นใจในตัวเอง ในวินาทีที่ได้พบ 2 สาวกลับตะลึงกับพลังลมปราณอันแข็งแกร่งลึกล้ำยากจะหยั่งถึงที่แผ่ซ่านออกจากตัวอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

 

ดูเหมือนนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี วิทยายุทธของอีกฝ่ายจะสูงขึ้นพรวดพราดขนาดนี้ เริ่มจากแค่จักรพรรดิ์เทพยุทธ์ จนวันนี้ที่นางมองวิทยายุทธของอีกฝ่ายไม่ออกเลย

 

ตอนนี้นางเป็นถึงก้าวสู่เทพเทวาเลยนะ

 

ทั้งผืนดินฉางไห่ นางถือว่าโดดเด่นในหมู่คนหนุ่มสาวด้วยกัน ธิดาแห่งสวรรค์ผู้สูงส่งไม่มีใครเทียบเทียม ความเป็นจริงกลับทำลายความมั่นใจของนางลงเป็นผุยผง

 

“ที่แท้เจ้าแอบอยู่ที่นี่เอง”

 

หยูเฮงน้อยหน้าบึ้งตึง สายตาเย็นยะเยือก แผ่พลังลมปราณออกมาอย่างมากมาย ราวกับจะถล่มฟ้าดินนี้ให้สิ้นซาก

 

2 อาจารย์ศิษย์ผู้อาวุโสหนิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามนางสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก หยินเฟิ่งไม่ทันแม้แต่จะต่อต้าน เพื่อจะปกป้องลูกศิษย์แล้วผู้อาวุโสหนิงได้แต่ฝืนต้านพลังลมปราณนี้ไว้ หน้าเหี่ยวๆของเขาอัดอั้นจนหน้าดำหน้าแดง เห็นได้ไม่ยากว่าพลังที่กดดันเขาอยู่แข็งแกร่งขนาดไหน

 

สีหน้าของผู้คนในโถงวิหารสวรรค์เปลี่ยนไป พวกเขากำลังจะลงมือช่วยแต่ถูกตาแก่ซอมซ่อปรามอย่างไม่ใช้เสียงไว้ก่อน

 

ถ้าคนพวกนี้ลงมือจริงๆละก็ จากที่ตาแก่ซอมซ่อรู้จัก 2 สาวมีแต่จะยิ่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายก็วุ่นวายจนเกินจะจัดการได้ และจุดจบอันน่าอนาถจะต้องตกเป็นของโถงวิหารสวรรค์อย่างแน่นอน เขาไม่สามารถมองดู 2 สาวทำลายโถงวิหารสวรรค์ได้

 

ดังนั้น ไม่ว่าพวกนางจะทำอะไรเขาก็ไม่ให้ใครช่วยทั้งนั้น ส่วนผู้อาวุโสจะช่วยลูกศิษย์ตัวเองก็ถือเป็นทางเลือกของเขา เขาจะไม่ขัดขวาง ส่วนคนอื่นๆไม่อนุญาตเด็ดขาด

 

ผู้คนที่ถูกห้ามเอาไว้มองอาจารย์ปู่ของพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าด้วยฐานะและวิทยายุทธของเขาทำไมไม่หยุดอีกฝ่ายเอาไว้

 

พอพวกนางมาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงลงมือเลย นี่มันหักหน้ากันซึ่งๆหน้าชัดๆ เหมือนผู้คนในโถงวิหารสวรรค์ต่างโดนตบหน้าฉาดใหญ่ จะให้เหล่าปีศาจเฒ่าที่ได้รับความเคารพนับถือมาตลอดทนอย่างไรไหว

 

แต่พวกเขาดันถูกตาแก่ซอมซ่อควบคุมเอาไว้ อยากจะลงมือก็ลงมือไม่ได้ ส่วนตาแก่ซอมซ่อก็ไม่ได้รีบร้อนอธิบายอะไรให้พวกเขาฟัง เพียงแค่ส่งสายตาให้พวกเขาเงียบ

 

“หยูเฮงน้อย ปล่อยให้ข้าทำเถอะ” เป็นครั้งแรกที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขอเป็นคนทำแทนหยูเฮงน้อย

 

ปกติไม่ว่าเรื่องอะไรน้อยนักที่นางจะลงมือเอง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสาบานว่าจะทวงความยุติธรรมจากตัวผู้หญิงคนนี้ให้ได้ และจะขอคืนความอัปยศที่นางเคยให้กลับไปให้กับนางซะ

 

เมื่อเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก้าวมาหา ตาของหยินเฟิ่งกระตุก ในใจรู้สึกถึงความอันตรายอย่างแรงกล้า

 

ใจนางสั่นไหว นางไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เคยพ่ายแพ้ให้กับตัวเอง บัดนี้ทำให้นางรู้สึกถึงอันตราย แล้วยังมีความตกตะลึงด้วย

 

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ไม่มีหลักเหตุและผลอะไรทั้งนั้น เป็นแค่สัญชาตญาณเท่านั้น แต่หยินเฟิ่งเชื่อสนิท

 

ความรู้สึกนี้ช่วยนางไว้หลายครั้งแล้วในการกำจัดคนที่มีความเป็นได้ที่จะกลายเป็นคู่แข่ง

 

ทำให้นางได้กลายเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอันสูงส่ง ศิษย์พี่ใหญ่ที่ใครๆก็ต้องเคารพ และเมื่อจบเรื่องแล้วก็พิสูจน์ได้ว่าที่นางคิดน่ะถูก

 

“ข้าชื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เจ้าล่ะ” เสียงของนางดังขึ้นในอากาศอย่างนิ่งเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอันแปลกประหลาด

 

หยินเฟิ่งรู้สึกถึงสายตาอันคมกริบที่จับจ้องมาที่ตัวเอง ราวกับจะทะลุวิญญาณของตัวเองไป

 

อีกฝ่ายมีสีหน้าน่าเกรงขาม สายตาดุดัน มองแว้บเดียวก็ทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญผวายากจะควบคุมตัวเอง นาทีนั้น นางเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่หิ่งห้อย ตัวน้อยและไร้ความหมาย เอ่ยตอบเสียงขรึม “ข้าชื่อหยินเฟิ่ง”

 

“ดีมาก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อย จ้องมองคนตรงหน้า สายตานางยังคงนิ่งเรียบ ทั้ง 2 ทักทายกันเหมือนเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกัน ราวกับไม่มีความแค้นต่ออีกฝ่ายเลยสักนิด

 

“ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อมาตัดบ่วงกรรมเมื่อ 3 ปีก่อน”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยนิ่งๆ “อย่าหาว่าข้ารังแกล่ะ ให้ทุกคนในโถงวิหารสวรรค์ของเจ้าได้ดูบ่วงกรรมนี้ด้วยกันเลย”

 

คำนี้พูดออกไปปุ๊บก็เหมือนโยนระเบิดลงน้ำ สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปหมด

 

โดยเฉพาะเหล่าปีศาจเฒ่าที่รู้เรื่องต่างรู้สึกว่าแย่แล้ว ถ้าสิ่งที่ยัยหยินเฟิ่งทำถูกประจานออกมา ไม่เพียงแค่นางจะไม่มีที่ยืนในโถงวิหารสวรรค์เท่านั้น ชื่อเสียงของโถงวิหารสวรรค์ก็จะเสียหายไปด้วย

 

ตาแก่ซอมซ่อที่รู้ฝีมือของ 2 สาวยิ้มเฝื่อนๆออกมาด้วยความทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น ส่วนโม่ซวนซุนก็ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ยืนอยู่ด้วยความนิ่งเฉย

 

คนที่เป็นต้นเรื่องอย่างหยินเฟิ่งหน้าซีดลงทันที ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าความเอาแต่ใจของตัวเองนำผลลัพธ์ยังไงมาให้ ดูเหมือนจะหนักกว่าที่นางคิดเยอะ และเรื่องนี้จะนำพาการทำลายถึงชีวิตมาให้นาง

 

เมื่อหยูเฮงน้อยได้ยินคำพูดของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รีบก้าวออกมา ประสานมือเป็นอินอยู่ในอากาศ จากนั้นก็มีภาพๆหนึ่งค่อยๆปรากฏออกมา

 

ภาพนั้นก็คือภาพนี้พวกนอกรีตแห่งเมืองทมิฬกำลังทำลายชีวิตผู้อื่นนับไม่ถ้วนอยู่ ทุกคนให้ความสนใจทันที โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์โถงวิหารสวรรค์ที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ไกลๆต่างพากันวิ่งออกมาอย่างลืมตัว พวกเขาเบิกตากว้าง มองภาพที่หมอกดำพุ่งทะยานขึ้นฟ้าและผู้คนที่กำลังเข่นฆ่ากัน

 

ภาพนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป็นภาพที่ผู้อาวุโสแห่งแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์จงหยวนนำทัพเหล่าผู้อาวุโสแห่งอิทธิพลต่างๆสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับพวกนอกรีต สุดท้ายก็เป็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวโม่ซวนซุน และหยูเฮงน้อยปรากฏตัวออกมาสู้กับพวกนอกรีต

——————————