บทที่ 546 อยากให้ฉันขายหน้า

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ไม่ได้เป๋นิดเดียว แต่เป๋หนักมากต่างหาก มักจะเดินลากขาเหมือนไม่มีแรง หรือไม่ก็เดินโขยกแขยก แม้แต่ไหล่ก็เอียงไปด้านข้างด้วย

นี่คือความเจ็บปวดในใจเธอตลอดกาล

เธอไม่อาจใส่รองเท้าส้นสูงคู่สวยเหมือนผู้หญิงทั่วไป หากคนอื่นใส่จะเรียกว่าสวย แต่เธอใส่จะเรียกว่าตลก

จะใส่รองเท้าส้นสูงได้หรือไม่ เธอก็ไม่ใส่ใจ เพราะเธอไม่ชอบใส่อยู่แล้ว

เพียงแต่หวังว่าตอนจูงมือลูกเดินกลางถนนจะไม่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น

อีกฝั่งหนึ่ง

อาคิระอาบน้ำเสร็จก็ก้าวเข้าไปในห้องรับแขก

เมื่อไม่เห็นร่างที่ทำให้รำคาญใจ คิ้วที่ขมวดแน่นเป็นปมก็คลายออก พลางจ้องไปยังลูกชายของตน

“ดูอะไรอยู่เหรอลูก?”

“คุณพ่อ” ใบหน้าเล็กของหมีพูลส่งเสียงร้องทักทาย ก่อนจะบอกรายการที่ดู“คุณพ่อกลับมาแล้ว”

อาคิระเลิกคิ้ว“ดูต่อเลยลูก”

สิ้นเสียงท้องก็ร้องจ๊อก ๆ

หลังออกจากคุก เขาก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่เมือง S แม้แต่วินาทีเดียว รีบนั่งเครื่องบินกลับเฮทเคทันที จากนั้นก็กลับบ้าน ซึ่งไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำ

หมีพูลพูดอย่างรู้ความ“คุณพ่อหิวแล้วเหรอครับ?คุณแม่เจ็บโจ๊กไว้ให้คุณพ่อครับ เดี๋ยวผมไปอุ่นให้นะครับ”

อาคิระกลับพูดว่า“ไม่มีของกินอย่างอื่นแล้วเหรอ?”

อาหารที่ผู้หญิงคนนี้ทำ เขารู้สึกขยะแขยง

หมีพูลส่ายหัว พลางถามอย่างมีความรู้สึกไว“คุณพ่อไม่อยากกินอาหารที่คุณแม่ทำเหรอครับ?กับข้าวที่คุณแม่ทำอร่อยมากเลยนะครับ”

“ไม่ใช่ลูก แค่อยากกินมาม่าเฉย ๆ”

หมีพูลทำหน้าจริงจังเป็นการเป็นงาน“คุณแม่บอกว่ามาม่าเป็นอาหารขยะ คุณพ่อกินน้อย ๆ หน่อยนะครับ”

อาคิระลูบหัวลูกชาย“ดูทีวีต่อนะเด็กดี”

จากนั้นเขาก็ลุกไปเปิดตู้เย็น

ซึ่งในตู้เย็นมีแต่ผัก ไข่ และนมสด

ไม่มีทั้งผลไม้และอาหารยามว่าง

เขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม หยิบไข่มาสองฟอง จากนั้นก็เดินเข้าห้องครัว

ลงครัวครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์ใด ๆ

เพราะน้ำมันในอุณหภูมิร้อนกระเด็นใส่ หลังฝ่ามือจึงเกิดตุ่มพองใสสองจุด

ในสภาพจิตใจที่กระวนกระวาย เขารีบโยนไข่ลงไป

สองนาทีต่อมา เขายกไข่ดาวมานั่งกินบนโซฟา

หมีพูลเงยหน้าพลันเห็นไข่ดาวที่ไหม้เกรียม

“คุณพ่อครับ คุณแม่ทำอาหารอร่อยมากจริง ๆ นะครับ ท่านเก็บโจ๊กไว้คุณพ่อด้วยครับ”

“อืม” อาคิระตอบเสียงเรียบ จากนั้นก็กินไข่ต่อ

หมีพูลกะพริบตาเบา ๆ ก่อนจะดันเก้าอี้วีลแชร์เข้าห้องครัว

มือเล็กของเขายกอาหารบนโต๊ะเทใส่ถังขยะ จากนั้นก็ล้างถ้วย ล้างตะเกียบให้สะอาดเอี่ยม

ถ้าคุณแม่เห็นคุณพ่อไม่ได้กินกับข้าวที่เก็บไว้ให้ ท่านต้องเสียใจแน่

เขาไม่อยากให้คุณแม่เสียใจ

เมื่อล้างเสร็จ หมีพูลก็ออกจากห้องครัวมาดูทีวีต่อ

ทันใดนั้นมือถือก็ดังขึ้น

อาคิระก้มหน้ามอง

เห็นฉันทัชโทรมา

เขาชะงักงัน

ผ่านไปชั่วครู่จึงจะรับสาย

“ขอโทษ” อาคิระพูดเสียงแหบพร่า

ฉันทัชเอ่ยเสียงเคร่งขรึม“คนที่นายควรขอโทษคือยู่ยี่ ไม่ใช่ผม จำให้เป็นบทเรียนด้วย อย่าได้ทำอีก”

ได้ยินดังนั้น อาคิระก็กำมือถือแน่น“ไม่ทำอีกแน่นอน”

“อืม พรุ่งนี้เป็นวันฉลองครบอายุหนึ่งเดือนของใบหยก พาพนาวันกับหมีพูลมาด้วยกันสิ”

“ได้”

หลังจากวางสาย ร่างกายตึงเครียดของอาคิระผ่อนคลายลง ราวกับก้อนหินขนาดใหญ่วางลงพื้นเรียบร้อยแล้ว

หมีพูลเอ่ยปากพูดว่า“คุณพ่อครับ คุณอาฉันทัชเหรอครับ?”

“อืม”

“กิ่งทองมีน้องสาวแล้ว คุณอาฉันทัชให้คุณพ่อพาคุณแม่กับผมไปฉลองด้วยกัน”

อาคิระเลิกคิ้ว

หูดีจังเลยลูกคนนี้

ดวงตาหมีพูลวาวโรจน์ ถามอย่างระมัดระวังว่า“คุณพ่อจะพาคุณแม่ไปใช่ไหมครับ?”

“ดูสถานการณ์ก่อน” อาคิระกล่าวเสียงทุ้มต่ำ ไม่ได้ตอบตรง ๆ

หมีพูลไม่ล้มเลิกความพยายาม“คุณพ่อรับปากคุณอาฉันทัชแล้ว เป็นผู้ใหญ่ต้องรักษาคำพูดนะครับ กลับคำไม่ได้”

อาคิระเงียบ

ผ่านไปสักพัก เขาพยักหน้าเรียบ ๆ“รู้แล้ว”

หมีพูลได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเปล่งประกายเจิดจ้า เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

สี่สิบนาทีให้หลัง

พนาวันใส่ชุดนอนเดินเข้าห้องรับแขก

ซึ่งหมีพูลปิดโทรทัศน์แล้ว ส่วนอาคิระไม่เห็นแม้แต่เงา

เธอหัวเราะเยาะตัวเอง

ไปแล้วจริง ๆ

ทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบล่วงหน้าแล้ว แต่ก้นบึ้งของหัวใจยังคงตั้งความหวังและเพ้อฝันไปเอง ตอนนี้ก็ต้องสมน้ำหน้าตัวเองแล้วละ

หมีพูลกล่าวเสียงเบา“คุณแม่ครับ คุณพ่อไม่ได้ไปครับ แค่ออกไปซื้อบุหรี่ครับ”

พนาวันอึ้ง“ใช่เหรอ?”

“ครับๆ”

พนาวันเม้มปาก ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา“ถึงเวลานอนแล้ว แม่พาลูกเข้าห้องนอนแล้ว”

เธออุ้มลูกชายขึ้น เพราะด้วยน้ำหนักของลูกและขาเป็นเหตุ ทำให้ร่างกายเธอเอียงไปด้านข้าง แล้วเดินซวนเซจนเกือบล้ม

เธอก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว และใช้เตียงประคองร่างกายให้มั่นคง จะให้ขาของหมีพูลบาดเจ็บเพิ่มไม่ได้แล้ว

จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ อุ้มลูกชายไว้บนเตียงอย่างยากลำบาก

เสร็จแล้วหน้าผากของเธอก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ

ทั้ง ๆ ที่เป็นการกระทำที่แสนเรียบง่าย ทว่าสำหรับเธอกลับยากเย็นยิ่งนัก

หมีพูลเป็นเด็กรู้ความ เขากล่าวว่า“คุณแม่ครับ ถ้าผมโตแล้วผมจะอุ้มคุณแม่เองครับ ผมมีกำลัง ส่วนแม่ก็ตัวนิดเดียว ผมต้องอุ้มคุณแม่ไหวแน่ครับ”

ถ้อยคำอบอุ่นที่เปล่งออกมาจากความเอาใจใส่ ชวนให้ซาบซึ้งหลายส่วน

พนาวันยิ้มพลันดึงผ้านวมมาห่มให้ลูก พอลูกชายโตแล้วมาอุ้มเธอ ภาพนั้นต้องหอมเย็นอบอุ่นแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่า ……

“นอนเถอะลูก” เธอกล่าว

หมีพูลกลับกระซิบข้างหูเธอเสียงเบา“คุณพ่อกินอาหารที่คุณแม่ทำหมดเกลี้ยงเลยครับ”

พนาวันไม่อยากจะเชื่อ“จริงเหรอ?”

“อืม ๆ” หมีพูลพยักหน้าแรง ๆ“ยังมีอีกครับ กิ่งทองมีน้องสาวแล้ว คุณพ่อบอกว่าพรุ่งนี้จะพาแม่กับผมไปบ้านคุณอาฉันทัชครับ”

พนาวันตกตะลึงพรั่นพรึง

แต่งงานมาเจ็ดปี เขาไม่เคยมาพาเธอไปออกงานไหนเลย

นี่เป็นครั้งแรก

วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อหลายอย่าง ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก

หมีพูลกะพริบตารัว ๆ“คุณแม่ต้องแต่งตัวสวย ๆ นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะลูก”

ระหว่างที่เดินออกจากห้อง พนาวันยังไม่ได้ดึงสติกลับมา ก้นบึ้งหัวใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ไม่หยุด

บังเอิญที่เวลานี้อาคิระกลับมาพอดี

ทั้งสองประสานสายตากัน

เขาเหมือนไม่เห็นพนาวัน เดินผ่านแล้วไปนั่งบนโซฟา

ภายในบ้านเงียบกริบ กระทั่งเสียงของเข็มนาฬิกาก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

พนาวันชินกับบรรยากาศเช่นนี้แล้ว

นี้เป็นวิธีดำเนินชีวิตของเขากับเธอ ไม่เคยพูดอะไรที่เกินจำเป็น และถึงแม้จะพูด ทว่าทุกอย่างก็เน้นไปในทางพูดจาเสียดสีประชดประชัน

เธอกำลังคิดว่าอาคิระคงไม่นอนที่นี่หรอก

ปกติเขาไม่เคยนอนที่นี่เลย เขามีบ้านในเฮทเคหลายที่

วันนี้ที่กลับมาเพราะอยากเห็นหน้าหมีพูล จากนั้นก็จะออกไปอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงออกไปก็ดี เธอไม่ได้อยู่กับเขานาน จนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเขา

ทันใดนั้น อาคิระก็เอ่ยปากพูด“คุณหมอบอกไหมว่าลูกต้องนั่งเก้าอี้วีลแชร์นานเท่าไหร่?”

ถึงแม้ปากเขาจะพูดถึงเรื่องหมีพูล ทว่าสายตาของเขาละไปจากขาของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกว่า เขากำลังประชดประชันเธอ ตำหนิที่เธอปล่อยให้ขาของหมีพูลกลายเป็นแบบนี้

“หนึ่งเดือนหรืออาจจะมากกว่านั้นค่ะ” พนาวันตอบ

“ขาของหมีพูลหายดีเมื่อไหร่ก็รีบโยนเก้าอี้วีลแชร์ออกจากคอนโดทันทีเลย ผมไม่อยากเห็นสิ่งของที่ขวางหูขวางตา” สายตาอาคิระเฉียบคมมาก

สิ่งที่ขวางหูขวางตา รวมถึงเธอด้วยใช่ไหม?

พนาวันแอบคิดอยู่ในใจ

สุดท้ายเธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่ขานรับเสียงเบา“รู้แล้วค่ะ”