บทที่ 547 เธอก็เหมือนตัวตลก

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

มุมปากเธอขยิบ อยากถามว่าพรุ่งนี้เขาจะพาไปบ้านตระกูลยศณะราคินด้วยกันไหม

ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันเย็นชาของเขา เธอก็กล้ำกลืนคำพูดลงคอ

หมุนกายเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง

ผ่านไปสักพัก อาคิระก็ตามเข้ามา จากนั้นก็ขึ้นนอนบนเตียง

พนาวันยืนอยู่กับที่ รู้สึกลุกลนและเหลือเชื่อ“คุณไม่ไปเหรอคะ?”

“คอนโดหลังนี้เป็นชื่อของผม ผมพักบ้านตัวเองไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ใช่ค่ะ”

เธอส่ายหัว“คุณนอนเลยค่ะ ฉันไปที่ห้องรับแขก”

อาคิระจ้องเธอ พลางกล่าวถากถาง“ใช้เล่ห์เหลี่ยมปล่อยเพื่อจับเหรอ? คุณไม่รู้ตัวเหรอว่าตัวเองต้อยต่ำแค่ไหน?”

พนาวันยืนนิ่งไม่ไหวติง หัวใจดั่งถูกมีดเฉือน

“ขึ้นมา”

“นอนเตียงเดียวกัน ฉันกลัวคุณไม่ชิน พรุ่งนี้ยังต้อง……”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ถูกอาคิระโยนลงเตียงเรียบร้อย

พนาวันขดตัว หัวใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกคัดค้านและหวาดกลัว

เขาแตะต้องตัวเธอก็บ่อยครั้งอยู่

ทว่าก็มักจะแฝงไปด้วยอารมณ์โกรธ แค้น และเหยียดหยามทุกครั้ง

เธอเห็นเขาเป็นสามี

แต่เขาคงเห็นเธอดีไม่เท่าโสเภณีด้วยซ้ำ

ในขณะนี้นี่เอง เสียงมือถือก็ดังขึ้น

พนาวันรีบดึงผ้านวมมาห่ม แล้วดึงชุดนอนกระโปรงลง

สายตาอาคิระเพ่งมองเธอ พลางเหยียดยิ้มเย้ยหยัน“เป็นกะหรี่แล้วยังคิดจะเล่นตัวอีก?ตอนวางแผนจับผม คุณเก่งในเรื่องบนเตียงมากไม่ใช่เหรอ ลืมเร็วเกินไปหรือเปล่า?”

ร่างกายพนาวันสั่นเทิ้ม

เกิดเสียงเรียกเข้าให้ได้ยินอีกครั้ง

เธอปรับอารมณ์ตัวเองให้เข้าที่“หมีพูลโทรมาค่ะ เขาจะมีธุระ ฉันไปดูก่อนค่ะ”

สิ้นเสียงก็รีบเดินออกจากห้องนอน

ดังคาด หมีพูลจะไปเข้าห้องน้ำ

จากนั้นก็กลับเข้าห้อง พนาวันห่มผ้าให้ลูกชาย

ลูกชายจับข้อมือเธอ ดวงตาสว่างไสวเป็นประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวนอกหน้าต่างเสียอีก“คุณแม่ครับ คุณพ่อนอนห้องเดียวกันกับคุณแม่ พวกแม่ดีกันแล้วใช่ไหมครับ?”

พนาวันลูบหัวลูกชาย อยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูด

ลูกเป็นเด็กอายุแปดขวบเท่านั้น ถึงจะรู้ความกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ดี“นอนเถอะลูก พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า”

เรื่องบางเรื่อง ลูกยังไม่เข้าใจ

หมีพูลพยักหน้า ดวงตาวาววาม กระทั่งมุมปากยังเผยรอยยิ้มไว้ในที

พนาวันกลับมาถึงห้อง เห็นอาคิระยังไม่นอน กำลังสูบบุหรี่อยู่

เขาได้ยินเสียงเปิดประตูก็รีบดับบุหรี่ ก่อนจะดึงเส้นผมเธอมาแรง ๆ จากนั้นก็โยนลงบนเตียง

เขาทรมานเธอตลอดทั้งคืนแบบไม่หยุดยั้ง

เมื่อเลยเที่ยงคืน อาคิระก็นอนไปในที่สุด

ส่วนพนาวันนั้นนอนไม่หลับ

ไม่ใช่ไม่อยากนอน แต่เป็นเพราะเจ็บจนนอนไม่หลับ

ทันใดนั้นบริเวณเอวก็ส่งสัญญาณความเจ็บปวดมา เธอขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ ก่อนจะมองด้านข้าง

เห็นอาคิระขยับกาย มือใหญ่เหวี่ยงไปมา หน้าผากมีเหงื่อไหลซึม คล้ายกับกำลังฝันร้าย

“ไม่เป็นไรนะ นอนเลย ฉันจะเฝ้าดูคุณ ไม่ไปไหนหรอก” พนาวันตบไหล่เขาเบาๆ พร้อมกับกล่าวเสียงแผ่วเบาและอ่อนนุ่ม

การรักใครสักคน มันห้ามกันไม่ได้จริง ๆ

เขาเย็นชาต่อเธอ ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ

ทว่าเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วก็รู้สึกสงสารจับใจ

วินาทีต่อมา อาคิระก็ละเมอพูดเสียงเบาว่า“ดาหวัน…….ไม่เอา ผมขอโทษ ผมคิดถึงคุณ”

พนาวันชะงักงัน

พวกเขาพึ่งมีความสัมพันธ์ทางกายอยู่หมาด ๆ แต่สามีที่นอนเคียงข้างตนกลับเรียกชื่อผู้หญิงอื่น

เธอกำลังห่มผ้าอยู่ ทว่ากลับไม่รู้สึกอุ่นเลยสักนิด

เธอยกมุมปากโค้งขึ้น พลางหัวเราะเยาะตัวเองเสียงเบา

เมื่อแสงจันทราส่องเข้าทางหน้าต่าง พลางสะท้อนเงาของเธอยาวเหยียบ

เธอแต่งงานกับเขาแปดปี。

ชื่อดาหวันก็อยู่ในชีวิตคู่ของเธอมาแปดปีเต็ม ๆ เช่นกัน

เวลาแปดปี หรือเก้าสิบหกสัปดาห์ และคืนวันที่นับไม่ไหว

เมื่อก่อนเคยคิดว่าผู้ชายจะรักผู้หญิงได้นานและมากแค่ไหน?

และคนที่ชื่อดาหวันก็ตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจะอยู่กับความทรงจำได้นานแค่ไหน?

หลังจากดวงตะวันและดวงจันทร์สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นลง และมีฟ้าสว่างกับฟ้ามืดวนเวียนอยู่เนิ่นนานแล้ว ต้องมีสักวันที่เขาจะลืมผู้หญิงคนนั้น

ถึงเธอไม่เข้าตาเขา แต่ต้องมีผู้หญิงอื่นเข้าตาเขาแน่

พนาวันเคยกระทั่งคิดว่า

อาจมีสักวันหนึ่ง อาคิระจะจูงมือผู้หญิงที่สวยกว่าดาหวันมาหาเธอ จากนั้นก็ขอหย่ากับเธอ

ทว่าเธอกลับคิดไม่ถึงว่า

ผู้หญิงคนนี้ยังคงอยู่ในใจเขาตลอดแปดปีที่ผ่านมา

เขาไม่ได้ไร้หัวใจ หากแต่รักมากเลยต่างหาก แต่เสียดายที่ไม่ใช่เธอ

ตอนแรกคิดว่าได้ยินชื่อนี้ก็ไม่รู้สึกอะไร

แต่สุดท้ายก็แค่หลอกตัวเองเท่านั้น

คนที่มีชีวิตอยู่สู้คนที่อำลาจากโลกไปแล้วไม่ได้เลย

ตอนนี้เธอยิ่งไม่รู้สึกง่วงกว่าเดิม หัวใจเธอเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน

พนาวันนอนตะแคง หันหน้าไปทางหน้าต่าง

อากาศย่ำค่ำคืนช่างเย็นหนาวนัก แสงดวงจันทร์ก็ให้ความรู้สึกเงียบเหงามาก

ตอนกลางคืนในเวลาเงียบงัน หัวใจมักจะแตกสลายได้ง่าย

เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างแปลกประหลาด น้ำตาไหลพรากไม่หยุดหย่อน

เธอข่มกลั้นความอยากร้องไห้เพียงใดก็ทำไม่สำเร็จ และเช็ดน้ำตากี่ครั้งก็ยังไม่หมด

เธอไม่ได้ส่งเสียงร้องไห้ แค่ปาดน้ำตาอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น

ส่วนอีกคน

อาคิระยังคงขมวดคิ้วแน่นเป็นปมเช่นเดิม

เขารู้สึกไม่ปลอดภัย หวาดกลัวและมีท่าทางดุร้ายผสมปนเปกัน ถึงแม้กำลังนอนฝันอยู่ ทว่ามือยังคงกุมผ้าปูที่นอนแนบแน่น แน่นจนหลังมือเกิดเส้นนูนขึ้นมา

เขาฝันเห็นตัวเองยืนอยู่ด้านซ้ายของภูเขา ส่วนดาหวันอยู่ด้านขวา ตรงกลางเป็นหน้าผาสูงชัน

เขาเห็นดาหวันถูกผู้ชายหน้าตาโหดเหี้ยมตามล่า จนเธอต้องถอยหลังเรื่อย ๆ

เธอถอยหลังไปทีละก้าว ทว่าด้านหลังคือหน้าผา ไม่มีทางให้ถอยได้แล้ว

ชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหน้าเธอ พลางยิ้มอย่างสะอิดสะเอียน

หัวใจของเขาราวกับกระดอนขึ้นดวงตาแล้ว เขาอยากบินไปช่วยเธอเหลือเกิน

ทว่าเท้าของตนคล้ายกับถูกยึดติดกับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย

เขาอนาทรร้อนใจ ฉุนเฉียว กระวนกระวาย ทว่าก็ไม่สามารถกระดุกกระดิกเหมือนเดิม

ผู้ชายใจร้ายคนนั้นกระชากเสื้อกันหนาวเธอออกแล้ว ร่างกายจึงเผยอยู่กลางอากาศ

จากนั้นสีหน้าเธอก็เผยความเด็ดเดี่ยวขึ้นมา

เขารู้ว่าเธอจะทำอะไร เขาตะโกนก่นด่าชายวัยกลางคนอย่างสุดชีวิต

ดาหวันมองเขาด้วยแววตาโศกเศร้าเสียใจ จากนั้นก็หลับตาแล้ว ต่อด้วยกระโดดลงหน้าผา

เขารู้สึกปวดหัวราวกับจะฉีกขาด ตะโกนเรียกคล้ายกับคนเสียสติ

และเวลานี้ ดาหวันก็ปรากฏอยู่ใต้เท้าเขา

เธอตัวเปลือยเปล่า ร่างกายเขียวช้ำและแข็งทื่อไปหมด ใบหน้าอาบด้วยเลือด

คล้ายกับผิวหนังโดนลอกออกจนหมด พลางจ้องมองเขา เป็นภาพที่ชวนให้สะพรึงกลัวยิ่ง

“อ๊าก……”

อาคิระสะดุ้งตกใจ หายใจเหนื่อยหอบมากขึ้นเรื่อย ๆ

จากนั้นก็ลืมตาขึ้นกะทันหัน

จึงรู้ว่าตัวเองฝันไป แต่ฝันนี้เหมือนเป็นจริงมาก

เขาหลับตา ปรับลมหายใจถี่กระชั้นและหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำให้กลับมาเป็นปกติ

เมื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่ เขาก็ปรายตามองดูเวลาจากมือถือ ซึ่งเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว

เขารู้สึกเจ็บหน้าผาก ขึงตึง กดดัน

อาคิระเงยหน้าพร้อมกับนวดปลายหน้าผากทั้งสองข้าง

ซึ่งพื้นที่ด้านข้างว่างเปล่า ไม่เห็นเงาของผู้หญิงแล้ว

ณ ห้องอาหาร

พนาวันกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่

หมีพูลใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว มือเล็กถือแก้วน้ำอุ่นอยู่“เมื่อคืนนอนสบายไหมครับคุณแม่?”

“พอใช้ได้ค่ะลูก” เธอกำลังตัดโจ๊ก

“แล้วต่อไปนี้คุณพ่อจะนอนที่นี่ทุกคืนใช่ไหมครับ?” เขาเงยหน้ามองด้วยความอยากรู้และปรารถนา

พนาวันไม่เคยสัญญาลอย ๆกับลูก เธอกล่าวว่า“อยู่เป็นบางครั้ง หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ค่ะลูก”

วินาทีก่อนยังเงยหน้าอยู่เลย ทว่าวินาทีต่อมาก็ต้องก้มหน้าด้วยความผิดหวังเสียแล้ว เด็กผู้ชายกล่าวต่อไปว่า “คุณแม่ทำอาหารเก่งไม่ใช่เหรอครับ คุณแม่ลองทำเต็มโต๊ะเลยนะครับ ถ้าคุณพ่อชอบก็อาจจะไม่ไปจากพวกเราก็ได้ครับ”