บทที่ 548 ทำไมเป็นคนเจ้าอารมณ์แบบน

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

พนาวันจับศีรษะผู้เป็นลูก

หมีพูลกะพริบตาปริบ ๆ“วันนี้คุณแม่แต่งหน้าแล้วสวยมากเลยครับ”

พนาวันพูดแหย่ลูกชาย“หรือว่าถ้าแม่ไม่แต่งหน้าก็ไม่สวยใช่ไหม?”

“สวยครับ ในใจผม คุณแม่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเลยครับ”

พนาวันยิ้มชอบใจ

เวลาเดียวกัน อาคิระก็เดินออกจากห้องนอน

เขาในตอนนี้ผ่านการล้างหน้า โกนหนวดมาแล้ว แต่มุมปากยังคงบวมแดงเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็แตกต่างจากเมื่อวาน คล้ายกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว

ที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าของเขา ดังนั้นจึงใส่ชุดคลุมอาบน้ำ

หมีพูลเป็นเด็กรู้ความ วางถ้วยลงแล้วเรียกว่า“คุณพ่อ”

“อืม กินเถอะ” อาคิระก็นั่งลงที่โต๊ะ

พนาวันเห็นดังนั้นจึงตักโจ๊กให้หนึ่งถ้วย

อาคิระไม่แม้แต่จะมองแค่ปราดเดียว เอาแต่ดื่มกาแฟของตัวเอง

หัวใจพนาวันคล้ายกับถูกทิ่มแทง

บรรยากาศรอบโต๊ะกินข้าวช่างเงียบงันนัก เมื่อเทียบกับบรรยากาศเบิกบานใจเมื่อครู่ มันทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่ง

พวกเขาสามคน ไม่มีใครส่งเสียงพูดจาเลยสักคน

ทว่าหมีพูลกลับดีใจมาก ยกมุมปากขึ้นยิ้มไม่หยุด

เห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าลูกชาย ก้นบึ้งหัวใจของพนาวันก็รู้สึกขมฝาดเล็กน้อย

เป็นครั้งแรกที่อาคิระอยู่กินข้าวที่นี่

มิฉะนั้นหมีพูลคงไม่ดีใจและตื่นเต้นขนาดนี้หรอก

ถึงแม้หมีพูลจะเคารพรักอาคิระมาก แต่ก็ยังคงรู้สึกเกรงกลัวเขาเล็กน้อย

สองพ่อลูกไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลย

อาคิระก็ไม่ค่อยแวะเวียนมาที่นี่นัก แค่โทรหาหมีพูลเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เขาทำตัวเย็นชามาโดยตลอด ไม่เคยคิดจะเรียนรู้การเป็นพ่อคนเลย

แค่ใช้ความคิดที่แสนจะธรรมดาปฏิบัติต่อลูกชาย และบางครั้งยังรู้สึกเหลืออด หงุดหงิด ใส่อารมณ์ด้วย

ตั้งแต่ลูกเกิดมาจนถึงตอนนี้ เขาอุ้มหมีพูลนับครั้งได้เลย ดังนั้นลูกรู้สึกกลัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ

อาคิระเร่งรีบ“กินเร็วหน่อย”

หมีพูลรีบยกถ้วยขึ้น จากนั้นก็รีบเขี่ยเข้าปากตัวเอง

เพราะกินเร็วเกินไป จึงสำลักออกมา

พนาวันตบไหล่ลูกเบา ๆ เพื่อให้เขาหายใจคล่อง“ไม่ต้องรีบนะลูก ค่อย ๆ กิน”

โจ๊กหนึ่งถ้วย ไม่นานก็หมดเกลี้ยง

หมีพูลวางถ้วยวางช้อนลง

เห็นดังนั้น พนาวันก็รีบลุกขึ้นยืนด้วย คิดว่ากลับมาแล้วค่อยล้างถ้วยล้างจาน

หมีพูลอารมณ์กว่าปกติ

นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกนอกบ้านพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่

“คุณแม่ครับ ผมไปเอาของขวัญที่เตรียมไว้ให้น้องนะครับ”

สิ้นเสียง เขาก็ดันเก้าอี้วีลแชร์เข้าห้องนอน

อาคิระจ้องพนาวันด้วยสายตาเย็นเยียบ“คุณไม่ต้องไป”

พนาวันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ“เมื่อวานคุณบอกหมีพูลว่าจะไปด้วยกันไม่ใช่เหรอคะ?”

“คุณปัญญาอ่อนหรือว่าโง่ คำพูดหลอกเด็กคุณก็เชื่อ?” อาคิระส่งเสียงเหยียดหยาม

คล้ายกับพนาวันถูกตบหน้าอย่างจัง พลางรู้สึกเจ็บแปลบ

ทว่าเธอก็ยังถามอย่างหน้าด้านว่า“ไปครั้งนี้ครั้งเดียว ได้ไหมคะ?”

เธอกล่าววิงวอนด้วยเสียงแผ่วเบา และยังเจือความรู้สึกต้อยต่ำไว้ด้วย

อันที่จริง เธอเองก็ไม่อยากไปหรอก

เพียงแต่นึกถึงใบหน้าดีอกดีใจของหมีพูล ซึ่งตั้งหน้าตั้งตารอหนึ่งคืนเต็ม ๆ เธอจะให้ลูกผิดหวังได้อย่างไร

เธอปล่อยให้ลูกชายรอเก้อ ผิดหวังไม่ได้

อาคิระทำหน้าเหลืออด กล่าวเสียงเย็นชาและประชดประชัน“พาคุณไปเพื่อขายหน้าตัวเองเหรอ? คนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้วีลแชร์ ส่วนอีกคนขาเป๋ คิดจะดึงดูดสายตาทุกคนในงานหรือไง อยากตกเป็นเป้าสายตามากนักหรือ? อยากให้คนทั่วเฮทเครู้ว่าอาคิระอยากผมแต่งงานกับคนขาเป๋ใช่ไหม”

พนาวันทนฟังถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้ หัวใจเจ็บจี๊ดถึงทรวง

เธอนิ่งเงียบ พลางหยกขาเป๋โดยไม่รู้ตัว

เธอไร้คำจะต่อกรกับวาจาของอาคิระ

เธอเป็นคนขาเป๋ ออกไปก็มีแต่ขายหน้า

เวลานี้ หมีพูลเดินออกมา ดวงตาสว่างเจิดจ้า กล่าวเสียงร่าเริงว่า“คุณแม่ครับ ผมเตรียมตัวเสร็จแล้วครับ ไปกันเถอะครับ”

พนาวันฝืนยกมุมปากขึ้น“แม่มีธุระกะทันหัน ลูกไปกับคุณพ่อนะคะ”

หมีพูลดึงแขนของเธอ“คุณแม่ เมื่อวานพึ่งรับปากผมเอง ต้องทำให้ได้สิครับ”

เธอฝืนยิ้ม“ขอโทษลูก เพราะมีธุระสำคัญมาก แม่ขอโทษลูกด้วยนะ ลูกให้อภัยแม่อยู่แล้ว ใช่ไหม?”

หมีพูลไม่พูด ทว่าเขียนอารมณ์ทุกอย่างบนใบหน้าแล้ว

แววตาเขาเศร้าหมอง ก้มหน้า ยืนห่อไหล่

พนาวันย่อเข่าลงกับพื้น พลางลูบจับหัวของลูกชาย ส่งเสียงพูดว่าขอโทษเสียงเบาหลายต่อหลายครั้ง

ผ่านไปเนิ่นนาน หมีพูลก็เงยหน้าในที่สุด“คุณแม่ ถึงแม้จะผิดนัดแล้วทำให้ผมเสียใจ แต่ผมก็ตัดสินใจให้อภัยคุณแม่ครับ”

พนาวันคลี่ยิ้ม“ขอบคุณมากลูก คราวหลังจะไม่มีแบบนี้เด็ดขาด”

สองพ่อลูกออกไป เหลือเพียงเธอคนเดียว

พนาวันมองตัวเองผ่านกระจก

ซึ่งแต่งหน้าบาง ๆ ใส่กระโปรงตัวยาว

จากนั้นก็รู้สึกขบขัน คล้ายกับตัวตลกที่คิดเองเออเอง

เมื่อทำใจได้แล้ว เธอก็คิดจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อฟังผลตรวจร่างกาย

ช่วงนี้เธอรู้สึกท้องบวมแน่น อาหารไม่ค่อยย่อย และที่สำคัญ น้ำหนักลดลงด้วย

ดังนั้นสองวันก่อนเธอจึงไปตรวจที่โรงพยาบาล

วันนี้น่าจะทราบผลแล้ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พนาวันลงจากรถแท็กซี่ แล้วลงชื่อเข้าใช้บริการ

วันนี้มีคนไข้เยอะมาก เธอเริ่มรอตอนเก้าโมงครึ่ง เมื่อถึงสิบเอ็ดโมงก็ถึงคิวเธอ

“พนาวัน?”คุณหมอดันแว่นตาขึ้น

เธอผงกศีรษะ“ค่ะ”

“มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย……”

“โครม ๆ ๆ ”

พนาวันรู้สึกเหมือนโลกแตกสลาย ใบหน้าซีดขาว“คุณหมอว่าอะไรนะคะ?”

“ผลตรวจออกมาว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายครับ เซลล์มะเร็งกำลังขยายตัวครับ……”

ไม่รู้ว่าประโยคต่อจากนั้นคุณหมอพูดอะไรบ้าง เธอฟังไม่เข้าหูเลย รู้สึกเพียงว่าหูเกิดเสียงวง ๆคล้ายกับมีแมลงวันบินวนอยู่

เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากโรงพยาบาลยังไง

ทั้ง ๆ ที่แดดร้อนระอุปานนี้

ทว่าเธอกลับรู้สึกหนาวเหน็บ หนาวโครต ๆ

เธอเหมือนกับภูตผีล่องลอยอยู่กลางถนน ไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ พนาวันจึงกลับมาถึงบ้าน

ภายในบ้านมีแต่ความมืดมน

อาคิระกับหมีพูลยังไม่กลับมา

เธอเอามือกอดเข่า นั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุมห้องโดยไม่เคลื่อนไหว

ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ

“ปิ๊ง”

เกิดเสียงขึ้นมา

ภายในห้องก็สว่างทันควัน

อาคิระเข็นหมีพูลเข้ามา แล้วเห็นเงาที่นั่งอยู่ตรงมุม เขาเสียงเย็นชาว่า“เล่นบ้าอะไรกัน!”

เวลานี้พนาวันจึงดึงสติกลับมาอย่างแช่มช้า“กลับมาแล้วเหรอ”

“คุณแม่”

หมีพูลกล่าวเสียงเด็กดี

“ค่ะ เด็กดี”

สิ้นเสียงก็เห็นอาคิระจะเดินออกไป เธอรีบเรียกเขาให้หยุด“อาคิระ”

“มีอะไร?”

ริมฝีปากบางของเขาเม้มเป็นเส้นตรง สายตาเย็นยะเยือกสุด ๆ

พนาวันลังเลสักพัก จึงพูดลอดไรฟันออกมาว่า“คุณพักที่นี่ได้ไหม?”

มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย

เธอมีเวลาไม่มากแล้ว

จึงอยากให้เขาอยู่นานเท่าที่จะทำได้ และอยากให้เขากับหมีพูลเกิดความผูกพันต่อกัน

อาคิระทำหน้าเหลืออด เหยียดยิ้มเย้ยหยัน“มาไม้ไหนอีก? อยู่กับคุณเหรอ ฝันไปเถอะ”

หัวใจพนาวันคล้ายกับถูกเชือด

ทว่าเธอยังคงฝืนพูดต่อว่า“หมีพูลขาหัก ส่วนฉันก็ขาเป๋ ไม่สะดวกเลยค่ะ”

“ตระกูลอนันต์ธชัยไม่มีปัญญาจ้างคนใช้หรือไง?”

“แต่เขาเป็นลูกชายคุณนะคะ”

อาคิระกล่าวเสียงเย็นเยียบ“แล้วยังไง เขาออกมาจากท้องคุณไม่ใช่เหรอ”

พนาวันขบฟันแน่น“ถึงคุณจะรังเกียจฉัน แต่ลูกไม่รู้อะไรด้วยเลย”

เวลานี้ หมีพูลที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้วีลแชร์ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า“คุณพ่อเกลียดผมกับคุณแม่มากเลยเหรอครับ?