อาคิระก้มหน้ามองดวงตาของหมีพูลที่มีความคล้ายคลึงกับตนแปดส่วน
ซึ่งดวงตาคู่เล็กน้ำตาคลอเบ้า แลดูอ่อนแอยิ่ง
คล้ายกับกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ น่าสงสารยิ่ง
เขาใจอ่อน ทว่ากล่าวเสียงแข็งกร้าว“ไม่ใช่”
“จริงหรือครับ?”
“อืม อย่าคิดมาก ไปนอนเถอะลูก”
หมีพูลดึงชายเสื้อของเขา“คุณพ่อไม่ออกไปใช่ไหมครับ?”
“ไม่ออกไป”
ได้ยินดังนั้นพนาวันก็วางใจ
ถึงแม้อาคิระจะรังเกียจจนถึงขีดสุด ทว่าขอเพียงเขารับปากหมีพูลไว้แล้ว เขาก็จะไม่คืนคำ
จากนั้นเขาเข็นหมีพูลเข้าห้องนอน ต่อด้วยอุ้มขึ้นเตียง
“คุณแม่ครับ วันนี้ผมเห็นน้องใบหยกแล้ว น้องสวย ผิวขาวนุ่มมากเลยครับ” หมีพูลรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก
พนาวันฝืนยิ้ม“ใช่เหรอ?”
“ครับ เมื่อไหร่คุณแม่กับคุณพ่อจะมีน้องสาวให้ผมล่ะครับ?” ใบหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความวาดหวังรอคอย
มือของพนาวันชะงักค้าง
“ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว” เธอกล่าว
“ก็ได้ครับ”
ถึงแม้หมีพูลจะรู้สึกผิดหวัง ทว่าเมื่อนึกถึงภาพคุณแม่กับคุณพ่ออยู่ด้วยกัน เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา
……
พนาวันกล่อมหมีพูลนอนแล้วก็กลับเข้าห้องตัวเอง
ซึ่งไม่ได้เปิดไฟ ในห้องจึงมืดมิดไปหมด
เธอใช้แสงจันทร์ที่สอดส่องเข้ามา เพื่อเป็นแสงมองทางแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง
วินาทีต่อมา ผู้ชายก็ขึ้นมาคร่อมตัวเธอ
“อาคิระ วันนี้ไม่ทำแล้วได้ไหม ฉันรู้สึกไม่สบาย” สองมือเธอดันหน้าอกเขาไว้
“คิก เล่นตัวอีก? มันไม่ใช่เป้าหมายของคุณหรอกหรือ? ใช้มารยาปล่อยเพื่อจับเยอะเกินไป มีแต่จะทำให้ผมอยากอ้วก รู้ไหม?”
เขาจงใจระบายอารมณ์ ไม่แม้แต่สงสาร ท่าทางหยาบกระด้างมาก
พนาวันน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา ขบฟันแล้วนิ่งเงียบ
เช้าวันต่อมา
พนาวันตื่นเช้ามาก เพื่อจะได้เตรียมอาหารเช้า
จากนั้นก็ปลุกหมีพูลตื่นนอนแล้วล้างหน้าแปรงฟัน
หมีพูลกินข้าวเช้าไปพลาง กล่าวไปพลาง“คุณแม่ครับ คุณพ่อยังไม่ตื่นเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะลูก”
“เมื่อวานงานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของน้องใบหยก คุณพ่อไม่ได้กินอะไรเลยครบ ตอนนี้น่าจะกินมื้อเช้าหน่อยนะครับ” ลูกชายเป็นเด็กรู้ความเสมอ
พนาวันกล่าว“ถ้าตื่นแล้ว แม่จะเรียกพ่อมากินนะ”
“ครับ”
หมีพูลพยักหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า“คุณแม่ครับ เดี๋ยวส่งผมไปโรงเรียนหน่อยนะครับ”
พนาวันปอกไข่ต้มให้ลูกชาย พร้อมกับปฏิเสธโดยตรง“ให้โชเฟอร์ส่งลูกไปนะ เดี๋ยวแม่มีงานยุ่งมาก”
“คุณแม่ครับ ขาของผมก็เหมือนกับขาของคุณแม่นะครับ เพื่อน ๆ ไม่มองแต่คุณแม่หรอกครับ ยังมองผมด้วย คุณแม่ไปกับผมนะครับ” ลูกชายกล่าว
เขายังเด็ก ความคิดอ่านจึงใสซื่อไร้เดียงสา คิดว่าคุณแม่กลัวเพื่อน ๆ จะล้อท่าน จึงไม่ไปส่งเขาที่โรงเรียน
ตอนนี้เขาก็เดินไม่ได้เหมือนกันแล้ว คุณแม่มีเพื่อนอยู่ในสภาพเหมือนกันแล้ว จึงไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแล้ว
หัวใจเธอกระเพื่อม โลกของเด็กกับผู้ใหญ่นั้นต่างกันอย่างลิบลับ
เธอทนให้คนอื่นเรียกเธอว่าขาเป๋ได้ แต่ไม่อนุญาตให้ใครเรียกหมีพูลว่าขาเป๋เด็ดขาด
เธอรู้สึกขมฝาดในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า เธอกล่าวว่า“เดี๋ยวแม่ยุ่งมากจริง ๆ แม่ต้องทำความสะอาดห้องนะ”
หมีพูลพยักหน้าอย่างรู้ความ ไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก ก้มหน้ากินโจ๊กต่อไป
ผ่านไปชั่วครู่ลุงสินก็มา
เขาเป็นคนขับรถส่วนตัวของตระกูลอนันต์ธชัย มารับหมีพูลไปโรงเรียน
ลุงสินอุ้มหมีพูลมาแบกหลัง
หมีพูลหันหน้ามากล่าวว่า“คุณแม่ครับ อาหารเที่ยงล่ะครับ?”
พนาวันส่ายหัว“วันนี้ไม่ได้เตรียมอาหารกลางวันให้นะคะลูก”
“วันนี้คุณแม่ตื่นสายเหรอครับ?”
“ไม่ใช่ค่ะ นับจากวันนี้ แม่จะไม่เตรียมอาหารเที่ยงให้ลูกแล้วนะ ลูกกินกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเลยนะคะ”พนาวันกล่าว
หมีพูลเป็นคนเลือกกิน เขาไม่ชอบอาหารเที่ยงของโรงเรียน จึงไม่ยอมกินดี ๆ
ทว่าตอนนี้เธอเป็นมะเร็งกระเพาะระยะสุดท้าย
หากวันไหนเธอตายไป ใครจะดูแลเขาด้านนี้?
“ทำไมเหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก แม่ยุ่งมาก ไม่มีเวลาเตรียมค่ะ”
หมีพูลรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เบะปากด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจและเสียใจ
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าคุณแม่ไม่รักเขาแล้ว
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังลอยเข้ามา
ทุกคนรีบหันหน้าขวับไปตามต้นเสียง
พลางเห็นอาคิระเดินออกจากห้องนอน
ลุงสินรีบกล่าวทักทาย“คุณชายอาคิระ”
“อืม” เขาขานรับเสียงเย็นเยียบ
พนาวันเห็นสายตาอาคิระมองเก้าอี้วีลแชร์ผ่านลุงสินที่แบกหลังหมีพูลไว้ แล้วยังเห็นเขาขมวดคิ้ว
ก้นบึ้งหัวใจราวกับถูกดึงขึ้น
เขาเคยพูดว่าเก้าอี้วีลแชร์รกหูรกตา อยากโยนทิ้ง
ดังนั้นเธอจึงรีบก้าวเท้าจับเก้าอี้วีลแชร์แล้วเข็นออกนอกคอนโดด้วยการเดินที่โซเซ
ลุงสินแบกหมีพูลเดินอยู่ด้านหน้า ส่วนพนาวันเข็นเก้าอี้วีลแชร์อยู่ด้านหลัง
เก้าอี้วีลแชร์ชนเข้ากับผนังและพื้นจนเกิดเสียงกระแทกอยู่บ่อยครั้ง
เธอขบฟันให้ตัวเองเดินเร็วขึ้น
ถึงแม้ท่าทางจะแลดูบ้องตื้นและตลกก็ตาม แต่เวลานี้เธอสนใจท่าทางเหมือนคณะตลกของตัวเองไม่ได้แล้ว
อาคิระเห็นภาพตรงหน้าก็ยิ่งโมโห เกิดเพลิงโทสะลุกโชน ก้าวเท้ายาวไปด้านหน้า ไม่กี่ก้าวก็ตามทันแล้ว พลางกล่าวเสียงเย็นเยียบ “ปล่อยมือ”
เธอชะงักเล็กน้อย ไม่ได้ปล่อยมือ ทางกลับกัน ยิ่งจับแน่นกว่าเดิม กลัวเขาโกรธจนยกเก้าอี้วีลแชร์ทิ้ง
เพราะความหงุดหงิดและเหลืออดเขียนอยู่บนใบหน้าเขาอย่างเด่นชัด ไม่ได้ปกปิดสักนิด
เสียงของเขาเย็นเยียบเพิ่มขึ้นอีกหลายองศา“ปล่อยมือ!”
“หมีพูลต้องใช้……”
ไม่รอให้เธอพูดจบ อาคิระก็ปัดสองมือเธอทิ้ง จากนั้นก็ยกเก้าอี้วีลแชร์ขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วเดินไปข้างหน้า
เธอชะงักค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็มองผ่านกระจกหน้าต่างลงไปด้านล่าง
ลุงสินวางหมีพูลไว้แถวหลังของรถ อาคิระเอาเก้าอี้วีลแชร์ไว้ท้ายรถ จากนั้นก็พูดคุยอะไรบางอย่างกับลุงสินเล็กน้อย
เขาไม่เอาไปทิ้งก็พอ พนาวันรู้สึกโล่งอก
หมีพูลต้องใช้เก้าอี้วีลแชร์ตลอดทั้งเดือน ถ้าโยนทิ้งก็ต้องซื้อใหม่ ไม่ง่ายเลยกว่าลูกจะใช้ตัวนี้ชิน หากเปลี่ยนใหม่ เขาก็ต้องปรับตัวใหม่อีกครั้ง
ภายในห้องยุ่งเหยิงเล็กน้อย เธอจัดระเบียบห้อง กลิ่นภายในห้องต่างจากปกติ ถึงแม้เขาจะมานอนพักสองคืน แต่ก็มีกลิ่นอายของเขาปะปนด้วยกันแล้ว
เธอเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ของใช้ที่มีกลิ่นอายของเขา เธอทำการล้างเปลี่ยนใหม่หมด
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงแขกของบ้านหลังนี้ อยากจะมาเมื่อไหร่ก็มา อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไป……
เธอรั้งเขาอยู่ได้หนึ่งคืน แต่ก็ไม่อาจบังคับฝืนใจให้เขาอยู่ทุกค่ำคืน
ผ่านไปสักพักก็จัดการทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จสรรพ พนาวันจับผ้าปูที่นอนเบา ๆ พลางเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
หลังจากนั่งเหม่อลอยชั่วครู่ เธอก็เดินออกจากห้อง ทว่ากลับเห็นอาคิระนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ได้ไปไหน
พนาวันรู้สึกประหลาดใจมาก ทว่าไม่ได้ปริปากถาม
ถึงจะถามก็ได้แต่คำดูถูกเหยียดหยามกลับมา
เขาไม่ไปไหนดีที่สุด!
พนาวันเดินผ่านตรงหน้าเขา เพื่อไปเก็บเสื้อผ้าในห้องอาบน้ำของหมีพูลมาซัก
ตอนนี้ย่างเข้าสู่ฤดูร้อนในช่วงที่ร้อนที่สุดแล้ว แสงพระอาทิตย์สวยสดงดงาม ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างพลันสะท้อนรอบกายเธอ
แสงสีเหลืองอ่อนชวนให้รู้สึกอบอุ่นยิ่ง ฟองสบู่สำหรับซักผ้าลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ เมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ก็บังเกิดสีสันหลากหลาย
ภาพนี้จะทำให้ก้นบึ้งหัวใจรู้สึกเคลิบเคลิ้มหลายส่วน
ทว่าไม่ได้รวมถึงอาคิระ