เมื่อสิ้นเสียงเขา เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
ปรายตามองชายหนุ่ม ถามด้วยเสียงเย็นชา “ศัตรูหัวใจหรือ ศัตรูหัวใจอยู่ที่ไหนกัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านอย่าได้เห็นบุรุษแล้วก็พานเหมาเป็นศัตรูหัวใจไปจนหมดได้หรือไม่”
นางอยากจะบ้าตายแล้ว
เพราะเรื่องของเป่ยเฉินอี้เมื่อครู่ จู่ๆ ก็หึงหวงอย่างไร้เหตุผลไปยกใหญ่ บอกว่าสายตานางยามมองเป่ยเฉินอี้ไม่ปกติ การแสดงออกทั้งหลายทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกยังไม่อาจสงบใจลงได้
ยามนี้เสี่ยวจิ่วพลันเปลี่ยนไปเป็นศัตรูหัวใจของเขาอีกแล้ว เยี่ยเม่ยอยากถีบเขาสักทีหนึ่ง มองคน มองปัญหา มองความสัมพันธ์ ทำไมเขาถึงได้คิดอะไรซับซ้อนนักหนา
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ องค์ชายสี่ไม่โกรธ ทว่าหันมองนาง
ใบหน้าหล่อร้ายมีความลุ่มลึกขึ้นหลายส่วน ลอบถามว่า “เขาไม่ใช่ศัตรูหัวใจ อย่างนั้นตามความหมายของเจ้า เขาก็คือน้องภรรยาแล้ว”
เยี่ยเม่ยสีหน้าแข็งทื่อ กลัดกลุ้ม
ถึงนางจะมีสัญญาหมั้นหมายกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ทว่ายังไม่ได้แต่งงาน จู่ๆ มาพูดถึงน้องภรรยา นางยากจะรับไหว รู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง
ทว่ายามนี้หาใช่เวลาเขินอาย เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สงบสติตัวเอง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “แน่นอน สรุปท่านจะช่วยหรือว่าไม่ช่วย”
คำพูดเยี่ยเม่ยเหมือนกับว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยหาได้อยู่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนเลือกไม่
จากนั้น…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ยคำรบหนึ่ง ถามเนิบๆ ว่า “ข้ามีสิทธิ์พูดว่าไม่อย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า “ท่านว่าอย่างไรล่ะ”
น้ำเสียงไม่ยินดีอย่างมาก คล้ายกับว่าหากนางได้ฟังคำตอบที่ไม่อยากฟัง ก็จะลงมือจัดการคนทันที
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันถอนลมหายใจ เดินไปข้างเตียงอย่างยอมรับชะตากรรม ถอนใจช้าๆ “เยี่ยนเป็นสามีแสนดีที่ยอมลำบากลำบนอยู่แล้ว”
เยี่ยเม่ย “…”
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนสองคนยืนอยู่ข้างเตียง ต่างก็มีสีหน้าจนคำพูด ถึงในใจจะคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกจะใจแคบด้านความรักไปเสียหน่อย ทว่าส่วนลึกในใจยังพอเข้าใจได้อยู่
อย่างไรก็ตามเยี่ยเม่ยเห็นเสี่ยวจิ่วเป็นน้องชาย แต่เสี่ยวจิ่วไม่ได้คิดเช่นนั้น
พวกนางที่เป็นคนข้างๆ ต่างก็ดูออกว่าความรู้สึกที่เสี่ยวจิ่วมีต่อเยี่ยเม่ยไม่ปกติ…
น่าเสียดายที่เยี่ยเม่ยตรงไปตรงมา มองไม่ออก
ซือหม่าหรุ่ยรีบรุดเข้าไป คิดจะพยุงเสี่ยวจิ่วขึ้นมา แต่พลันนึกถึงตอนที่ตนเองเกือบถูกเสี่ยวจิ่วแทง นางก็ปรายตามอง เยี่ยเม่ยทันที
เยี่ยเม่ยก็ตระหนักได้ ยื่นมือออกไปพยุงจิ่วหุน
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นมือของเยี่ยเม่ยก็เข้าใจทันทีว่านางคิดทำอะไร เขาปัดมือของหญิงสาวออก รีบเข้าไปพยุงจิ่วหุนด้วยตัวเอง
เยี่ยเม่ยหมายเตือนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า จิ่วหุนอยู่ในสภาพไม่ได้สติ อาจลงมือโจมตีด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่า
คิดไม่ถึงว่าไอสังหารจากร่างจิ่วหุนเพิ่งแผ่ออกมา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันฟาดมือไปที่ท้ายทอยของเขา ยามนี้จิ่วหุนที่กึ่งมีสติก็สิ้นสติสมประดี
คราวนี้…
หมดสิ้นเรี่ยวแรงทำร้ายคนแล้ว
เยี่ยเม่ยตีหน้าขรึม “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านนี่มัน… ข้าให้ท่านช่วยคน ท่านกลับดีนัก ทำให้คนพอมีสติอยู่บ้าง สิ้นสติไปหมดสิ้นแล้ว”
ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนมุมปากกระตุก
ส่วนคนที่ทำเรื่องนี้ มองสีหน้าขุ่นมัวของเยี่ยเม่ย ใบหน้าหล่อร้ายหาได้ตื่นเต้นหรือร้อนใจ
เอ่ยปากช้าๆ ว่า “ฮูหยิน อย่าโกรธเลย เขาในตอนนี้มีสัญชาตญาณต่อสู้ ทำให้สลบไปก็ดีแล้ว ตอนนี้เจ้าพยุงเขาขึ้นมา แต่ระหว่างที่เยี่ยนเดินลมปราณให้เขา เจ้าห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด หากระหว่างนี้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นล่ะก็ ข้ากับเขาคงธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว”
ทุกคนหมดคำพูด ฟังดูแล้วก็เหมือนมีเหตุผลอยู่บ้างนะ
แต่ไฉนพวกนางถึงฟังว่าเป็นน้ำเสียงของคนเตรียมแก้แค้นกันเล่า
ซือหม่าหรุ่ยรีบก้าวขึ้นมา บอกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “อวัยวะภายในของเขามีพิษ เพื่อรักษาตัวเองก็ปิดจุดชีพจรเริ่นตูไปแล้ว ท่านต้องลงมือตอนนี้ ทะลวงจุดเริ่นตูของเขา ทำให้ลมปราณลื่นไหล เขาถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ไวหน่อย แต่ท่านคงเข้าใจนะว่า การทะลวงจุดชีพจรเริ่นตู สำหรับคนทั่วไปแล้วต้องใช้กำลังภายในหกสิบปี ถึงท่านมีพื้นฐานล้ำลึก แต่ว่าก็ต้องใช้กำลังพลังภายในไม่น้อย หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปต้องรักษาตัวสองสามวัน ห้ามใช้กำลังภายใน”
คราวนี้เยี่ยเม่ยด้านข้างที่คิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนมือช่วย ก็เพียงช่วยเหลือเท่านั้นไม่ถึงขั้น “ลำบากลำบน” ก็ไม่เอ่ยปากอีก
ที่แท้ต้องเสียกำลังภายในจำนวนมาก
ช่วงนี้นางได้รับเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่ทั้งลงมือศึกษา กำลังภายในขั้นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปคือพื้นฐานวรยุทธ์หกสิบปี เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอายุน้อย ก็แค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น เขามีกำลังภายในหกสิบปีได้ เห็นได้ว่าเขามีความสามารถเกินธรรมดา ทั้งยังเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกยุทธ์หกเจ็ดปีแล้วจำนวนไม่น้อยเสียอีก
กำลังภายในเช่นนี้ ใครเอาออกมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นก็เป็นการเสียหายอย่างใหญ่หลวง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วก็ไม่ตอบอะไร เขารวบรวมสมาธิ เรียวนิ้วยาวดุจหยกสกัดเข้าที่จุดชีพจรของจิ่วหุนอย่างรวดเร็ว รวบรวมสมาธิมั่น โคจรกำลังภายในเข้าสู่ร่างกายจิ่วหุน
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยและซินเยว่เยี่ยน ส่งสัญญาณให้พวกนางออกไป
เวลานี้ห้ามรบกวน ทันทีที่รบกวน จะธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างง่ายดาย
สตรีทั้งสามออกจากห้องไป
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองห้อง เสียงเบาเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”
อย่างไรนางก็รู้ว่าการเอากำลังภายขั้นหนึ่งออกมาใช้ เพื่อทะลวงจุดชีพจรเริ่นตูให้ผู้อื่น เท่ากับทำลายการฝึกปรือหกสิบปีของคนผู้นั้น ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอายุยังเยาว์ ระยะเวลาในการฝึกปรือน่าจะยังไม่นาน
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย ปลอบว่า “วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาหรอก องค์ชายสี่เป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค แต่ว่าพื้นฐานของเขาไม่ต่ำไปกว่าขั้นห้าแน่ คำพูดนี้ก็คือผู้อื่นต้องฝึกปรือสามร้อยปีถึงมีวรยุทธ์ระดับนี้ ส่วนเขาอายุยี่สิบกว่าก็สำเร็จแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเลยสักน้อย”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ซือหม่าหรุ่ยเสริมต่ออีกว่า “เพราะว่าพื้นฐานเขาล้ำลึก ดังนั้นต้องรักษาตัวสองสามวัน เขาถึงฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปกลับมาได้ ไม่เหมือนเช่นคนทั่วไปที่สูญเสียกำลังฝึกปรือหกปีไปเลย เพียงแต่ถัดไปสองสามวันนี้ ร่างกายเขาจะอ่อนแอเป็นพิเศษเท่านั้น”
ซินเยว่เยี่ยนยืนมองอยู่ด้านข้าง ก็รีบพยักหน้ารัว “ไม่ผิด องค์ชายสี่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ พูดตามตรงแล้ว พื้นฐานของเสี่ยวจิ่วก็ก้าวผ่านขั้นสี่ไปได้ ในโลกนี้คนที่เป็นเหมือนพวกเขา ไม่ถูกอายุจำกัดควบคุมไว้ กลายเป็นยอดอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์มีจำนวนแค่หยิบมือเท่านั้น ความสามารถขององค์ชายสี่ เป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล”
อย่างไรเสีย หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังทำไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่มีใครแล้ว
เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก นางรู้สึกว่าการฝึกกำลังภายในหนึ่งปีก็ยากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีคนฝึกมาสำเร็จขั้นฝึกฝนร้อยปี อีกทั้งข้างกายนางยังมีถึงสองคนด้วย
นางยังบอกว่านางอิจฉาได้หรือเปล่า