บทที่ 129 เขามาแล้ว โดย Ink Stone_Romance

“อยู่ไม่ถึงยี่สิบห้า…”

“อยู่ไม่ถึงยี่สิบห้า…”

ลมหนาวพัดโชยมา อวี๋หวั่นผู้ปราดเปรื่องก็ตื่นจากการหลับใหล

ไม่รู้พระจันทร์เสี้ยวที่อยู่เหนือศีรษะไปซ่อนตัวอยู่ในก้อนเมฆตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้กระทั่งดวงดาวก็ถูกบดบังจนมองไม่เห็น รอบๆ ถูกรายล้อมไปด้วยความมืดมิดและได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวเท่านั้น

หลังจากที่อวี๋หวั่นตกลงมาจากหน้าผา ร่างของเธอบังเอิญพันกับเถาวัลย์ของต้นไม้โบราณ แรงกระแทกที่รุนแรงทำให้เธอหมดสติไป และจากนั้นเธอก็ฝันร้ายพร้อมกับเสียงของอวี้จื่อกุยที่อยู่ในความฝัน ‘เขามิได้บอกเจ้ารึ ว่าเจ้าจะอยู่ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า’

“เจ้านั่นล่ะที่จะอยู่ไม่ถึงยี่สิบห้า!” อวี๋หวั่นด่าอย่างเจ็บแสบ

มีอาการเจ็บปวดที่หลังและแขนขาอย่างรุนแรง ไหล่และเอวถูกรัดแน่นเจ็บปวดไม่แพ้กัน ขาของเธอก็ชาเนื่องจากห้อยอยู่นานเกินไป แต่โชคดีที่แขนยังขยับได้

อวี๋หวั่นหยิบหั่วเจ๋อจื่อ[1]ออกจากกระเป๋า อยากรู้ว่าตนห้อยอยู่ที่ใดกันแน่ ไกลจากพื้นดินมากน้อยแค่ไหน หากไม่ไกลนักเธอก็จะตัดเถาวัลย์แล้วกระโดดลงไป

แต่หลังจากพยายามจุดอยู่นาน หั่วเจ๋อจื่อก็จุดไม่ติดเสียที เธอมิทันระวังก็บังเอิญชนเข้ากับบางสิ่งที่เย็นๆ หินเล็กๆ ก้อนหนึ่งกลิ้งตกลงไป

หนึ่ง สอง สาม…

ใช้เวลาเจ็ดหรือแปดวินาทีจึงได้ยินเสียงดังขึ้นมา

หัวใจดวงน้อยของอวี๋หวั่นก็ยิ่งหดเล็กลง

ที่ตรงนี้ห่างไกลจากพื้นดินมากแค่ไหน? ชัดเจนแล้วว่ายังแขวนอยู่บนครึ่งไหล่เขา!

อวี๋หวั่นไม่กล้าทำผลีผลาม เพราะเกรงว่าจะทำเถาวัลย์ที่ช่วยชีวิตอยู่ตอนนี้ขาดโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่เธอไม่ขยับ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัย

มีเสียงพึมพำดังมาจากในความมืด อวี๋หวั่นรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างที่อันตรายใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นมอง ฉับพลันพบกับแสงสีเขียวดุร้ายสองดวง

มันก็คืองูพิษ!

งูพิษแลบลิ้นและพุ่งเข้าฉกอวี๋หวั่น!

ทันใดนั้นเองจิ้งจอกขาวขนฟูตัวน้อยก็ตกลงมาจากท้องฟ้า และตีเข้าที่หัวของงู ร่างของงูพิษแข็งทื่อและตกลงไปจากหน้าผา…

จิ้งจอกหิมะตัวน้อยล้มลงบนหน้าอกของอวี๋หวั่น มันใช้เท้าเล็กๆ ถูที่ตาและเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง

ข้าเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน? ข้ากำลังทำอะไร?!

ยังมิทันที่สติของลูกสุนัขจิ้งจอกจะกลับมา ในที่สุดเถาวัลย์ที่พันอยู่รอบตัวอวี๋หวั่นก็รับน้ำหนักไม่ไหว และขาดออกจากกัน!

หนึ่งคนและหนึ่งสุนัขจิ้งจอกร่วงลงไปด้านล่างในทันที!

อวี๋หวั่นกอดกำสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ไว้ตามสัญชาตญาณ และเอื้อมมือไปคว้าหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง แต่ก็จับไว้ได้เพียงก้อนหินที่ไม่แข็งแรง

ครื่น!

หินได้แตกออก!

ครานี้เธอจับอะไรไม่ได้เลย…

ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต ร่างอันแข็งแกร่งบินลงมาในอากาศและคว้าเอวของอวี๋หวั่นไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็ยิงกรงเล็บเหล็กอันแหลมคมคว้าต้นไม้ใหญ่บนหน้าผาที่อวี๋หวั่นแขวนอยู่ก่อนหน้านี้ไว้อย่างมั่นคง

แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน แต่อวี๋หวั่นจำลมหายใจของผู้ชายที่เป็นของเขาเท่านั้นได้ เช่นเดียวกับกลิ่นหอมจางๆ และกลิ่นสมุนไพร

เขาจะมาที่หน้าผาสูงชันนี่เพราะเหตุใด?

ทำไมถึงรู้ว่าเธอหายไป? แล้วทำไมถึงหาเธอพบ?

หลังจากคิดเรื่องนี้ ทั้งสองก็แกว่งไปมาเหมือนกับชิงช้าอยู่ที่ใต้ต้นไม้ จิ้งจอกหิมะตัวน้อยก็เข้าไปในกระโปรงของ อวี๋หวั่นด้วยความตกใจ

ในที่สุดทั้งสองคนก็ทรงตัวได้ เขาก็พูดเบาๆ ว่า “กอดไว้แน่นๆ”

เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นความตาย อวี๋หวั่นมักไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่อง เธอจึงโอบรอบเอวที่แข็งแกร่งของเขาอย่างเชื่อฟัง

สวมใส่เสื้อผ้าแล้วดูผอม แต่เมื่อเปลื้องผ้ากลับมีกล้ามเนื้อ คำพูดนี้คงหมายถึงผู้ชายประเภทนี้สินะ

อวี๋หวั่นรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องทุกส่วนของเขาผ่านเสื้อผ้า มิใช่เพียงรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูดีแต่ไร้ประโยชน์ หากแต่เป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องรูปตัววีที่ได้ส่วนสัดและเต็มไปด้วยพละกำลัง

ทำไมถึงได้มีรูปร่างของชายหนุ่มที่ดีได้ขนาดนี้หนอ…

“เจ้า อย่าลูบคลำตัวข้า” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

อวี๋หวั่นเก็บอุ้งเท้าหมาป่าตัวน้อยของเธอกลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า…

เยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ ขยายสายในเครื่องเคลื่อนย้าย แม้ว่าสายจะยาวไม่พอสำหรับพวกเขาที่จะไปถึงพื้นด้านล่างของหน้าผา แต่พวกเขาก็พบถ้ำที่ซ่อนอยู่ในหน้าผาในขณะที่กำลังหย่อนตัวลงมา

ทั้งสองเข้าไปในถ้ำอย่างอันตราย

อวี๋หวั่นหยิบหั่วเจ๋อจื่อออกมาจากกระเป๋า

มีค้างคาวสองสามตัวห้อยอยู่ด้านบนของถ้ำ พวกมันบินหนีไปเพราะกลัวแสงไฟจากหั่วเจ๋อจื่อ

ถ้ำมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีร่องรอยของนกขนาดใหญ่มาทำรัง แต่เห็นได้ว่ามันถูกทิ้งร้างมานานเหลือเพียงกิ่งไม้แห้งที่กระจัดกระจาย

อวี๋หวั่นหยิบกิ่งไม้แห้งผสมกับใบไม้แห้งบนพื้นและจุดกองไฟ

ความหนาวเย็นภายในถ้ำพลันหายไปไม่น้อย

ทั้งสองนั่งลงข้างกองไฟ

ท้องของอวี๋หวั่นรู้สึกหิวเล็กน้อย หน่อไม้และผักป่าที่ขุดขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าหล่นไปอยู่ไหนแล้ว โชคยังดีที่มีถุงน้ำอยู่ในกระเป๋า

อวี๋หวั่นปลดถุงน้ำ ดึงจุกไม้ก๊อกออกและกำลังจะเงยหน้าขึ้นดื่ม แต่ทันใดนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ เธอยื่นถุงน้ำไปด้านหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา “ให้ท่าน”

เยี่ยนจิ่วเฉาชำเลืองมองเธอ

ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาของเธอหรือเปล่า เพราะมักจะรู้สึกว่าคนคนนี้แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนไปจน…ทำให้คนไม่กล้าแหย่

อวี๋หวั่นคิดว่าเขารังเกียจสิ่งของที่เธอใช้แล้ว จึงอธิบายว่า “ข้ารู้ว่าตระกูลยิ่งใหญ่อย่างพวกท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่ถุงน้ำนี้ล้างแล้วและข้าก็ยังไม่ได้ดื่มด้วย”

เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบถุงน้ำมา เขาเงยหน้าขึ้นและจิบสองสามครั้ง

อวี๋หวั่นเฝ้าดูลูกกระเดือกของเขา และพึมพำในใจ เขาคงรีบมาช่วยเธอเป็นแน่ ทำให้เธอรู้สึกรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงเฝ้าดูเขาดื่มน้ำอย่างน่ารื่นรมย์เช่นนี้…

หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาดื่มเสร็จเขาก็คืนถุงน้ำให้อวี๋หวั่น

อวี๋หวั่น… อวี๋หวั่นก็ดื่มมันด้วยความลำบากใจ

“เจ้ารังเกียจข้าคนนี้หรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเขยิบมาหาอวี๋หวั่นเบาๆ

อวี๋หวั่นเก็บถุงน้ำใส่ในกระเป๋า “เปล่า”

เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ดื่มมันล่ะ หรือเจ้าต้องการให้คุณชายผู้นี้ป้อนเจ้า”

ป้อนยังไง?

ปากต่อปากเหรอ?

อวี๋หวั่นสำลัก

อวี๋หวั่นหยิบถุงน้ำที่บรรจุน้ำเพียงครึ่งหนึ่งออกมา ดึงจุกก๊อกออกและดื่มน้ำอย่างเชื่อฟัง ภายใต้สายตาจ้องมองที่รุนแรงและทรงพลังของเยี่ยนจิ่วเฉา

แววตาของเยี่ยนจิ่วเฉาลึกล้ำ และแฝงความหมายลึกซึ้งที่น่าขนลุกเพียงแวบหนึ่ง

จิ้งจอกหิมะตัวน้อยกระโดดออกมา มองเงาของตัวเองบนพื้นด้วยความตกตะลึง มันเหยียดอุ้งเท้าเล็กๆ ออกไปและข่วนเป็นระยะ ดูโง่เขลาอย่างเดือดพล่าน

กองไฟที่ไม่ได้เติมเชื้อเพลิงเพียงไม่นานก็ดับลง ความเย็นของถ้ำถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แต่ความโชคร้ายมิได้มีเพียงเท่านั้น กลางดึกคืนนั้นฝนก็เริ่มตกลงมา

ทำให้บรรยากาศในถ้ำหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม

จิ้งจอกหิมะตัวน้อยหลับไปบนตักของอวี๋หวั่น แต่เครื่องทำความร้อนจากธรรมชาติตัวนี้ก็ไม่สามารถทนต่อความหนาวเย็นของฝนในฤดูใบไม้ผลิได้

อวี๋หวั่นเอนตัวพิงเยี่ยนจิ่วเฉาไปโดยไม่รู้ตัว

………………………………

[1] หั่วเจ๋อจื่อ火折子 คือ แท่งจุดไฟในสมัยอดีตที่ทำจากดินหยาบนำมาม้วนให้แน่น