บทที่ 130 เอาเปรียบผู้อื่น โดย Ink Stone_Romance
เยี่ยนจิ่วเฉานิ่งไม่ขยับ
อวี๋หวั่นก็ไม่รู้ว่าเขากำลังหลับรึเปล่า
ค่ำคืนบนภูเขาและป่าไม้มืดสนิท ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ยิ่งทำให้ไร้ซึ่งแสงสว่าง
อวี๋หวั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่เอาแต่ใจมากนัก แต่เมื่อเทียบกับการอยู่คนเดียวในหน้าผาหินสูงชันนี้แล้ว หัวใจของเธอก็รู้สึกสงบและปลอดภัยที่มีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน
อวี๋หวั่นย้ายไปอยู่ข้างเยี่ยนจิ่วเฉาอีกครั้ง ด้วยถ้ำที่มีขนาดมิใหญ่นัก เธอขยับไปไม่ถึงสองครั้งก็สัมผัสกับแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา
ความร้อนจากร่างกายแผ่ออกมาผ่านชั้นเสื้อผ้า ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตัวเองอุ่นขึ้น
เมื่อนึกถึงหนังสือลับเหล่านั้น อวี๋หวั่นก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่เพราะเขาช่วยเธอด้วยความกล้าหาญและเสียสละอย่างแท้จริง อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจให้มันจบแค่นี้
“คุณชายเยี่ยน”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่ถ้ำที่เงียบสงัดทำให้เสียงนั้นโดดเด่นขึ้นมา อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาตอบสนองอะไร ทว่าปลุกจิ้งจอกหิมะตัวน้อยบนตักของเธอให้ตื่น
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยที่มีขนสีขาวกระดกคอมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง โดยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติและกลับไปเอนตัวนอนบนตักของอวี๋หวั่นด้วยความรู้สึกง่วงต่อ
อวี๋หวั่นฟังเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนหนึ่งคนกับจิ้งจอกหนึ่งตัว และพูดในใจว่าหรือจะมีแค่ฉันคนเดียว?
ลมหนาวพัดมาบางครั้งก็ผสมกับละอองฝนเย็นๆ อวี๋หวั่นนั่งอยู่พักหนึ่ง มือและเท้าของเธอเย็นเฉียบ
อวี๋หวั่นใช้แขนของเธอสัมผัสเขาเบาๆ แต่ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ อวี๋หวั่นกะพริบตาของเธอและค่อยๆ เอนศีรษะน้อยๆ ของเธอเข้าไป
ทว่าในขณะที่เธอกำลังจะเข้าไปใกล้ อวี๋หวั่นก็หยุดอีกครั้ง
แม้จะเป็นเพียงการให้ความร้อน แต่การเอาเปรียบผู้อื่นทำนองนี้ มันก็ไร้ยางอายเกินไปรึเปล่า?
เมื่อเกิดความคิดขึ้นในหัว อวี๋หวั่นก็มิอาจนำศีรษะไปพิงได้อีก
เมื่ออวี๋หวั่นกำลังจะนั่งตัวตรง ทันใดนั้นมือหยกที่เรียวยาวก็โผล่มาจากด้านหน้าและกดศีรษะของเธอไว้บนไหล่ของเขา
…
อวี๋หวั่นคิดว่าเธอคงจะนอนไม่หลับ แต่หารู้ไม่เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นรุ่งอรุณเสียแล้ว
แก้มของอวี๋หวั่นร้อนขึ้นและในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นยืน เยี่ยนจิ่วเฉาก็ตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ
เธอสบเข้ากับดวงตาที่เงียบสงบและเย็นชาราวกับทะเลสาบเยือกแข็งเป็นเวลาหลายพันปี เพียงแวบเดียวก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นไปด้วยความหวาดกลัว
อวี๋หวั่นไม่เคยเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เธอเองก็ยังตะลึงไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ในวินาทีถัดมา ความเย็นชาในดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และถูกแทนที่ด้วยความหยิ่งยโสที่ดูเหยียดหยาม “อะไร? คืนเดียวยังไม่พอที่จะใช้ประโยชน์จากคุณชายคนนี้รึ? ยังลังเลที่จะลุกขึ้นอีกหรือ?”
ลมหายใจของอวี๋หวั่นหยุดนิ่งลงทันที “ใครเอาเปรียบท่านกัน? เรื่องนี้ใครกันแน่ที่เสียเปรียบเล่า? และท่านต่างหากที่ยอมให้ข้า…”
อวี๋หวั่นมองดูสภาพพวกเธอสองคนในตอนนี้ แล้วก็ต้องหยุดชะงักลงกะทันหัน มันไม่ใช่การพิงกันอีกแล้ว แต่กลับเป็นการโอบกอดกัน
“ข้านอนอย่างเรียบร้อย” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เห็นว่าเธอไม่ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมโดยเด็ดขาด
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วและมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “มือ”
อวี๋หวั่นปล่อยมือของเธอที่เกาะกุมเขาอยู่
“อีกข้าง” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“… ” อวี๋หวั่นดึงมือซ้ายที่ยื่นเข้าไปใกล้ใครบางคนกลับมา
แล้วอวี๋หวั่นก็ยืนขึ้น
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอีกว่า “เข็มขัด”
อวี๋หวั่นหยิบเข็มขัดเส้นยาวสีทองจากด้านหลังและส่งให้เขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
…
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซานพบทั้งสองหลังจากที่พวกเขาตื่นขึ้น อวี๋หวั่นยังได้ถามก่อนที่จะรู้ว่าหน้าผานั้นสูงชันเกินไป และยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้พิทักษ์แห่งความมืดที่เก่งกาจอย่างพวกเขาที่จะลงมาได้อย่างปลอดภัย ยิ่งไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉากล้าเดิมพันแบบนั้นได้อย่างไร ตอนแรกก็ส่งจิ้งจอกหิมะน้อยลงมา และท้ายที่สุดก็ส่งตัวเองลงมาอีก
แม้ว่าเครื่องเคลื่อนย้ายจะใช้งานได้ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้เสมอไป หากกรงเล็บเหล็กไปเกี่ยวเข้ากับก้อนหินที่เปราะบางแล้วละก็ ไม่ต้องพูดถึงว่าช่วยชีวิตของอวี๋หวั่นไม่ได้ แม้แต่เยี่ยนจิ่วเฉาเองก็คงตกลงไปตายอย่างไม่มีชิ้นดี
“จากตรงนี้มันยากเกินไป ลงไปด้านล่างของหน้าผาจะใกล้กว่า” อิ่งสือซานตอกเชือกเข้ากับถ้ำ ส่วนอิ่งลิ่วก็เดินไปรอรับที่ด้านล่างของหน้าผา
อิ่งสือซานเป็นคนแรกที่ลงไปก่อนเพื่อกำจัดสิ่งอุปสรรคกีดขวางทั้งหมดระหว่างทาง
ทั้งสองมาถึงด้านล่างของหน้าผาได้สำเร็จ
“คุณชาย แม่นางอวี๋ พวกท่านไม่เป็นไรใช่ไหม!” อิ่งลิ่วกล่าวทักทาย
อวี๋หวั่นส่ายหัว “ไม่เป็นไร”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งลิ่วโบกมือและชี้ “เราอยู่ทางตอนเหนือของหมู่บ้านเหลียนฮวา เดินออกจากหุบเขานี้แล้วปีนข้ามภูเขาลูกนั้นและเดินตามลำห้วยไปทางทิศใต้ จากนั้นเราก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว อ้อจริงสิแม่นางอวี๋ ท่านตกลงมาจากหน้าผาได้อย่างไรรึ?”
“ข้าพบกับอวี้จื่อกุยเข้า” อวี๋หวั่นพูดตามความเป็นจริง
“เจ้าหมอนั่นอีกแล้ว! โดนอิ่งสือซานเล่นงานแต่ก็ยังไม่ตาย! โชคดีอะไรเพียงนี้!” อิ่งลิ่วพูดพลางขมวดคิ้ว “แต่ว่าแม่นางอวี๋ เหตุใดเขาถึงต้องตามล่าท่านครั้งแล้วครั้งเล่ากัน?”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างหมดหนทาง “เขาคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการอยู่ในมือข้า”
อิ่งลิ่วกำลังจะถามว่ามันคืออะไร แต่ทันใดนั้นก็ไปเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างและเสียงหักก็ดังขึ้น จากนั้นจู่ๆ หอกยาวก็พุ่งออกมาจากป่าด้านหลัง
อวี๋หวั่นบังเอิญยืนอยู่ในทิศทางที่หอกกำลังพุ่งมา
ความเร็วของหอกนั้นเร็วมากอย่างน่าเหลือเชื่อและทำมุมได้คล่องแคล่วอย่างหายากยิ่งกว่า อิ่งลิ่วบินสกัดไม่ทันหากจะใช้อาวุธลับก็อาจจะไปทำร้ายคุณชายที่อยู่ตรงกลางได้ “แม่นางอวี๋! ระวัง!”
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงตัวอวี๋หวั่นออกไปในพริบตา
แต่เขาเองกลับหลบไม่พ้น
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะถูกหอกแทงทะลุหน้าอก ทันใดนั้นหอกก็กระเด็นขึ้นไปด้วยพลังมหาศาล และบินขึ้นไปในอากาศสองสามครั้งก่อนจะร่วงลงสู่พื้นอย่างแรง!
นี่ไม่ใช่การลอบโจมตี แต่เป็นกับดักที่นักล่าวางไว้เพื่อไล่ล่าสัตว์ร้าย
ด้วยเหตุนี้ อิ่งลิ่วจึงมิได้รับรู้ก่อนล่วงหน้า
“คุณชาย ท่านมิเป็นไรใช่รึไม่?” อิ่งสือซานรีบวิ่งเข้ามา
อิ่งลิ่วมองเขาอย่างโล่งใจ “โชคดีที่เจ้ามาทันเวลาพอดี”
อิ่งสือซานไปเก็บลูกดอกของตัวเองมา แต่คาดไม่ถึงว่าบนหอกนั้นกลับไม่มีลูกดอกของตัวเองอยู่เลย มีเพียงใบไม้ที่ฝังอยู่ในหอก
เป็นไปได้ไหมว่า…มิใช่ลูกดอกของเขาที่สกัดหอกไว้ หากแต่เป็นใบไม้นี่?
ต้องเป็นผู้มีฝีมือเก่งกาจเพียงใดกัน จึงจะสามารถใช้วิชานี้ได้?
ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาไม่อาจสัมผัสถึงลมหายใจของบุคคลที่ห้าในที่แห่งนี้แม้แต่น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าวิชาของอีกฝ่ายนั้นอยู่เหนือเขามาก
คนคนนี้เป็นใคร? เหตุใดจึงต้องช่วยพวกเขา?
………………………………