บทที่ 1910 - ครอบครัว ถานท่ายหลิงเยียนก็รู้จักกับความอิจฉา

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

”น้องอี้วันนี้เจ้าดูสวยเป็นพิเศษเลยนะ!!”หลัวชิงเฉิงหัวเราะขณะที่เธอจ้องมองชิงสุ่ย
  ชิงห่านอี้รู้สึกเขินอายในวันนี้เธอแต่งตัวเรียบร้อยเป็นพิเศษซึ่งมันทำให้เธอเป็นที่ผิดสังเกต จนเธอไม่อาจปิดซ่อนความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้อีกต่อไป
  ในขณะเดียวกันชิงสุ่ยมองดูภาพบรรยากาศการพูดคุยที่แสนคุ้นเคย แน่นอนว่าในวงสนทนา วันนี้ชิงห่านอี้โดดเด่นเป็นพิเศษ มีเพียงแค่อดีตผู้นำเทวะตงฟ่างคนเดียวเท่านั้นที่ไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศ
  เพียงแค่การพูดคุยบทสนทนาธรรมดาทุกคนก็นึกถึงบรรยากาศภาพวันวานและรับรู้ความหมายภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ไปโดยปริยาย เหลียนหลิงเฟิงถึงกับยกนิ้วโป้งให้ชิงสุ่ย จนตัวของชิงสุ่ยอ้ำอึ้งคล้ายกับคนเป็นใบ้  ”สหายสุ่ยดูเหมือนพลังของเจ้าจะเพิ่มพูนมากกว่าวันก่อนที่ผ่านมา”ผู้นำเทวะตงฟ่างกล่าวด้วยรอยยิ้ม
  เธอรับรู้ได้ถึงพลังที่เปลี่ยนแปลงภายในตัวชิงสุ่ยแต่เธอไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด เธอแค่รับรู้ด้วยความรู้สึก
  สิ่งที่เธอพูดทำให้คนอื่นถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจซึ่งมันทำให้ทุกคนยินดีกับความแข็งแรงของชิงสุ่ย
  ”แม่นางชิงห่านอี้เองแข็งแกร่งขึ้นเช่นกันดูเหมือนทั้งสองคนจะมีกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่คล้ายคลึงกันด้วย”เธอกล่าวสิ่งที่เธอสงสัยเพิ่มเติม
  หลังจากที่เธอกล่าวความสงสัยออกมาเธอก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ แต่เธอก็ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “สหายสุ่ยมีกลิ่นอายเกี่ยวกับแม่นางชิงห่านอี้ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้”
  ชิงสุ่ยได้แต่รู้สึกเขินอายแต่ก็คงไม่มากเท่าความเขินอายที่ชิงห่านอี้แสดงออก ความไร้เดียงสาของผู้นำเทวะตงฟ่าง กลับทำให้บรรยากาศเรื่องอึดอัด ชิงสุ่ยจึงรีบถูกจมูกเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นอาหาร
  บรรดาหญิงสาวย่อมมีความแข็งแกร่งที่ไม่เท่ากันพวกเธอจึงไม่เคยยกประเด็นความแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นเรื่องที่ต้องโอ้อวด ชิงสุ่ยจึงพยายามข้ามประเด็นการพูดคุยเหล่านี้
  เรื่องที่น่าประหลาดใจมากกว่าคือตลอดเวลาในการฝึกฝนเมื่อคืน ชิงสุ่ยคิดว่าตัวเองพยายามรวบรวมหลักฐานพลังเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายได้มากพอแล้ว แต่เมื่อเทียบกับชิงห่านอี้ ความพยายามของเขาเหมือนเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว
  ด้วยความช่วยเหลือของชิงสุ่ยผนวกกับความพยายามของชิงห่านอี้มันทำให้ความแข็งแกร่งของเธอเข้าใกล้ระดับ 10 ล้านเต่าเรียกได้ว่าเธอมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้นำเทวะตงฟ่าง
  เมื่อเธออ่านบรรยากาศห้องอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปแเธอก็เข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอรีบหันไปมองชิงห่านอี้ที่มีใบหน้าแดงกล่ำจากอาการเขินอาย จากนั้นเธอก็รีบกล่าวขอโทษ “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
  ”แม่นางตงฟ่าง พวกเราทุกคนที่นี่คือครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องคิดมากและไม่ต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้ หากข้าจะขอเรียกท่านว่า พี่สาวตงฟ่างจะเป็นไรหรือไม่”ชิงห่านอี้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
  ”ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งน้องสาวอี้”ผู้นำเทวะตงฟ่างกล่าวอย่างมีความสุข
  ชิงสุ่ยรู้สึกได้เลยว่าหญิงสาวผู้นี้ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวไม่มีมิตรสหาย เพื่อนแท้คอยเคียงข้าง ตั้งแต่ที่เธอเดินทางมาเยือนหอคอยจักรพรรดิ เธอคิดว่าคนอื่นจะมองข้ามเธอเหมือนกับที่ผ่านมา แต่เปล่าเลย เธอกลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จนทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความรักที่ทุกคนมีให้แก่กัน
  บทสนทนาระหว่างชิงห่านอี้และผู้นำเทวะตงฟ่างเปรียบเสมือนตัวแทนของหญิงสาวทุกคนในเมื่อเธอกลายมาเป็นพี่หญิงตงฟ่าง นั่นก็หมายความว่าเธอคือส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็นทั้งเพื่อน และเป็นทั้งพี่น้อง
  ………………
  ชิงสุ่ยที่ไร้ความกังวลกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาอยู่ภายในหอคอยจักรพรรดิ ในเมื่อหอคอยจักรพรรดิปิดทำการ ทุกอย่างจึงกลายเป็นความเงียบ แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้กังวลเพราะมันเป็นการปิดทำการแค่ชั่วคราว อีกไม่นานหอคอยจักรพรรดิจะกลับมาเปิดใหม่และยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็น
  ในระหว่างที่เขาเดินเล่นเขาก็เหลือบไปเห็นถานท่ายหลิงเยียนที่กำลังฝึกซ้อมพร้อมกับกระบี่ในมือ เธอมองดูชิงสุ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
  หญิงสาวแสนเย็นชาผู้นี้ยิ้มมากกว่าทุกครั้งแต่รอยยิ้มของเธอก็ยังคงเย็นชาเสมือนดอกบัวหิมะ
  ชิงสุ่ยเดินเข้าไปใกล้จากนั้นก็หยิบกระบี่ในมือของเธอออกและกล่าวว่า “น้องเยียนเยียน มาเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”  ทันทีที่เขากล่าวจบเขาก็รีบจูงมือเธอเดินออกไปจากสนามฝึกซ้อม
  ถานท่ายหลิงเยียนได้แต่เดินตามชิงสุ่ยด้วยความรู้สึกงุนงงถึงแม้ว่าเธอจะเขินอาย แต่เธอก็ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธ ต่อหน้าเธอ คงมีเฉพาะชายคนนี้เท่านั้นที่กล้าทำแบบนี้
  ถานท่ายหลิงเยียนเดินตามชายที่กำลังจูงมือเธอเดินวนไปรอบหอคอยจักรพรรดิ
  หอคอยจักรพรรดิแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางซึ่งเกิดจากการขยายขอบเขตพื้นที่หลายต่อหลายครั้งในไม่ช้าทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งภายในหอคอยจักรพรรดิ ตรงกลางเป็นเส้นทางเดินโดยมีต้นไม้มากมายเรียงตัวอยู่แนวข้าง ระหว่างต้นไม้แต่ละต้น ประดับประดาไปด้วยต้นไม้ไผ่หลากหลายชนิด มองออกไปจากต้นไม้ข้างทางเดินเบื้องหน้า ปรากฏให้เห็นเป็นสะพานโค้งข้ามผ่านริมแม่น้ำ ระหว่างสายธารก็มีกังหันน้ำขนาดใหญ่เสริมให้ภาพที่เห็นยิ่งกว่าภาพวาดในจินตนาการ  น้ำในแม่น้ำใสจนเห็นตัวปลาฝูงปลามากมายขนาดใหญ่น้อยว่ายน้ำออกหากินกันอย่างสนุกสนาน ชิงสุ่ยมาที่นี่เป็นครั้งคราว เพราะบรรยากาศมาทำให้จิตใจของเขาสงบสุข ก่อนที่เขาจะหันไปมองหญิงสาวโชมงามที่ยืนอยู่ด้านข้าง
  ”มีอะไรหรือ?”ถานท่ายหลิงเยียนถามด้วยความสงสัย
  ”ไม่มีอะไรหรอกเพียงแค่วันนี้ข้ารู้สึกดีก็เท่านั้น”
  ”มันคงเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาสินะ!!”ถานท่ายหลิงเยียนตกใจในสิ่งที่เธอพูดออกไปเธอเริ่มเขินอายและไม่รู้สึกไม่สบายใจ
  ชิงสุ่ยถึงกับตกตะลึงทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้? หรือว่าเธอกำลังอิจฉา!! หญิงสาวที่เย็นชากำลังเกิดความอิจฉา!!
  ชิงสุ่ยไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะพูดแบบนี้ออกมาจากนั้นเธอก็พยายามดึงมือคล้ายกับว่าเธอกำลังต้องการเดินจากไป แต่ชิงสุ่ยก็เลือกที่จะไม่ปล่อยมือ ” เยียนเยียนน้อย ข้ามีความสุขเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะพูดแบบนี้ออกมา”
  ”เจ้าหมายความว่าอย่างไรข้าไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”ถานท่ายหลิงเยียนพยายามหลบสายตา
  ”เมื่อสักครู่ข้ามีความสุขมากแล้วแต่ตอนนี้ข้ามีความสุขมากกว่า แม้กระทั่งโฉมงามแสนเย็นชาก็ยังนึกถึงข้า”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความสนุกสนาน แต่สิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริง
  ”ช่างมันเถอะเรามาคิดเรื่องที่ควรคิดดีกว่า หากเราไม่รีบตัดสินใจเรื่องของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ แล้วปล่อยให้วันเวลามันผ่านไป ข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับพวกพระราชวังอมตะเบญจพิษด้วยอีกกลุ่มพร้อมกัน”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวอย่างเร่งรีบ