ตอนที่ 637
หวังดี
“อาจารย์ อาการท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานและเหล่าศิษย์ของหลินเฟยเดินเข้ามาในห้องนอนของหลินเฟยพร้อมกันโดยหนี่หลิงหนานและฟงเป่าสวมเครื่องแบบของสำนักเตรียมเอาไว้ตามที่หลินเฟยบอก แต่เซี่ยจินเย่และอาทู้กลับไม่ได้สวมเครื่องแบบสำนักแต่อย่างไรทำให้หลินเฟยออกจะประหลาดใจอยู่นิดหน่อย
“ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่น่าเชื่อว่าฝีมืออาวุโสแห่งสำนักวิถีเซียนจะร้ายกาจเช่นนี้ สมแล้วที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 มาได้อย่างยาวนาน”หลินเฟยแกล้งทำเป็นเจ็บทั้งๆที่ภายในยังปกติดีไม่มีอะไรบุบสลายไปแม้แต่อย่างเดียว
“ไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะ ท่านรับฝ่ามือตรงๆไม่ได้ป้องกันเลย หากไม่บาดเจ็บบ้างท่านก็คงไม่ใช่มนุษย์แล้ว”อาทู้ตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีปลอบใจ แม้คำว่าไม่ใช่คนจะแสลงหูไปหน่อยก็ตาม
“วันนี้พวกเจ้าจะเดินทางไปสำนักพิณอินแล้วสินะ แล้วทำไมเซี่ยจินเย่กับอาทู้ถึงไม่เตรียมตัวล่ะ”หลินเฟยถามพลางมองสองสาวด้วยท่าทีสงสัย
“พวกเราปรึกษากันแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไปกับฟงเป่าตามลำพัง ส่วนพี่อาทู้กับเซี่ยจินเย่จะอยู่ดูแลอาจารย์เจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานรายงานด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ความจริงที่พวกศิษย์คิดถึงตนเช่นนี้ก็ดีอยู่หรอกหากไม่ใช่ว่าหลินเฟยกำลังจะหาทางเผ่นหนีไปตอนพวกมันออกจากสำนักไปแล้วนะสิ
“มันไม่อันตรายงั้นหรือ ไปกันแค่ 2 คนแบบนี้”หลินเฟยถามด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ หากทั้งเซี่ยจินเย่และอาทู้อยู่ด้วยตนก็ออกไปเขตอสูรไม่ได้กันพอดี
“มีข้าอยู่ทั้งคนไม่มีใครทำอะไรฟงเป่ากับหนี่หลิงหนานได้หรอก”หมิงมิ่งว่าพลางกระโดดขึ้นมายืนบนไหล่ของฟงเป่า อา…จริงสิยังมีหมิงมิ่งอยู่นี่นา แค่มีมันอยู่ก็ไม่ต้องกลัวอันตรายอะไรแล้ว ขอแค่อย่าเผลอเข้าไปในเขตอสูรก็พอ
“ตัวข้ายังฟื้นพลังได้ไม่เต็มที่ หากไปเกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงน้องๆเสียมากกว่า แถมข้ายังมีพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์แม้จะไม่เก่งเท่าอาจารย์อาแต่มันน่าจะช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บของอาจารย์ได้บ้าง”อาทู้ตอบพลางปล่อยพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมา แม้จะฟื้นพลังได้ไม่เท่าไหร่ แต่ในช่วงหลายวันที่ชิวซุยอยู่ที่สำนักอาทู้ก็ขอให้นางช่วยสอนการใช้พลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้กับตนเองด้วย แน่นอนว่าชิวซุยเห็นนางเป็นศิษย์หลานก็ใจดีสอนให้อย่างเต็มใจ เพราะวิชาควบคุมพลังธาตุนั้นไม่ได้เป็นความลับอะไรอยู่แล้ว
“พี่อาทู้พลังวิญญาณยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ คอยดูแลอาจารย์คนเดียวเกรงว่าจะไม่ทั่วถึง ข้าเลยขออยู่ช่วยดูแลอาจารย์อีกคนเจ้าค่ะ”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานตามประสาของนางเช่นเดิม แต่หลินเฟยนี่สิกลับพูดอะไรไม่ออก พวกนางมีจิตใจอยากช่วยเหลือหลินเฟยขนาดนี้หากไล่พวกนางไปไม่เท่ากับทำร้ายจิตใจพวกนางหรือ สำหรับหลินเฟยที่ใส่ใจจิตใจของหญิงสาวมาตลอดไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด
“เช่นนั้นเจ้าทั้งสองก็เดินทางระมัดระวังด้วย อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”หลินเฟยว่าพลางมองไปทางฟงเป่าด้วยท่าทีลำบากใจ
“แน่นอนขอรับ”ฟงเป่าตอบพลางประสานมืออย่างนอบน้อม ส่วนท่าทีลำบากใจของหลินเฟยนั้นฟงเป่ากลับมองว่าอาจารย์ยังไม่หายบาดเจ็บเท่านั้น โชคดีจริงๆที่ในกลุ่มนี้ไม่มีใครมีดวงตาสีเขียวไม่อย่างนั้นหลินเฟยคงความแตกไปนานแล้ว
“อาจารย์รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”หนี่หลิงหนานพูดจบทั้งฟงเป่าและหนี่หลิงหนานก็ลุกขึ้นเดินออกไปเพื่อไปทำภารกิจที่ตัวเองได้รับ ส่วนหลินเฟยนั้น…..
“เซี่ยจินเย่ อาทู้ พวกเจ้าอยากจะออกไปฝึกหรือเปล่า”หลินเฟยเสนอด้วยท่าทีไม่จริงใจอย่างที่สุด อย่างน้อยถ้าทั้งสองออกไปฝึกวิชาตนเองก็พอจะย่องออกไปได้หรอก เอาไว้ค่อยมาอธิบายตอนกลับมาแล้วก็พอ
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะ ห้องของอาจารย์นานๆถึงจะได้ใช้ข้ากับน้องเซี่ยจะเก็บกวาดห้องให้ปลอดโปร่งเสียก่อนเจ้าค่ะ”อาทู้พูดจบทั้งสองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินไปเปิดหน้าต่างเตรียมตัวทำความสะอาดกันทันทีโดยบอกให้หลินเฟยพักผ่อนอยู่บนเตียงกันเฉยๆ
“………….”เห็นทั้งสองตั้งใจกันทำความสะอาดกันเช่นนี้หลินเฟยก็ได้แต่มองดูพวกนางทำความสะอาดกันเท่านั้น แต่เดิมผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณก็ไม่ได้นอนเสียเท่าไหร่อยู่แล้ว หลินเฟยเองก็ใช้ห้องนี้แค่บางครั้งทำให้ไม่ได้เก็บกวาดอะไรเลยจริงๆ เรียกได้ว่าแทบจะปล่อยฝุ่นให้เกาะหนาขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น พอพวกนางใช้ไม้ขนไก่ตบมุมโน้นมุมนี้แล้วมีฝุ่นร่วงกราวลงมาก็ทำเอาหลินเฟยอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้ คราวหน้าหลินเฟยจะไม่ปล่อยให้ห้องมีสภาพเช่นนี้อีกแล้ว
“อาจารย์ ระหว่างรักษาตัวต้องทานอาหารด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะไปบอกห้องครัวให้เตรียมอาหารอ่อนๆให้ท่านก็แล้วกัน”หลังจากทำความสะอาดคืบหน้าไปพักใหญ่แล้วอาทู้ก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าหลินเฟยยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน แม้ร่างกายจะต้องการอาหารในปริมาณน้อย แต่หากกินเข้าไปก็ย่อมส่งผลต่อการรักษาเช่นกัน ทำให้อาทู้ไม่ลืมที่จะดูแลเรื่องอาหารของอาจารย์แต่อย่างไร ส่วนเซี่ยจินเย่นั้นก็อยู่ทำความสะอาดห้องจนเสร็จ ถึงขั้นขอมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้หลินเฟยแล้ว
“อาจารย์ ท่านยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามขณะพยุงหลินเฟยให้กลับมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว นางมองหลินเฟยด้วยท่าทีเป็นห่วง นางมองไปที่อกของหลินเฟยซึ่งเป็นจุดที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ยามนี้กลับถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้เสียมิดชิดก็เลยไม่เห็นว่าอาการบาดเจ็บของหลินเฟยเป็นอย่างไร ทำให้เซี่ยจินเย่เลือกที่จะเลื่อนนิ้วตนเองไปจับที่ข้อมือของหลินเฟยแทนเพื่อตรวจวัดชีพจรเล่นเอาหลินเฟยสะดุ้งโหยงไม่นึกว่าเซี่ยจินเย่จะตรวจชีพจรเป็นด้วย
“โชคดีที่อาจารย์อาอยู่ด้วยอาการของท่านเลยไม่รุนแรงมาก”เซี่ยจินเย่ว่าพลางปล่อยนิ้วของนางออกช้าๆในวันที่หลินเฟยรับฝ่ามือชิวซุยเองก็ไม่ทราบหรอกว่าทำไมหลินเฟยถึงแกล้งทำเป็นบาดเจ็บต่อ แต่นางก็ยอมตามน้ำให้พี่ชายของตนไปตามระเบียบโดยการแกล้งรักษาและบอกพวกศิษย์ของหลินเฟยว่าตัวหลินเฟยยังไม่หายดีต่อให้นางลงมือรักษาแล้วก็ตาม
“ถ้าท่านเป็นอะไรไป ข้าคงต้องเสียใจมากแน่ๆ”เซี่ยจินเย่พูดจบก็มองมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีเศร้าๆ จะว่าไปในเหล่าศิษย์ทั้งหมดหลินเฟยเหมือนจะรู้จักเซี่ยจินเย่น้อยที่สุดกระมัง นางมักจะยิ้มแย้มเสมอไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมา ภาพจำสำหรับหลินเฟยแล้วนางเป็นหญิงสาวใจดีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นจนเหมือนจะสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องเลย
“เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ยอมตายง่ายๆแน่”หลินเฟยตอบช้าๆพลางยิ้มอย่างมั่นใจให้เซี่ยจินเย่ หากบอกออกไปตอนนี้ว่าตนเองแค่แกล้งบาดเจ็บมีหวังโดนนางโกรธแน่ๆ ก็นางเล่นทำท่าเสียใจขนาดนั้นนี่นา
“จริงสิ เจ้ายังไม่เคยเล่าให้ข้าฟังเลยนี่นาว่าทำไมเจ้าถึงมาเข้าสำนักของเรา”หลินเฟยถามออกไปเพราะตนได้ทราบความหลังของศิษย์คนอื่นๆมาหมดแล้ว ฟงเป่ามีความแค้นกับคนตระกูลหยู หนี่หลิงหนานต้องการพิสูจน์ตัวเองกับคนที่บ้านเกิด ส่วนอาทู้เองก็เหมือนกับหนี่หลิงหนานเพียงแต่ทางเดินของนางนั้นไม่ได้สบายเหมือนหนี่หลิงหนานเท่านั้นเอง แต่เซี่ยจินเย่นั้นแม้จะเคยเล่าให้พวกหนี่หลิงหนานฟังแล้วแต่ก็เป็นเพียงเหตุผลธรรมดาเท่านั้น นางไม่ได้มีความหวังอะไรอย่างอื่นเลยงั้นหรือ
“ข้าแค่อากฝึกฝนพลังวิญญาณเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าโชคดีมากที่อาจารย์เข้ามาและเปลี่ยนกฎของสำนักเช่นนี้”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม เพียงแต่หลินเฟยกลับไม่คิดเช่นนั้น ก่อนเข้าสำนักระดับของเซี่ยจินเย่นั้นไม่ธรรมดาเลย มันเท่าๆกับฟงเป่าที่ไปอยู่ในเขตอสูรมาเลย แถมวิชาที่ติดตัวนางมาตั้งแต่ก่อนเข้าสำนักก็ยังดีมากอีกด้วย หากเทียบกับวิชาอื่นๆที่หลินเฟยได้เจอในอาณาจักรซานบางทีวิชาของเซี่ยจินเย่อาจจะนับเป็นยอดวิชาเลยก็ได้
“แล้วความฝันของเจ้าล่ะ มีอะไรที่อยากจะทำหรือเปล่า”หลินเฟยถามพลางมองเซี่ยจินเย่อย่างจริงจัง
“อืม……..ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้ามีความสุขดีแล้ว”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยรอยยิ้มตามปกติของนาง หรือว่านั่นจะเป็นหน้ายิ้มจริงๆกันแน่
“เจ้านี่มักน้อยจริงๆ ไม่มีอะไรที่อยากได้บ้างเลยหรือไง”หลินเฟยหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีของเซี่ยจินเย่ นางเป็นศิษย์หลินเฟยทั้งที่ไม่คิดอยากได้อะไรเลยงั้นหรือ
“เอาอย่างนี้ ข้าให้เจ้าขอได้ 1 อย่างเจ้าอยากได้อะไรล่ะ ยอดวิชา ชื่อเสียง เงินทอง หรือว่าอำนาจ หรือ คู่ครอง ข้ารับรองว่าจะหามาให้เจ้าอย่างแน่นอน”หลินเฟยยิ้มพลางเสนอสิ่งที่คนทั่วๆไปอยากได้ ของพวกนี้บางคนยอมตายเพื่อให้ได้มันมาเลยทีเดียว
“ถ้าเช่นนั้น…..”เซี่ยจินเย่ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีอายๆเหมือนกับว่านางไม่กล้าจะพูดออกไป หรือว่าในสิ่งที่หลินเฟยยกตัวอย่างมาจะมีสิ่งที่นางต้องการอยู่
“ข้าอยากให้ท่าน…เอาใจข้าเหมือนพวกพี่หลิงหนานบ้าง”เซี่ยจินเย่ตอบโดยไม่ได้หลบสายตาหลินเฟยไปมองทางหน้าต่างแทน ดูเหมือนการพูดเรื่องที่ตัวเองต้องการจะเป็นสิ่งที่นางไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
“เอาใจงั้นหรือ”หลินเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางนึกย้อนไปก่อนหน้านี้….
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าแค่ลองพูดดูเท่านั้นเอง”เซี่ยจินเย่พูดออกไปกลับเขินอายเสียเอง นี่นางพูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจหรือเปล่า… แต่จะว่านางก็ไม่ได้หรอก เพราะหลินเฟยก็เอนเอียงไปทางพวกฟงเป่าอยู่แล้วไหนจะวิชาที่สอนให้ทั้งฟงเป่าทั้งหนี่หลิงหนานก็ได้กันคนละ 2 วิชา แม้จะมีต้นเหตุมาจากความผิดพลาดของหลินเฟยเองแต่เซี่ยจินเย่ก็ได้วิชาจากหลินเฟยเพียงวิชาเดียวจริงๆ แถมดูเหมือนหลินเฟยจะสนใจปัญหาของพวกฟงเป่ามากเกินไปเสียหน่อย เลยไม่แปลกที่เซี่ยจินเย่จะแอบน้อยใจบ้างเหมือนโดนพ่อแม่ลำเอียง แต่เพราะนิสัยของนางเลยไม่ได้พูดอะไรออกมาเท่านั้น
“ได้ ข้าจะเอาใจเจ้ามากขึ้นก็แล้วกัน”หลินเฟยยิ้มออกมาด้วยท่าทีขำขันปนเอ็นดู หากนางขออะไรที่หลินเฟยยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ หลินเฟยก็เชื่อว่าสามารถทำให้นางสมหวังได้ทุกอย่าง แต่นางกลับขอเพียงความเอ็นดูจากอาจารย์งั้นหรือ ช่างเป็นหญิงสาวที่มักน้อยจริงๆ
“น้องเซี่ย เจ้าเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหรือยัง”หลินเฟยพูดจบอาทู้ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมหม้อใส่ข้าวต้มทั้งหม้อ ทำเอาหลินเฟยที่ได้เห็นถึงกับเหงื่อตก มิน่าล่ะนางถึงหายไปนานนัก นี่นางกะจะให้หลินเฟยกินเข้าไปเท่าไหร่กัน
“อาจารย์ พ่อครัวตั้งใจทำข้าวต้มให้อาจารย์มากเลยนะเจ้าคะ พอบอกว่าเป็นอาหารพักฟื้นของอาจารย์พ่อครัวก็เตรียมของเสียเยอะแยะเต็มไปหมดเลย”อาทู้ว่าพลางตักแบ่งข้าวต้มในหม้อออกมาใส่ถ้วยที่ตนนำมาด้วย เพียงแต่ข้าวต้มที่นำมากลับเต็มไปด้วยสมุนไพรและเนื้อสัตว์จนดูไม่เหมือนข้าวต้มเลยสักนิด มันเหมือนอาหารต้มอย่างอื่นที่ใส่ข้าวเพิ่มลงไปเท่านั้นเอง…..