กีดกัน

 

ไคจิ้งที่ถูกลักพาตัวได้ตายลงไปแล้ว ตำรวจเองก็เริ่มเข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประชาชนที่เห็นเรื่องนี้ผ่านอินเตอร์เนตเองก็นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นร้อนพูดคุยกันอย่างบ้าคลั่ง

 

ในช่วงที่เกิดเหตุนั้นไม่มีใครได้สังเกตเลยสักนิดว่า ในห้องที่เกิดเรื่องมีแมลงปอตัวหนึ่งกะอยู่บนต้นปาล์มที่อยู่ในกระถาง หลังจากที่ทั้งสามคนตายไปแล้วแมลงปอตัวนั้นได้บินออกนอกหน้าต่างไป และมันได้บินตรงกับไปยังเมืองฉิงหยุน

รวมถึงบริเวณอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงก็ล้วนแล้วแต่มีแมลงปอบินออกมาและตรงไปที่เมืองฉิงหยุนเช่นเดียวกัน

 

ในขณะเดียวกันที่บ้านของซูจิ้ง ซูจิ้งกำลังมองไปที่จอคอมพิวเตอร์อยู่ หน้าจอคอมพิวเตอร์หนึ่งจอที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่ได้มาจากแมลงปอหนึ่งตัวที่บินไปสำรวจที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้ และก็มีอีกจอหนึ่งที่เป็นหน้าจอที่เต็มไปด้วยภาพข้อความที่ชาวเน็ตกำลังพูดคุยกันอยู่

 

ซูจิ้งตั้งใจมองไปยังข้อความที่ชาวเน็ตกำลังถกเถียงกันอยู่ หลังจากนั้นเขาก็ปิดหน้าจอและเลิกที่จะสนใจข้อความเหล่านั้น

ไคจิ้งถูกจับไปแล้วเขาต้องไปช่วยด้วยงั้นหรอ คิดว่าเขาเป็นตัวอะไรกันแน่

เขายังไม่คิดว่าตัวเขาเองเป็นฮีโร่เลยแล้วทำไมถึงยัดเยียดเรื่องแบบนั้นให้เขา

เขาเองนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว ใครจะเป็นก็เป็นแต่เขาไม่เป็นแน่นอนฮีโร่ที่ต้องวิ่งเต้นตามคนอื่นเนี่ย

 

ซูจิ้งพึมพำออกมาเบาๆว่า “ถ้าดูจากภาพที่แมลงปอถ่ายมาได้แสดงว่าเหตุการณ์นี้ต้องเป็นกับดักอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าคนร้ายสองคนนี่สมควรเป็นตัวหมากตัวหนี่ง และต้องมีผู้สังเกตุการณ์คอยจับตาดูจำนวนมากแน่นอน”

ซูจิ้งได้ประเมินแล้วเรียบร้อยว่าคนกลุ่มที่ก่อเรื่องในครั้งนี้จะต้องเป็นพวกกองโจรเกล็ดงูกลุ่มสุดท้ายอย่างแน่นอน

เหตุการณ์นี้สมควรจะสร้างขี้นมาเพื่อหาเบาะแสของเขาในฐานะมนุษย์แมงมุมอย่างไม่ต้องสงสัย

และยังมีความเป็นไปได้อีกที่ว่าพวกนี้จะก่อเรื่องแบบนี้อีกในอนาคต สงสัยเขาต้องจัดการเรื่องนี้ในฐานะคนนอกซะแล้ว

 

ครั้งสุดท้ายที่ได้ปะทะกองโจรเกล็ดงูเขานั้นได้จับหัวหน้ากลุ่มได้และทำการสะกดจิตไป

แต่ตอนนี้เจ้าหัวหน้ากลุ่มนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีจะเตือนเรื่องนี้แสดงว่าองค์กรนี้สมควรมีความซับซ้อนมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้

ต่อให้จัดการกองโจรกลุ่มนี้ได้แต่ก็ควรจะมีขุมพลังอื่นที่อยู่เบื้องหลังกองโจรนี้อีก

ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องรู้ความเกี่ยวข้องทำหมดของขุมพลังที่เกี่ยวข้องกับกองโจรกลุ่มนี้ก่อนที่จะกวาดล้างให้สิ้นซาก

 

ซูจิ้งไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้มากมายอะไรเพราะเขายังไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นปืนผาหน้าไม้อะไรก็ตามไม่มีทางทำอันตรายเขาได้โดยง่าย

สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือความปลอดภัยของคนใกล้ชิดและพ่อแม่ของเขาเท่านั้น ซึ่งคนเหล่านี้แน่นอนว่ามีคุณค่ามากกว่าคนงี่เง่าทำอะไรไร้สาระแบบนั้น

 

ตอนนี้ใครอยากจะหาเรื่องมนุษย์แมงมุมมากนักก็ทำต่อไปแล้วกัน เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วเพราะยังไงซะมันก็แค่ฉากบังหน้าอันหนึ่งของเขาแค่นั้นเอง ตราบใดที่ยังไม่มีใครที่ใกล้ชิดกับเขาเดือดร้อนก็ไม่ใช่ปัญหา

 

ในโลกอินเตอร์เนตต่างพูดคุยเรื่องเหตุการณ์ลักพาตัวที่เกิดขึ้นอย่างร้อนแรง ชนิดที่เป็นประเด็นถกเถียงกันแบบข้ามวันข้ามคืนชนิดที่ทำให้หลายคนถึงกับนอนไม่หลับเพราะคุยกันเรื่องนี้ แต่กับซูจิ้งเขานอนหลับได้อย่างสบายใจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วเรื่องราวนี้ก็ยังไม่จบ ถามยังลามไปถึงวงการบันเทิงอีกต่างหาก ตอนนี้เหล่าผู้คนในวงการบันเทิงต่างก็ทำการขึ้นบัญชีดำ(แบนด์)นาลันเฟยและเลาชงเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งหยิบสองคนนี้มาเป็นหัวข้อพูดคุยกันอย่างบ้าคลั่ง

 

“อะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับนาลันเฟยและเลาชง”

 

“นายไม่รู้หรอว่าผู้จัดการของซ่งเตียนเอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นลุงของไคจิ้ง เขาเป็นคนที่พยายามจะผลักดันไคจิ้งในวงการบันเทิงมาตลอด แม้ว่าทั้งฝึมือและชื่อเสียงจะไม่ได้ความแม้แต่น้อยก็ตามที เรื่องในครั้งนี้ทำให้ไคจิ้งตายไปนั่นทำให้ตระกูลไคถึงกับบ้าคลั่งถึงขนาดจะแจ้งความจับมนุษย์แมงมุมเลยนะแต่ตำรวจไม่รับแจ้งเพราะเหตุผลมีไม่พอ พอสองคนนี้ออกมาปกป้องมนุษย์แมงมุมอย่างเต็มที่แถมยังโจมตีการกระทำของไคจิ้งประมาณว่าสมควรแล้วด้วย จะไม่ทำให้ตระกูลไคโกรธได้ยังไง”

 

“ได้ข่าวมาว่าตระกูลไคถึงกับกดดันสื่อต่างๆให้ขึ้นบัญชีดำทั้งสองคนเลยนะ”

 

“ดาราที่มีสังกัดเป็นของตัวเองก็ยังพอว่า แต่นาลันเฟยหล่ะเป็นยังไงบ้าง เธอน่าจะได้ผลกระทบเรื่องงานไม่น้อยเลย”

 

“ได้ยินมาว่านาลันเฟยโดนดีดออกจากสังกัดเรียบร้อยแล้วนะ ตอนนี้เธอพยายามจะตั้งสังกัดของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นสังกัดของเธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับจงเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์แม้แต่น้อย”

 

“นาลันเฟยและเลาชงไม่น่าออกมายุ่งเลยน้า”

 

“แต่ฉันสนับสนุนพวกเขานะ มนุษย์แมงมุมได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้เลยนะ ถ้าเป็นฉันฉันก็จะออกมาพูดเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นความจริงด้วยที่เรื่องนี้จะไปโทษมนุษย์แมงมุมไม่ได้ ไม่ว่ายังไงแฟนคลับของพวกเขาเองก็เห็นพ้องกับเรื่องนี้และจะสนับสนุนพวกเขาให้ถึงที่สุดเหมือนกัน”

 

“อย่าอ่อนต่อโลกไปหน่อยเลยน่า ถ้าเกิดโดนขึ้นบัญชีดำแบบนี้ นายจะไปสนับสนุนพวกเขาได้ยังไง ถ้าโดนขึ้นบัญชีดำจากทุกสื่ออย่างนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีทางที่เราจะให้เห็นทั้งสองคนอีก”

 

“พวกเขาสมควรได้รับผลจากการเลือกข้างแล้ว ครั้งนี้เป็นมนุษย์แมงมุมที่ผิดเห็นๆ ก็ถูกแล้วนี่นา หากพวกเขายังคงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมนุษย์แมงมุมพวกเขานั้นเลือกข้างผิดแล้ว พวกเขาสมควรถูกกีดกันแบบนี้แล้วหล่ะ”

 

หลังจากเห็นข่าวนี้แล้วซูจิ้งถึงกับคิ้วขมวดในทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดจะออกมาในรูปแบบนี้

เขาเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเลาชงแค่ในระดับหนึ่ง เขาก็คิดว่าเลาชงนั้นถือว่าคบหาได้พอสมควร พอเห็นอย่างนี้เข้าทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนเป็นดีขึ้นอย่างมาก

สำหรับนาลันเฟยนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ต่อให้เธอจะเคยพูดจาถากถางมนุษย์แมงมุมอยู่บ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรื่องอื่นเธอดีอยู่แล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าทั้งสองคนจะออกมาประกาศตัวว่ายืนอยู่ฝั่งมนุษย์แมงมุมอย่างนี้ การที่ทั้งสองไม่ห่วงชื่อเสียงแล้วยังคงยืนอยู่ข้างมนุษย์แมงมุมเพราะมันถูกต้องแบบนี้ทำให้เขารู้สึกดียิ่งขึ้น

นี่ทำให้ซูจิ้งเองทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกต่อไป แถมเขาเองก็ค่อนข้างจะเกลียดขี้หน้าไคจิ้งแบบสุดๆ

 

ซูจิ้งลองนึกหาวิธีช่วยเลาชงและนาลันเฟยอยู่ซักพัก ในเมื่อเรื่องทั้งหมดนี่มาจากซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมน ในสายตาของคนทั่วไปและดาราแล้วบริษัทนี้เป็นบริษัทใหญ่ยากจะต่อกรแต่สำหรับตระกูลหวังนั้นบริษัทนี้มีค่าไม่เท่ากับการผายลมเลยซักนิด

 

อย่างไรก็ตามเขานั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าจะช่วยยังไงได้เขาจึงได้โทรหาหวังจ้าว แต่คนที่รับสายเป็นผู้ช่วยของเขาแทน ผู้ช่วยได้บอกซูจิ้งว่าหวังจ้าวกำลังคุยงานกับคนอื่นอยู่ ถ้าเขาคุยเสร็จจะให้รีบโทรหา

ทันใดนั้นต้ามู่และเสี่ยวมู่ก็ได้ตะโกนออกมาบอกว่า “มีแขกมา มีแขกมา ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”

“ชายหนึ่งหญิงหนึ่งหรอ…” ซูจิ้งพึมพำออกมาเล็กน้อยพลางติดไปว่าเช้าอย่างนี้จะมีใครมากัน เขาได้เดินลงไปเปิดประตู ทันทีที่เขาเปิดประตูไปก็เห็นชายและหญิงวัยกลางคนยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเขาได้เห็นหน้าผู้หญิงชัดๆเขาถึงกับต้องยืนนิ่งไปนั่นก็เพราะผู้หญิงคนนี้คือคนที่ออกป่าว่าอยากจะได้ทารกรากไม้ในงานเปิดตัวของอาวุโสเซี่ย

 

“ขอโทษนะคะคุณซู วันนั้นฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ดิฉันชื่อหลี่ฉิน ส่วนนี่สามีของฉันหลิวชานเฟิง” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีครับคุณซู ต้องรบกวนจริงๆนะครับ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยท่าทีสงบ

“เข้ามาก่อนครับ” ซูจิ้งพูดออกมาต่อว่า “แล้ววันนี้พวกคุณมาเยี่ยมนี่เพราะ…”

“คุณซูดิฉันเองก็ไม่อยากจะรบกวนคุณมากขอพูดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน

หลังจากวันนั้นที่ฉันเห็นทารกรากไม้นั่น ฉันก็ยังคงวนเวียนไปมองเด็กนั่นอยู่ทุกวัน

แล้วฉันก็เก็บมาคิดถึงบ่อยว่าทารกรากไม้นั่นต้องมีสายสัมพันธ์อะไรซักอย่างกับฉัน

อาจเป็นสัญญาณบางอย่างจากสวรรค์ที่ทำให้ฉันตั้งท้องกับสามีของฉันก็ได้

คุณซูได้โปรดเถอะค่ะ ฉันขอเขาไปดูแลได้รึเปล่า” หลีฉินพูดออกมา พลางก็ได้ดึงชายเสื้อของหลิวชานเฟิงไปด้วย

“คุณซู ได้โปรดเถอะครับ คุณสามารถเสนอราคามาได้เลย” หลิวชานเฟิงเองก็ขอร้องออกมาทั้งๆที่สีหน้าของเขาไม่อยากเลยสักนิด

ความจริงเขาไม่ใช่ว่าจะไม่อยากมีลูกหรอก แต่เขาไม่เชื่อว่าทารกรากไม้นั่นจะทำให้เขามีลูกได้แค่นั้นเอง แต่ภรรยาของเขาก็รบเร้าจนเขาจำเป็นต้องทำตาม

ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเธอไม่ท้องขึ้นมาจริงๆจะเก็บเรื่องนี้ไปทะเลาะกันอีกนานแสนนานแน่นอน

เขาเลยต้องจำใจคิดให้ได้ว่าต่อให้ทารกรากไม้นี้ไม่ช่วยเขาให้มีลูกได้จริงๆแต่มันเป็นของหายากอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว มีไว้ในการครอบครองก็ใช่ว่าจะเสียหลายอะไร เขาจึงยอมมาได้

 

“คุณนายหลี่นี่ช่างจิตใจยึดมั่นจริงๆ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก หญิงคนนี้ต้องการมีลูกมากจนถึงขั้นอยากได้ทารกรากไม้ไปจริงๆ แต่มันจะช่วยพวกเขาได้จริงๆงั้นหรอ