ฉันทัชกำลังอุ้มกิ่งทองนั่งบนตัก กล่าวทักทายเสียงเรียบ“ไม่เจอกันนานนะ”
“สวัสดีค่ะ” พนาวันรีบตอบอย่างมีมารยาทันที
เธอรู้สึกเคารพยำเกรงฉันทัชเสมอมา
เขาก้มหน้าจูบริมฝีปากยู่ยี่ และโยนเสื้อกันหนาวไว้ด้านหลัง
จากนั้นก็รับกิ่งทองมา ขาเรียวยาวอันมีเสน่ห์ก้าวลงจากรถ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงอ่อนโยนและสุภาพบุรุษ“เชิญนั่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งด้านหน้าก็พอค่ะ” เธอรีบกล่าว
“หลานผมนั่งแถวหลังนานจนเริ่มโวยวายแล้ว หากเปลี่ยนที่นั่งอาจจะอยู่นิ่งเพราะรู้สึกแปลกใหม่ก็ได้” ฉันทัชยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม สายตาจ้องไปยังกิ่งทองอย่างอ่อนโยน
เด็กน้อยชอบดูดนิ้วเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้ก็ยังคงดูดนิ้วขาวเล็กอย่างเมามันส์
ฉันทัชหยิกใบหน้ารูปไข่ของเขาเบา ๆ
การกระทำแฝงไปด้วยความรักความเอ็นดูและโปรดปรานอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นก็ไปนั่งข้างหน้า
ผู้ชายสุขุมเยือกเย็นอุ้มเด็กไว้เช่นนั้น พนาวันรู้สึกตะลึงและอิจฉามาก
เมื่อก่อนเขาเห็นหน้าฉันทัชประจำ
เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นสามีของเอวา เธอจึงเป็นพี่สะใภ้ในนามของเขา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นญาติกัน
ตอนที่เขาอยู่กับเอวา ท่าทางอ่อนโยนและเรียบเฉยเสมอ
กล่าวคือ ไม่ได้สนิทสนมเกินไป และไม่ได้ห่างเหินมากนัก รักษาความเหมาะสมและระยะห่างได้ดีเลิศมาก
เขาสูงศักดิ์ สง่าผ่าเผย ชวนให้รู้สึกดั่งทวยเทพอย่างจะรุกราน
ตอนอยู่กับเขา ถึงเขาจะทำตัวสุภาพบุรุษ แต่ก็รู้สึกกดดันมาก
เมื่อก่อนเธอคิดว่านิสัยของเขาเป็นเหมือนการกระทำของเขา
ไม่อ่อนโยนเกินไป และไม่เฉยเมยเกินควร ไม่มีตัณหา
คล้ายกับไม่สนใจทุกอย่างบนโลกใบนี้
ตอนอยู่กับผู้หญิงก็มักจะสุภาพบุรุษ มีมารยาท แม้แต่เมียเก่าก็ใช่
ดังนั้นเมื่อเห็นเขาพลอดรักอย่างไม่คิดจะปิดบัง การก้มหน้าจูบผู้หญิงด้านข้าง จึงทำให้เธอรู้สึกตะลึงตะลาน
เมื่อเทียบกับฉันทัชที่เธอเคยพบเห็น มันเหมือนเป็นคนละคนเลย
ยังมีอีก เมื่อเห็นเขาอุ้มเด็กอย่างเอ็นดูและทะนุถนอมเช่นนี้ หัวใจเธอก็รู้สึกขมฝาดและหนาวเหน็บ เพราะอาคิระไม่เคยอุ้มหมีพูลแบบนี้เลย
ถ้าเกิดอาคิระเอ็นดูหมีพูลอย่างนี้
เธอก็ตายตาหลับแล้ว
ระหว่างที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้นก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งแว่วเข้าหู“ให้คุณค่ะ”
พนาวันหันหน้าขวับ
ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นกระดาษทิชชู่ให้ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งกำลังเอียงหน้าพร้อมกับโบกระดาษทิชชู่ในมือ
“ขอบคุณ” เมื่อได้สติกลับคืนมา เธอก็กล่าวขอบคุณด้วยความลุกลน
เธอรับมาเช็ดน้ำบนกระโปรง
จากนั้นพนาวันพลันรู้สึกสายตาของผู้หญิงคนนี้ที่เอาแต่จ้องตัวเองท่าเดียว
โดยอีกฝ่ายมองตรงมาก จ้องแบบไม่คลาดสายตา
เธอรู้สึกประหม่าอย่างไม่คุ้นชิน เมื่อเตรียมพูดกับอีกฝ่าย ผู้หญิงคนนี้กลับเอ่ยปากก่อน“คุณสวยมากจริง ๆ”
พนาวันตะลึงงัน
เธอไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดประโยคเช่นนี้ออกมา
จากนั้นเธอหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ฉันทัชที่นั่งด้านหน้ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวว่า“ยี่ อย่าซนสิ”
“ซนอะไร ฉันก็พูดตามความเป็นจริงนี่” ยู่ยี่หาว“ฉันอยากกินเค้กหน้ากีวี่”
ผู้ช่วยโก๋เอ่ยปากพูดว่า“พี่ยู่ยี่ ตอนกลางคืนกินของหวานไม่ได้แล้วนะครับ วันนี้พึ่งชั่งน้ำหนักมาไม่ใช่เหรอ ซึ่งหนักกว่าเดือนที่แล้วครึ่งโลเลยนะ”
ยู่ยี่“……”
“ปัดโธ่ คุณฉันทัชของนายยังไม่รังเกียจฉันเลย แต่นายกลับเป็นเฉยเลย” ยู่ยี่พิงหลังด้วยท่าทางขี้เกียจ “ทำไมเหรอ นายรังเกียจฉันต่อหน้าฉันทัช จากนั้นก็จะแย่งชิงตำแหน่งของฉันไปเหรอ?”
ผู้ช่วยโก๋“……”
“นายแย่งฉันไม่ไหวหรอก ฉันมีลูกกับเขาแล้ว หรือว่าวันหลังนายจะให้ลูกชายฉันเรียกนายว่าคุณแม่เหรอ?”ยู่ยี่พูดต่อ
ผู้ช่วยโก๋“……”
ฉันทัชกุมขมับ
สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของพนาวันทุเลาลงไม่น้อย ยกมุมปากขึ้นยิ้มนิด ๆ
ตอนผ่านร้านขนมเค้ก ฉันทัชสั่งให้จอดรถ จากนั้นก็อุ้มกิ่งทองให้ยู่ยี่ แล้วเข้าไปในร้านขนมเค้ก
พนาวันมองใบหน้าอ่อนนุ่มของเด็กน้อย อาจเป็นเพราะตัวเธอเองก็มีลูกเช่นกัน ตอนนี้จึงก่อเกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้น“เขาน่ารักมากจริง ๆ”
“ขอบคุณค่ะ” ยู่ยี่คลี่ยิ้ม จับคางลูกชายตัวเอง“แต่ซนนิดหน่อย คาดว่าต้องเลี้ยงเหนื่อยแน่”
“เด็กผู้ชายซนหน่อยจะน่ารักและรู้สึกร่าเริงค่ะ”
ซึ่งไม่เหมือนหมีพูล เขาเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เห็นแล้วก็สงสารจับใจ
พวกเธอสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ผ่านไปชั่วครู่ ฉันทัชก็กลับเข้ามา
เขาถือขนมเค้กมาสองก้อน ก้อนหนึ่งให้พนาวัน
เธอกล้ารับเสียเมื่อไหร่ รีบปฏิเสธทันควัน
ยู่ยี่เห็นแล้วจึงกล่าวว่า“รับไว้เถอะค่ะ บ้านพวกเราไม่มีความชอบกินหวาน ฉันกินก้อนเดียวก็อิ่มแล้วค่ะ ส่วนก้อนนี้เขามอบให้คุณนะคะ”
เมื่อพูดถึงขั้นนี้ เธอก็ไม่ปฏิเสธ“ขอบคุณค่ะ”
ตอนที่รถจอดหน้าประตูคอนโดพนาวันเตรียมจะลงจากรถ ยู่ยี่ก็เอ่ยปากพูดกะทันหันว่า“ฉันคิดว่าอาคิระน่าจะไปหาจิตแพทย์นะคะ”
พนาวันไม่เข้าใจ
ยู่ยี่ส่ายหัว“ไม่มีอะไรค่ะ”
เธอยืนโบกมืออำลา จากนั้นก็อวยพรให้เดินทางปลอดภัย
หลังจากรถหายลับจากการมองเห็น เธอจึงจะหมุนกายเดินขึ้นตึก
ยู่ยี่ที่นั่งอยู่ในรถทอดถอนใจ“เมียของอาคิระดีมากเลย รักเดียวใจเดียว ใสซื่อ เป็นผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ฉันรู้สึกอาคิระมีวาสนามาก”
“เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉันทัชพูดหยอกล้อ
“เป็นอย่างนี้เสมอมาแล้วแหละ ฉันเหนื่อย ขอนอนก่อน ถ้าถึงบ้านคุณปลุกฉันด้วยนะคะ” ยู่ยี่หาวแล้วก็โน้มตัวนอน
เขากล่าวเสียงเบาและอ่อนโยน สั่งให้ผู้ช่วยโก๋ปรับแอร์ในรถให้สูงขึ้นเล็กน้อย แล้วปล่อยให้เธอนอนบนตัก
ส่วนลูกน้อยก็เริ่มส่งเสียงร้องอุแว้ อุแว้ พร้อมกับยื่นมือจับเส้นผมของคุณแม่ แล้วเอาเข้าปาก
ฉันทัชดึงมือเล็กกลับมา จากนั้นก็อุ้มลูกให้ห่างจากตัวเธอ โดยให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ……
ลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มเชื่อฟัง
ไม่ร้องไห้โวยวายแล้ว พวกเขาสามคนครอบครัวช่างมีความสุขกันเหลือเกิน
ณ โรงแรม
ผู้หญิงทีก่อเรื่องเป็นลูกสาวประธานธุรกิจห้าอันดับแรกของเฮทเค
คนอื่นไม่กล้าบาดหมางด้วย จึงไม่กล้าต่อว่าอะไร
บริกรทำความสะอาด จากนั้นก็ตั้งวางอุปกรณ์รอรับแขกอีกครั้ง ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ อาคิระกับพิมแสงก็เดินลงมา
ไม่มีใครเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กเรื่องน้อยเท่านั้น
อาคิระมองไปยังมุม ๆ หนึ่ง
ซึ่งว่างเปล่า ไม่มีเงาคน
เขาเลิกคิ้วพร้อมกับเอามือถือออกมาโทร
ซึ่งไม่มีผู้รับสายเลย บอกว่ากรุณาโทรอีกครั้ง
เขากวาดสายตามองทั่วงาน
ทว่าก็ไม่เห็นเงาของพนาวันดุจเดิม
เขาคิดว่าไปเข้าห้องน้ำ จึงหามุมนั่งรอ
สุดท้ายคือรอไปกว่ายี่สิบนาที แต่เธอก็ไม่ปรากฏกาย
อาคิระขมวดคิ้วมุ่น ความโกรธพลันผุดขึ้นมา
เขาเรียกให้บริกรสาวมา จากนั้นก็ให้ทิปเพื่อไปดูที่ห้องน้ำ
บริกรสาวกลับมาอย่างรวดเร็ว“คุณอาคิระค่ะ ไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลยค่ะ”
“ปัง”
เกิดเสียงดังขึ้น
อาคิระโยนแก้วไวน์ลงโต๊ะ“อืม รู้แล้ว”
ไม่ต้องคิดแล้ว เธอต้องหนีกลับไปก่อนแน่!
ตอนมาก็ทำหน้าไม่ยินดีปรีดา ดังนั้นจึงมาเป็นพิธีจากนั้นก็กลับไป?
อาคิระรู้สึกหงุดหงิดทันที เพลิงโทสะลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆ
เขาดึงเนคไทแล้วเดินออกจากโรงแรมด้วยใบหน้าบึ้งตึง
อีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อกลับถึงคอนโด
พนาวันก็ไปล้างเครื่องสำอางและอาบน้ำก่อน
เมื่อเดินออกจากห้องนอนก็เห็นหมีพูลนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ