องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 775 ช่างหน้าไม่อาย
จักรพรรดิปีกใต้ครุ่นคิดอยู่นาน “หากพูดเช่นนี้ วันหนึ่งท่านแม่ของเจ้าจะรับรู้ความรู้สึกของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ทุกคนสามารถรู้ความรู้สึกของฝ่าบาท ท่านแม่ของหม่อมฉันก็ไม่ใช่คนโง่เขลาอะไร นางต้องมองเห็นเพคะ เป็นเพราะทุกเรื่องที่ฝ่าบาททำขึ้นล้วนเป็นการทำลายความประทับใจของพระองค์เอง เมื่อลองคิดดูแล้วนั้น ท่านแม่ของหม่อมฉันก็ปฏิบัติต่อทุกคนโดยเท่าเทียมกันนะเพคะ
ในบรรดาคนเหล่านี้ ฝ่าบาทนับว่าเป็นผู้ที่โดดเด่น และในท่ามกลางผู้คนนั้น ท่านแม่จะต้องมองเห็นฝ่าบาทตั้งแต่แวบแรก เพียงแต่ตอนที่นางกำลังมองความดีความชอบของฝ่าบาทอยู่นั้น ฝ่าบาทกลับชักดาบขึ้นมาฆ่าคน ฝ่าบาทคิดว่านางจะคิดอย่างไรหรือเพคะ?”
จักรพรรดิปีกใต้ครุ่นคิดและรู้สึกว่ามีเหตุผล “บางครั้งข้าก็ฆ่าคนอย่างเหี้ยมโหดเกินไป นางจึงไม่พอใจ”
“แต่หากตอนนี้ฝ่าบาทเห็นคนล้มลงแล้วยื่นมาออกไปประคองล่ะเพคะ?”
“……ข้าไม่เข้าใจ”
“ฝ่าบาทมักจะลงโทษคนชั่วช้าทุกคน ถึงแม้ว่าคนดีจะไม่ได้มีอายุยืนยาวร้อยปี แต่คนดีใครๆ ก็รับรู้ได้ เมื่อรับรู้ได้แล้วจะทำอะไรได้? อย่างน้อยพวกเขาจะเป็นที่จดจำ
ลองคิดดูสิบปีหลังจากนี้ ท่านแม่จะอยู่กับฝ่าบาทที่นี่ ต่อให้เป็นเพียงการนั่งดื่มชาด้วยกันก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือเพคะ?”
จู่ๆ จักรพรรดิปีกใต้ก็มีความฝัน “เป็นไปได้หรือ?”
“หากหม่อมฉันเป็นท่านแม่ หม่อมฉันเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“จริงหรือ?”
จักรพรรดิปีกใต้นึกภาพความฝันนั้น คงจะดีไม่น้อยหากได้นั่งจิบชาและพูดคุยกันในยามแก่ชรา
หนานกงเย่กลับรู้สึกเป็นกังวลไปทั้งร่างกาย ผู้หญิงคนนี้เมื่อดุร้ายและไร้ความปรานีขึ้นมาก็ดูน่าตกใจอย่างมาก และดูไม่ออกเลยว่าเธอหลอกคนอื่นได้เก่งเช่นนี้ และรู้สึกต้องระมัดระวังตัวเอง
จักรพรรดิปีกใต้ถาม “ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”
“ฝ่าบาท ประมาณหนึ่งปีครึ่งเพคะ”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นพูดคำนี้ออกมา ใบหน้าของจักรพรรดิปีกใต้ก็ซีดขาว จากนั้นซูมู่หรงจึงพูดขึ้นมา “เจ้าตรวจดูให้ดี”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองซูมู่หรง “ความสามารถทางด้านการรักษาของข้ามีสิ่งที่น่าสงสัยอีกหรือ?”
จักรพรรดิปีกใต้มองออกไป “เจ้าไม่ต้องพูด”
ซูมู่หรงก้มศีรษะลง และถอยหลังออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นพูดต่อ “แต่ต้องดูจากสถานการณ์ หากพักรักษาอย่างดีและรวมไปถึงยาที่หม่อมฉันจัดให้ สิบปีหรือมากกว่านั้นก็มีความเป็นไปได้เพคะ เพียงแค่ห้ามโมโห หากโมโหอีกก็มีแต่หนทางสู่ความตายเท่านั้น”
จักรพรรดิปีกใต้ตกตะลึงอยู่นานและพูดขึ้นมา “ท่านแม่ของเจ้าก็เคยพูดกับข้าว่าข้ามีเพียงหนทางสู่ความตายเท่านั้น”
“เช่นนั้นนางพูดถูกแล้ว ถึงอย่างไรเสียหนทางของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การเกิดมาก็เป็นเพียงการเริ่มต้น ความตายถึงจะเป็นจุดจบ ทุกคนล้วนจบลงที่ความตาย เพียงแต่เส้นทางนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างไรและทำเรื่องอะไรลงไปก็เท่านั้น”
จักรพรรดิปีกใต้คิดว่าสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดมา ยิ่งพูดยิ่งมีเหตุผล จากนั้นจึงพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรักษาอาการป่วยให้กับข้าใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้ก็ตอบไม่ได้เพคะ ต้องดูท่านอ๋อง หากท่านอ๋องต้องการอยู่ที่นี่ก็อยู่ที่นี่ แต่หากท่านอ๋องไม่ต้องการอยู่ หม่อมฉันก็จะจากไปพร้อมกับท่านอ๋องเพคะ”
เมื่อได้ยินเข้า สีหน้าของจักรพรรดิปีกใต้ก็ไม่มีความสุข “ทำไมเจ้าถึงได้เหมือนท่านแม่ของเจ้านักนะ มีชีวิตอยู่เพื่อเขาเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เหมือนกันเพคะ ท่านแม่ของหม่อมฉันทำเพื่อซูอู๋ซิน หม่อมฉันทำเพื่อท่านอ๋องเพคะ”
“จะต่างอะไรกัน?”
“คนต่างกันเพคะ ไม่ใช่คนคนเดียวกัน”
“ปากคอเราะรายนัก!”
ซูมู่หรงอดไม่ได้จึงพูดออกมา ใบหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึมและปาดสายตาขึ้นมองจักรพรรดิปีกใต้เห็นท่าไม่ดี จึงเหลือมองหนานกงเย่และเหลือบมองลูกชายที่อยู่ข้างกายของเขา จากนั้นจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ขณะนี้ฉีเฟยอวิ๋นถอยหลังออกไป “วันนี้พอแค่นี้ โดยรวมแล้วฝ่าบาทไม่เป็นอะไรมากเพคะ”
“ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร?” จักรพรรดิปีกใต้ราวกับเป็นเด็ก
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นใบสั่งยาให้กับซูมู่หรง “วันละสามครั้ง ให้พระองค์ดื่มน้ำก็ได้ ส่วนเรื่องอื่นนั้นข้าตรวจสอบดูแล้วร่างกายของพระองค์ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่พระองค์มักจะคิดมากอยู่ตลอดเวลา หากปล่อยวางลงได้คงดี”
“พวกเจ้าจะไปกันแล้วหรือ?”
ซูมู่หรงรู้สึกอดไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ จะไปหรือไม่ไปมีเขาเท่านั้นเป็นคนตัดสินใจ
หนานกงเย่กล่าวดว้ยเสียงเรียบ “ข้าจะอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน เพราะยังมีบัญชีที่ต้องเรียกเก็บ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะเดินทางกลับไป”
“เช่นนั้นช่วงนี้พวกเจ้าก็พักที่ตำหนักเฉียนคุน หากมีเรื่องอะไรก็สั่งออกไป เสด็จพ่อของข้าอาการไม่ดี ข้ายังต้องรบกวนพวกเจ้า”
“ไม่มีปัญหา” ฉีเฟยอวิ๋นตอบรับอ่างเต็มปาก แต่จักรพรรดิปีกใต้กลับนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน เขายังไม่กินข้าวและยังอยากพูดคุยอีก
“มู่หรง เจ้าสั่งไปที่ห้องเครื่อง วันนี้ข้าไม่กลับไป ข้าจะอยู่เฝ้า……อวิ๋นอวิ๋นที่ตำหนักเฉียนคุนที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ซูมู่หรงออกไปจัดเตรียม ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจ เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนแล้ว
จักรพรรดิปีกใต้เหลือบมองหนานกงเย่ เพื่อแสดงให้ฉีเฟยอวิ๋นไปนั่งตรงหน้าของเขา
“หม่อมฉันยังมีธุระให้ท่านอ๋องอยู่กับฝ่าบาทนะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังและเดินออกไป จักรพรรดิปีกใต้รู้สึกไม่พอใจ ยังจะพูดอะไรอีกในเมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปแล้ว และคนข้างกายที่นั่งอยู่ก็คือหนานกงเย่
จักรพรรดิปีกใต้คิดอยากจะตายไปให้จบๆ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น ทันใดนั้นก็มีความคิดขึ้นมาว่านั่งอยู่ตรงนี้ทำให้หนานกงเย่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญจะดีกว่า
รอให้เขาฝึกซ้อมเล่ห์อุบายดีแล้ว เมื่อซูอู๋ซินกลับมาก็สามารถทำให้ซูอู๋ซินโมโหตายได้ เมื่อซูอู๋ซินตายลง เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของเขาทั้งหมด
ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ถึงเรื่องที่จักรพรรดิปีกใต้นั่งจ้องกับท่านอ๋องเย่แห่งเมืองต้าเหลียงตลอดทั้งบ่าย แต่ก็เดินกลับออกไปในตอนค่ำอย่างมีความสุข อีกทั้งดูเหมือนร่างกายจะแข็งแรงดูกว่าปกติเสียด้วย
และยังตั้งใจเดินไปที่ตำหนักของฮองเฮาอีกด้วย จนทำให้ฮองเฮาตกใจจนเหม่อลอย
แต่เมื่อนั่งลงไม่นานและจักรพรรดิปีกใต้รู้สึกไร้ประโยชน์จึงกลับออกไป
เมื่อเวลาดึกมาถึง ฉีเฟยอวิ๋นนั่งมองพระจันทร์อยู่ในตำหนักเฉียนคุน มองไปๆ จากนั้นจู่ๆ ก็มีคนมาหาเธอ
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปดูคนที่มาหา กลับเป็นจักรพรรดิปีกใต้และซูมู่หรงสองคน
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืนและก้มศีรษะโค้งคำนับไปยังทั้งสอง “คารวะฝ่าบาท”
จักรพรรดิปีกใต้มอบไปบริเวณรอบๆ และถามเธอ “ทำไมถึงไม่เห็นท่านอ๋องเย่ล่ะ เขาอยู่ที่ไหน?”
“มีเรื่องให้ต้องออกจากวังเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เป็นคนของตำหนักเฉียนคุนและมีแผ่นป้ายที่ซูอู๋ซินทิ้งไว้ให้ การจะเข้าหรือออกจากวังหลวงจึงเป็นเรื่องง่ายดาย แต่วันนี้หนานกงเย่ออกไปเร่งค้นหาตำแหน่งที่กบดานของหนานกงเซวียนเหอแล้ว ได้รับข่าวว่าเขาอยู่ที่ปีกใต้ หากพาฉีเฟยอวิ๋นไปด้วยคงไม่สะดวก ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ได้ออกไป
“พวกเจ้านับว่าทำตามอำเภอใจมาก วังหลวงของข้าไม่สามารถขัดขวางพวกเจ้าได้เลย?” จักรพรรดิปีกใต้พูดหยอกล้อและเดินไปตรงหน้าของฉีเฟอยวิ๋นโดยไม่โมโหเลยสักนิด
เมื่อจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดใต้แสงจันทร์ เธอและเฟิ่งไป่ซูเหมือนกันอย่างมาก ถึงขนาดว่าแววตาก็เหมือนกัน
วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นสวมชุดสีเหลืองลูกท้อสีสันสดใส ซึ่งช่วงบนมีลักษณะแคบและช่วงล่างกว้าง และดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยอิงตามแต่งกายของคนที่นี่
จักรพรรดิปีกใต้เห็นแล้วรู้สึกสบายตา
“นั่งลงสิ อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีเพคะ”
จักรพรรดิปีกใต้นั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้เกรงใจ เธอเป็นพระชายาเย่แห่งเมืองต้าเหลียง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมารยาทระหว่างจักรพรรดิปีกใต้นัก
จักรพรรดิปีกใต้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและรู้สึกสบายใจมากขึ้น
เขาทำตามคำพูดของฉีเฟยอวิ๋นที่ไปพบปะคนใกล้ตัวรอบข้าง เขาก็ไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังอยากกลับมาที่นี่
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้น
“เจ้าอยู่ที่ตำหนักเฉียนคุนคนเดียวไม่กลัวหรือ?” จักรพรรดิปีกใต้ตั้งใจจะพูดให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “กลัวอะไรหรือเพคะ ที่นี่มีนักฆ่าหรือเพคะ?”
“ไม่มีนักฆ่าหรอก ตำหนักเฉียนคุนเดิมที่สถานที่ฝังศพของจักรพรรดิปีกใต้แต่ไหนแต่ไรมา องค์หญิงองค์ชายคนหนุ่มสาวในวังมักไม่ค่อยมาที่นี่ ข้าก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก”
“จริงหรือเพคะ ก็แค่คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นไม่มีอะไรให้ต้องกลัว การตายของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่ได้เป็นคนทำให้พวกเขาตาย พวกเขาไม่มาหาหม่อมฉันหรอกเพคะ กลับกันพวกเขาต้องดีกับหม่อมฉันและปกป้องหม่อมฉัน ถึงอย่างไรเสียหม่อมฉันก็เป็นลูกหลานรุ่นหลังของพวกเขา”
“……” จักรพรรดิปีกใต้เคร่งขรึม ช่างหน้าไม่อาย!