“นายท่าน” เมื่อหทารเห็นว่าหลิน ชูจิ่ว อุ้มเด็กมา เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องการจะหยุดนาง

       หากหวางเย่ ของพวกเขาเรียนรู้ถึงสิ่งนี้ เขาจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน

“ปล่อย!” ใบหน้าของหลิน ชูจิ่วจมดิ่งลงและไม่มีร่องรอยของความสุภาพในน้ำเสียงของเธอแม้แต่น้อย

“นายท่าน แต่ตัวตนของท่าน……” หลังจากที่เขาพูดคำเหล่านั้น เขาก็กลืนส่วนที่เหลือลงไป เมื่อเขาเห็นดวงตาที่เย็นชาของหลิน ชูจิ่ว

       เมื่อหวางเฟย ของพวกเขาอยู่ข้างนอก นางกลับเหมือนเป็นอีกคน นางไม่ได้เป็นคนที่เก็บเงียบเหมือนปกติที่อยู่ในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่

“หน้าที่ของเจ้าก็คือค่อยปกป้องข้า ไม่ใช่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า” นอกเหนือจากเสี่ยวเทียนเหยา ผู้อื่นก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงเรื่องของเธอ

“ขอรับ” ทหารโค้งคำนับและก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว

       เด็กหนุ่นนานว่าโจวและผู้ชมต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์นี้ พวกเขามองไปที่หลิน ชูจิ่วทีละคนๆ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพและความกลัว พวกเขาช่วยไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังออกไปเช่นกัน

       ตัวตนของหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ใช่ไหม?

“รถม้าของข้ารออยู่ที่นั่น ไปที่นั่นกันเถอะ” หลิน ชูจิ่วพูดแล้วมองไปที่เด็กน้อย เด็กน้อยคนนี้ ดูเหมือนอายุ 3 หรือ 4 ปีเท่านั้น แต่เด็กคนนี้กลับดูแย่มาก หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากทหารคุ้มกัน เธอเพียงเดินตรงไปที่รถม้าทันที

“เอ่อ ได้ๆ…” เด็กหนุ่มที่กำลังต้องตกใจอยู่ พักหนึ่งถึงได้ตามไป

       ผู้ชมต้องการที่จะดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ แต่พวกเขาก็กลัวทหารคุ้มกันที่ตามหลังหลิน ชูจิ่วไป ดังนั้นในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าตามไป พวกเขาจึงต้องกระจัดกระจายหายไปทีละคนๆ เท่านั้น

“คุณชาย กลับกันเถอะขอรับ” เมื่อฝูงชนกระจัดกระจายไปแล้ว คนใช้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งก็พูดกับเจ้านายหนุ่มของเขาซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวขึ้น

       ชายหนุ่มมีปิ่นหยกปักอยู่บนหัวของเขา เขามีกลิ่นอายที่สูงส่งและสง่างามซึ่งอาจทำให้คนยากที่จะเมินเฉยต่อการดำรงอยู่ของเขาได้ แต่ลักษณะที่สะดุดตาที่สุดของเขาคือดวงตาของเขาที่ดูสดใสเหมือนดวงดาว

       คนเช่นนี้ที่เดินอยู่ในฝูงชนจึงกลายเป็นจุดสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องจริงเนื่องจากรูปลักษณ์ที่สะดุดตาของเขา ผู้คนบนถนนต่างก็หยุดเดินโดยไม่ได้ตั้งใจและจ้องมองมาที่เขาเท่านั้น

       เด็กสาวขี้อายที่เดินผ่านไปมาต้องการหยุดดู แต่ก็ไม่กล้าทำ แม้แต่พ่อค้าที่อยู่ข้างๆก็ไม่กล้ามองเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ

       นายหนุ่มคนนี้ก็คือเมิ่ง ซิวเหยียน หลานชายของผู้อาวุโสที่เสียชีวิตไปแล้วของสำนักเหวินชาง เขาเดินผ่านถนนจู้เชวี่ย และเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งกำลังร้องขอความเมตตาอยู่ตรงหน้าร้านขายยา เขาต้องการที่จะดูว่าเขาจะสามารถช่วยเขาอะไรเขาได้หรือไม่ แต่เขาก็ไม่คาดหวังว่าจะมีคนเร็วกว่าอยู่

       เมิ่ง ซิวเหยียน มองไปที่หลิน ชูจิ่ว ผู้ที่กำลังอุ้มเด็กน้อยแล้วเดินไปที่รถ ม้า ใบหน้าของเขาแสดงรอยยิ้มที่สดใสขึ้น เขามองคนรับใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างๆเขา แต่เขาไม่ได้ดูใจร้อนหรือมีความเบื่อหน่ายแต่อย่างไร เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับไป จากนั้นเขาก็เข้าไปในหอน้ำชาทางด้านข้าง

       สายตาของฝูงชนมองตามเขาไปจนเมิ่ง ซิวเหยียน เดินเข้าไปหอน้ำชาแล้ว และเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกต่อไป ฝูงชนก็ดึงสายตากลับมาอย่างไม่เต็มใจ

       นี่คือคุณชายน้อยของตระกูลเมิ่ง เมิ่ง ซิวเหยียน เขาไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไร เพราะตราบใดที่เขาเดินผ่านฝูงชน เขาก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แล้ว

       หลิน ชูจิ่ว พาเด็กเข้าไปในห้องโดยสาร ในขณะที่ทหารผู้คุ้มกันและเด็กหนุ่มนามว่าโจวกำลังรออยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ แล้วหลิน ชูจิ่วก็หยิบกล่องยาออกจากระบบการแพทย์ทันที

       เด็กหนุ่มนามว่าโจวดูเหมือนจะเป็นคนยากจน แต่ร่างกายและเสื้อผ้าของเด็กน้อยที่ป่วยนั้นกลับดูสะอาด เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

       เด็กโดยพิษซึ่งทำให้เขามีไข้สูงและขาดน้ำอย่างรุนแรง โชคดีที่มันไม่ใช่พิษที่รุ่นแรงมาก เด็กคงจะถูกแมลงหรือแมงมุมมีพิษกัดต่อย มันเป็นเพียงแค่การได้รับการรักษาที่ล่าช้ามาเป็นเวลานาน ดังนั้นอาการของเขาจึงรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับใครบางคนอย่างหลิน ชูจิ่ว นี่เป็นเพียงเรื่องของเค้กชิ้นหนึ่งเท่านั้น!