ถึงซีอีโอไป๋จะพยายามทำเหมือนตัวเองเข้าอกเข้าใจแค่ไหน เมื่อเขาได้ยินคำเชื้อเชิญอย่างใจกว้างจากเฉินเกอ ใบหน้าของเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เฉินเกอนั้นไม่ใช่คนที่จะมามัวประดิษฐ์ประดอยคำ เขาชอบพูดตรงเข้าประเด็นมากกว่า
ถ้าคุณคิดว่าบ้านผีสิงของผมมีปัญหา อย่างน้อยที่สุด คุณก็ต้องเข้าไปสัมผัสมันด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งก่อนถึงจะมีสิทธิ์ติเตียนอะไร
เป็นธรรมดาที่ซีอีโอไป๋จะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉินเกอ แกพูดเล่นหรือไง? กระทั่งนักแสดงบ้านผีสิงมืออาชีพยังเป็นลมไปหลังจากเข้าชม ถ้าฉันรับคำเชิญนี่ ก็ไม่ใช่รับคำเชิญไปตายหรือไง?
“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปดูตอนบ่ายนี้น่ะ แต่ถ้าต่อไปมีโอกาส ผมต้องรับข้อเสนอนี้ของคุณแน่ ๆ” ซีอีโอไป๋หัวเราะกระอักกระอ่วน หลังจากปฏิเสธเฉินเกอแล้วท่าทีของเขาก็ไม่ได้ดูร้ายกาจอย่างก่อนหน้า
“แย่จังเลยนะครับ ถ้าต่อไปคุณได้มา คุณต้องบอกผมก่อนนะครับ ผมจะให้บริการคุณเป็นพิเศษเลย” การบริการเป็นพิเศษของบ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นมอบประสบการณ์อันพิเศษ ผู้เข้าชมหนึ่งคนเข้าฉากระดับ 3.5 ดาว สำรวจเมืองหลี่ว่านพร้อมกับผู้เข้าชมอีกเก้าคนที่แสดงโดยพนักงานของบ้านผีสิง
“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้วกัน” ซีอีโอไป๋รู้สึกเหมือนว่าถ้าเขายังคุยเรื่องนี้ต่อไป สถานการณ์ก็จะไม่เข้าทางเขาแล้ว เขาดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดหมายเลข “เสี่ยวชวง ทำไมนายไม่พาซางอิ๋นมาที่นี่ล่ะ? ไม่มีอะไรหรอก ทั้งผู้อำนวยการลั่วและเฉินเกอเป็นคนมีเหตุผล พวกเขาไม่ทำอะไรนายหรอก”
สองสามนาทีต่อมา เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอกประตู ฝาแฝดคู่หนึ่งพยุงหลี่ซางอิ๋นเข้ามาในห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว เฉินเกอเคยเห็นคนกลุ่มนี้มาก่อนแล้ว พวกเขาล้วนเป็นพนักงานของสถาบันฝันร้าย
“ผู้ชายคนนี้ดูคุ้น ๆ นะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด เขาเคยมาบ้านผีสิงของผมมาก่อน” เฉินเกอจำหลี่ซางอิ๋นได้ตั้งแต่เห็นแวบแรก หลี่ซางอิ๋นนั้นไม่กล้ามองเฉินเกอ เขาไปนั่งที่มุมห้องด้วยการพยุงจากฝาแฝด
“ซางอิ๋น บอกเฉินเกอสิว่าเธอเห็นอะไรในบ้านผีสิง” ซีอีโอไป๋ดูเหมือนจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง ทุกคนในห้องหันไปมองหลี่ซางอิ๋น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และความกลัวที่ก้นบึ้งดวงตาของเขาก็กระจ่างราวกับกลางวัน
“เป็นเขาแหละ!” หลังจากพ่นสามคนนี้ออกมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ริมฝีปากของหลี่ซางอิ๋นก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงขณะที่เขาหอบเอาอากาศเข้าไปอย่างกระหาย “ผี! มีผีอยู่ในบ้านผีสิง! ที่นั่นมีผีสิง!”
“นี่หมายความว่ายังไงน่ะ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดเหรอที่บ้านผีสิงจะมีผี?” เฉินเกอเอนตัวพิงพนักโซฟา และถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“แต่ว่าที่นั่นมีผีจริง ๆ! บ้านผีสิงของเขามีผีสิงจริง ๆ! ผีทั้งหมดล้วนเป็นของจริง! คนเป็น ๆ ไม่สามารถสร้างความรู้สึกแบบนั้นได้หรอก!” จิตใจของหลี่ซางอิ๋นค่อย ๆ กระจ่างขึ้น และถ้อยคำของเขาก็เต็มไปด้วยความแหลมคมอีกแบบหนึ่ง
“สถาบันฝันร้ายสร้างความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้” เฉินเกอหมดความอดทนแล้ว น้ำเสียงของเขาไม่มีความให้เกียรติใดเหลืออยู่ ดวงตาของเขานั้นมองหลี่ซางอิ๋นเหมือนมองขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง “คุณควรจะใช้เวลาพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นแทนที่จะพยายามฉุดคนอื่นลงต่ำ ต่อให้บ้านผีสิงของผมปิดตัวไป ผู้เข้าชมก็ไม่ไปบ้านผีสิงของคุณหรอก”
“ไม่! ผมยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์! นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จะเกิดได้จากคนเป็น ๆ!” ดวงตาของหลี่ซางอิ๋นแดงก่ำ
“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงนะ ในฐานะนักแสดงมืออาชีพของบ้านผีสิง คุณอยากจะไปก่อเรื่องให้กับบ้านผีสิงอื่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณกลับเป็นคนที่หมดสติไปเอง คุณสูญเสียความภาคภูมิใจทั้งหมดไป ดังนั้นคุณจึงคิดเรื่องโง่ ๆ นี่พยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีเล็ก ๆ น้อยที่คุณเหลืออยู่” การวิเคราะห์ของเฉินเกอนั้นมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ
“ผมเป็นพนักงานที่บ้านผีสิงมาห้าปี ดังนั้นผมถึงรู้เรื่องบ้านผีสิงมากกว่าที่คุณรู้ ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในอุตสาหกรรมนี้นั้นมีระดับเพดานสูงแค่ไหน…”
หลี่ซางอิ๋นยังต้องการพูดต่อ แต่ว่าเฉินเกอตัดบทเขา “ห้าปีนับว่านานจริง ๆ เหรอ? พ่อกับแม่ของผมเริ่มต้นทำบ้านผีสิงเคลื่อนที่มาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีของประกอบฉากพวกผีและสัตว์ประหลาดเป็นของเล่น ตอนที่คุณยังแก้ผ้า เรียนสะกดคำ ผมก็รู้วิธีการติดตั้งหุ่นแล้ว”
เฉินเกอลุกขึ้นยืน “ผมมองไม่เห็นเหตุผลของการพูดคุยครั้งนี้ เพดานที่คุณพูดถึงนั่นน่าจะเป็นเพดานในมุมมองของคุณ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพดานจำกัดของคุณ ไม่ใช่ของผม”
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เฉินเกอ คุณไว้หน้าผมสักนิดไม่ได้หรือไง?” ซีอีโอไป๋ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขารู้สึกว่าตัวเองไว้หน้าเฉินเกอมากแล้ว “ซางอิ๋นยังเด็ก และเขาก็ไม่รู้วิธีการพูดจา เอาแบบนี้เป็นไง? ทำไมคุณไม่เรียกนักแสดงทั้งหมดที่รับผิดชอบหลอกเขาออกมา นั่นน่าจะตอบคำถามทั้งหมดได้ในทีเดียว”
เฉินเกอหันกลับไปมองผู้อำนวยการลั่ว หลังจากสบตากัน เขาก็หยุดยืนนิ่ง “ซางอิ๋น คุณอ้างว่าบ้านผีสิงของผมมีผีจริง ๆ อย่างนั้นคุณบอกผมอย่างละเอียดได้ไหมว่าคุณไปเจอเข้ากับผีนั่นที่ไหน และผีตนนั้นหน้าตาเป็นยังไง?”
เขาเดินไปหาหลี่ซางอิ๋น หรี่ตาลง ทุก ๆ ก้าวของเขานั้นทำให้หลี่ซางอิ๋นโซเซถอยหลังไปจนกระทั่งจนมุมอยู่ด้านหลังโซฟา
“คุณกลัวผมเหรอ? หรือเพราะคุณคิดว่าผมก็เป็นผีเหมือนกัน?” หลังจากทำภารกิจทดลองที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาสำเร็จไปหลายภารกิจ เฉินเกอก็ถูกฝึกจนรอบ ๆ ตัวนั้นมีบรรยากาศอันพิเศษแบบหนึ่ง
“ผมจำนักแสดงคนอื่นได้ไม่ชัดนักเพราะว่าความทรงจำของผมมันวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ว่ามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่โรงแรมที่ผมจำได้ชัดเจน! เขาไม่ใช่คนเป็น ๆ!” หลี่ซางอิ๋นพูดผ่านไรฟัน “คุณกล้าพาเขามาเจอผมที่นี่ไหมล่ะ?”
“ที่โรงแรม!? ชายวัยกลางคน?” เฉินเกอขมวดคิ้ว จากที่ผู้ชายคนนี้บรรยาย เขาดูเหมือนจะพูดถึงจางจิงจิ่ว แต่ปัญหาก็คือ… ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงแน่ใจมากว่าจางจิงจิ่วเป็นผี? ในฐานะพนักงานใหม่ จางจิงจิ่วบางครั้งยังถูกเฉินเกอทำให้ตกใจกลัว แล้วเขาจะไปสร้างความรู้สึกว่าเขาเป็นผีได้ยังไง?
นี่มันแผนการบ้าอะไรกัน? เฉินเกอไม่เข้าใจเลย
“คุณไม่กล้าใช่ไหมล่ะ? เพราะว่าไม่มีคนแบบนั้นที่บ้านผีสิงของคุณ! ผมพูดถูกใช่ไหม?” หลี่ซางอิ๋นตะโกนดวงตาเป็นประกายกล้า สมองของเขานั้นเติบโตมาในวิถีทางที่ต่างไปจากคนธรรมดา และวิธีการคิดของเขานั้นก็เอนเอียงไปในทางสุดโต่ง “อย่าได้คิดว่าคุณจะไปเอาใครมั่ว ๆ มาแทนเขานะ ผมมีรูปของเขาอยู่!”
หลี่ซางอิ๋นใช้มือสั่น ๆ ของตัวเองดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เขาแตะเปิดอัลบั้มรูปที่เขาถ่ายรูปจางจิงจิ่วเอาไว้ นี่เป็นรูปที่หลี่ซางอิ๋นถ่ายเอาไว้ตอนที่เขาอยู่ในชุดหญิงท้องก่อนที่จะไปคุยกับจางจิงจิ่ว
“ถูกแมวดึงลิ้นไปแล้วหรือยังไง? ทำไมถึงลังเล? รูปนี่ชัดมาก ผมต้องการให้คุณพาคนคนนี้มาที่นี่เดี๋ยวนี้!” หลี่ซางอิ๋นเชื่อว่าเขาเตรียมตัวมาพร้อม เขารู้สึกขอบคุณที่ตัวเองได้ถ่ายรูปนี้เอาไว้ก่อน โชคไม่ดี เขามีแค่รูปของจางจิงจิ่ว หลังจากที่เขาวิ่งหนีอย่างรีบร้อน การถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานก็ไม่ได้ผ่านเข้ามาในความคิดเขาอีกเลย
“คุณพูดเองนะ คุณทำงานที่บ้านผีสิงมาห้าปีแล้ว คุณก็ควรจะรู้ว่ามันมีกฏห้ามถ่ายรูปในบ้านผีสิง ผมจะเก็บรูปนี่ไว้ และอีกไม่กี่วัน ผมจะไปที่สถาบันฝันร้ายด้วยตัวเองเพื่อขอคำอธิบาย” เห็นรูปแล้วเฉินเกอกลับรู้สึกโล่งอกแทน
“อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่อง!” หลี่ซางอิ๋นเสียงดังขึ้น จากมุมมองของเขา เขาเป็นฝ่ายถูกต้องแน่นอน
“อย่างนั้นก็รอที่นี่” เฉินเกอหันกลับออกไปจากห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว เขาไปที่บ้านผีสิงรับตัวจางจิงจิ่วที่กำลังศึกษาการแสดงอยู่
“เอาขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางไปด้วย พวกเรากำลังจะไปเจอเพื่อนเก่า” เฉินเกออธิบายให้จางจิงจิ่วฟังสั้น ๆ ระหว่างทาง และฝ่ายหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้เกือบจะทันที เคาะประตูแล้วเฉินเกอก็พาจางจิงจิ่วเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว และตอนที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไป อุณหภูมิในห้องก็เหมือนจะลดลงไป
“นี่คือนักแสดงในรูป จางจิงจิ่ว” ทุกคนหันไปหาจางจิงจิ่วที่ยังมีการแต่งหน้าฝีมือเฉินเกออยู่ กระทั่งยืนอยู่ในห้องทำงานที่สว่างจ้า สบตากับเขาก็ยังให้ความรู้สึกหวาดกลัวมาก
“ผมต้องขอโทษที่หลอกคุณเมื่อวันนั้น ผมไม่คิดว่าคุณจะขี้กลัวขนาดนั้น ผมต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งจริง ๆ” จางจิงจิ่วเดินเข้าไปหาหลี่ซางอิ๋น แต่เมื่อฝ่ายหลังเห็นเขาเดินเข้าไปหา เขากลับกรีดร้องออกมาเหมือนเด็กผู้หญิงแล้วกระโดดหนีไป
“ไม่! อยู่ห่าง ๆ นะ! นี่มันแหละ! เขาเป็นผี! เขาเป็นผีจริง ๆ นะ!”
“ไม่ต้องสนใจเขา” เฉินเกอส่งขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางให้จางจิงจิ่ว “ไปล้างเครื่องสำอางออกซะ เดี๋ยวฉันแต่งให้นายใหม่ทีหลัง”
“ได้ครับ” และจางจิงจิ่งก็ทำอย่างที่ถูกบอกให้ทำ หลังจากถอดเสื้อคลุม เขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งในทันที ตัวเขาไม่มีอะไรน่ากลัว เขาดูเหมือนพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่พบได้ทั่วไป
“ไม่ใช่ว่านักแสดงที่สถาบันฝันร้ายก็แต่งหน้าเหรอ?” จางจิงจิ่ววางขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางลงตรงหน้าพนักงานทั้งสามคนจากสถาบันฝันร้าย
เมื่อความจริงกระจ่างอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ฝาแฝดคู่นั้นก็รีบลุกขึ้นขออภัย “พวกเราเสียใจมาก การแต่งหน้าของบ้านผีสิงของคุณสุดยอดมาก ๆ พวกเราวู่วามเกินไป พวกเราต้องขออภัยด้วย”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมแน่ใจว่ามีหลายอย่างที่พวกเราสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน ผมสัญญาว่าจะไปเยี่ยมสถาบันฝันร้ายไม่ช้าก็เร็ว”
พนักงานจากสถาบันฝันร้ายสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากเฉินเกอ หลังจากขอโทษซ้ำ ๆ พวกเขาก็รีบปลีกตัวออกไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซีอีโอไป๋ดูกระอักกระอ่วนและนั่งอยู่ที่เดิมอย่างอับอาย แต่เขาก็ยังพยายามรักษาท่าทีเอาไว้
“เสี่ยวเฉิน ตอนนี้มีแค่นี้แหละ เธอกลับไปได้เลย” ใบหน้าของผู้อำนวยการลั่วเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เขาดูเหมือนจะมีหลายอย่างที่อยากจะ ‘พูดคุย’ กับซีอีโอไป๋
“ได้ครับ” เฉินเกอรู้ว่าผู้อำนวยการลั่วเตรียมจะเชือดซีอีโอไป๋ แต่พวกเขาไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างทางกลับ เฉินเกอพบว่าจางจิงจิ่วก้มหน้าต่ำเหมือนมีบางอย่างในใจ
“จิงจิ่ว ถ้านายมีอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาได้เลย พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ดังนั้นคุณบอกผมได้ทุกเรื่อง” เสียงของเฉินเกออบอุ่น เขาสามารถทำให้คนอื่นนั้นมีกำลังใจขึ้นมาถ้าเขาตั้งใจจะทำ
“ผมสร้างปัญหาให้คุณอีกแล้วใช่ไหม? ผมรู้สึกไร้ประโยชน์มากเลย ผมหลอกผู้เข้าชมได้ไม่ดี และยังลดค่าเฉลี่ยความน่ากลัวรวมของบ้านผีสิงของพวกเรา แล้วคราวนี้ ผมยังสร้างปัญหาใหญ่ให้คุณอีก” เสียงของจางจิงจิ่วเจื่อน “ตั้งแต่เด็ก ผมก็มักจะสร้างปัญหาให้ครอบครัว เพราะแม่ของผม ผมก็เลยทุ่มความไม่พอใจทั้งหมดใส่พ่อ เชื่อว่ามันเป็นความผิดของเขา แต่ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่ามันเป็นแค่หนทางง่าย ๆ ให้ผมหนีจากการถูกกล่าวโทษ มองกลับไปแล้ว ผมเป็นคนที่แย่ เป็นลูกที่แย่”
“หลายวันมานี้ ผมมองคุณอยู่ในบ้านผีสิง คุณพยายามเรียนรู้อย่างหนัก แต่ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างรั้งคุณเอาไว้ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าคุณขังตัวเองเอาไว้ในกรงเล็ก ๆ”
ยืนอยู่ในตึกสำนักงาน เฉินเกอมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขากวาดมองทั้งสวนสนุก
“ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาอ่อนแอและสูญเสีย แต่ว่าทุกคนก็ยังมีเสน่ห์ของตัวเองเช่นกัน ตอนนี้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือปลดโซ่ที่รอบหัวใจคุณ และปล่อยตัวตนแท้จริงของคุณออกมา เมื่อถึงเวลา คุณก็จะได้กลับไปซินไห่พบพ่อของคุณ บางอย่างนั้นอย่าปล่อยทิ้งไว้ไม่พูดจะดีกว่า คุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้น”
เฉินเกอตบบ่าจางจิงจิ่ว “ลองมองดูสิ พนักงานที่ผมสามารถพึ่งพาได้ก็มีแค่พวกคุณไม่กี่คน ต่อไป ผมวางแผนจะให้คุณเปิดสาขาให้ผมในต่างเมือง และถึงตอนนั้น คุณก็ต้องควบคุมดูแลหลายอย่างเลยนะ”
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมมีพนักงานแค่ไม่กี่คน และผมก็ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวของผม” เฉินเกอพาจางจิงจิ่วกลับไปที่บ้านผีสิง เขาให้จางจิงจิ่วกลับไปสวมบทเจ้าของโรงแรมเหมือนเดิมขณะที่เขากลับไปที่ห้องพักพนักงานเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายเพิ่ม เขาวางแผนจะลงมือคืนนี้
“โรงเรียนแห่งปรโลกจะถึงเส้นตายวันมะรืนนี้ ไม่ว่าจางหยาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ฉันก็ต้องไปทำภารกิจนี้ หรือไม่อย่างนั้นภารกิจก่อนหน้าก็จะเสียเปล่าไปหมด” เฉินเกอมองเงาของตัวเองแล้วก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบปฏิทินบนโต๊ะขึ้นมา “วันนี้เป็นวันที่หนึ่งมิถุนายน กำลังจะถึงเทศกาลวันหยุดแล้ว และสวนสนุกนิวเซนจูรี่ก็กำลังจะเปิดในไม่ช้า ฉันมีเวลาเหลือไม่มากนักแล้ว
จางหยายังจำศีล และซู่อินได้รับบาดเจ็บสาหัส มันอันตรายสำหรับเขามากที่จะไปท้าทายภารกิจระดับสี่ดาว โรงเรียนแห่งปรโลก เฉินเกอเข้าใจทุกอย่าง แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก ถ้าเขาปล่อยโรงเรียนแห่งปรโลกไป เขาก็นับว่าสูญเสียมากมาย
“ฉันควรจะไปลองดู หวังว่าฉันจะรอดชีวิตกลับมาได้” ดวงตาของเขาขยับไปทางรูปที่มุมโต๊ะ และเฉินเกอก็ส่ายหน้าเบา ๆ นี่เป็นรูปครอบครัว พ่อกับแม่ของเขายืนอยู่ตรงกลาง– แม่ของเขาดูเหมือนจะกอดอะไรสักอย่างเอาไว้ พ่อของเขาชี้ไปที่บ้านผีสิงด้านหลังพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า และเฉินเกอยืนอยู่คนเดียวที่ด้านข้าง
เฉินเกอหรี่ตา มองเห็นว่าแม่ของเขากำลังกอดลูกสาวของผู้อำนวยการลั่ว วิญญาณที่ไม่ได้ต่างไปจากวิญญาณพิทักษ์ เอาไว้
“เพราะอะไรสักอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ลูกในไส้ของพวกเขา” เฉินเกอวางรูปกลับลงไปบนโต๊ะ และเขาก็บังเอิญมองเห็นประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ที่ด้านหลังรูป ‘หนึ่งมิถุนายน สุขสันต์วันเกิดนะไอ้ตัวยุ่ง’
“คู่สามีภรรยาที่ทำตัวเองหายตัวไป ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นไอ้ตัวยุ่งตัวจริง?” เฉินเกอถอนหายใจและปรับอารมณ์พาตัวเองกลับไปทำงาน
ระหว่างมื้อกลางวัน เฉินเกอให้พนักงานทั้งสี่คนพักขณะที่ตัวเองอยู่รับหน้าที่แทนพวกเขา ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ทั้งสี่คนกลับมา พวกเขาซุบซิบกันเหมือนคุยอะไรกันอยู่
“พวกนายช้าไปสี่นาทีเต็ม ๆ ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้นฉันจะหักเงินพวกนาย” เฉินเกอเตือนพวกเขาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด พอได้ยิน ทุกคนก็วิ่งกลับไปที่ตำแหน่งของตัวเอง
“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องเข้มงวดกับพวกเขากว่านี้” เฉินเกอกลับไปที่ห้องพักพนักงานเรียบเรียงข้อมูลของตัวเอง จากนั้นเขาก็ไล่รายชื่อพนักงานทั้งหมดที่เขาสามารถพาไปด้วยได้ กองถ่ายดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นแค่ชิมลาง การทดสอบแท้จริงคือโรงเรียนแห่งปรโลก
หลังจากคิดแล้ว เฉินเกอก็วางแผนที่ดูมีเหตุมีผลมากขึ้น เมื่อเขาออกไปจากห้องพักพนักงาน พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว สวนสนุกปิดตอนหกโมงเย็น หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายออกไปแล้ว เฉินเกอก็ปิดประตู
“ขอบคุณสำหรับวันนี้ พวกนายกลับบ้านได้แล้ว” เฉินเกอมีเรื่องต้องทำ ดังนั้นจึงเร่งให้พนักงานกลับ
“บอส คุณคิดจะออกไปข้างออกอีกแล้วใช่ไหมคืนนี้?” เสี่ยวกู่ดูเหมือนจะอ่านใจเฉินเกอได้
“ต่อให้ฉันอธิบายไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องงาน” เฉินเกอเร่งให้พวกเขากลับ มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนั้นไม่ได้คิดมาก ซูว่านดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
พระอาทิตย์ตกดินสาดแสงไปยังชิงช้าสวรรค์ เสียงหัวเราะจางหายไป และเฉินเกอก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าคนเดียว เขามองสวนสนุกรอบตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปที่บ้านผีสิง “ได้เวลาลงมือหลังจากท้องฟ้ามืดสนิท”
กลับไปที่ห้องพักพนักงาน เฉินเกอนอนลงบนเตียง ดวงตาของเขาเอาแต่มองไปทางรูปบนโต๊ะ นี่เป็นวันเกิดแรกที่เขาไม่มีพ่อกับแม่ให้ใช้เวลาด้วย
“ฉันควรจะไปซื้อเค้กให้ตัวเองไหม? แต่เงินซื้อเค้กซื้อหุ่นได้ครึ่งตัวเลยนะ” เฉินเกอตบหน้าตัวเองเบา ๆ และบิดขี้เกียจก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปใต้เตียง “กระเป๋าฉันอยู่ไหนเนี่ย? เจ้าแมวลากมันไปไหนฮึ?”
เฉินเกอมองไปใต้เตียง ไม่มีกระเป๋า กระทั่งเสี่ยวเซียวกับเจ้าแมวขาวก็หายไปด้วย
“เจ้าแมวนี่ฉลาดขึ้นมาแล้วเดี๋ยวนี้! มันสัมผัสได้ว่าฉันกำลังจะเอามันไปด้วยดังนั้นจึงซ่อนกระเป๋าให้ห่างจากฉัน” นอกจากเฉินเกอ ก็มีแค่เจ้าแมวขาวและเสี่ยวเซียวที่เข้ามาในห้องพักพนักงาน ดังนั้นความสงสัยของเฉินเกอจึงตกไปอยู่กับเจ้าแมวทันที เฉินเกอถืออาหารแมวเอาไว้เปิดประตูแล้วหาไปทั่ว ๆ ฉากบนดินของบ้านผีสิง แต่ว่าเขาหาเจ้าแมวขาวไม่เจอ
“มันลงไปใต้ดินเหรอ? มันกล้าไปที่นั่นคนเดียวทั้งที่ขี้กลัวขนาดนั้น?” ผลักเปิดประตูเหล็กเข้าไปใต้ดิน เฉินเกอก้าวเข้าไปในอุโมงค์ที่เหมือนจะนำไปสู่ความมืด เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ที่นี่เงียบเกินไปสักหน่อยแล้ว
“เสี่ยวเซียว? เหล่าโจว?” เขาเรียกชื่อพนักงานสองสามคน แต่ว่าไม่มีการตอบรับ เฉินเกอเดินไปตามถนนมืดสลัวคนเดียว สลัว ทึบทึม กดดัน และแคบ มันเหมือนเส้นทางที่เฉินเกอเลือกให้ตัวเอง ไม่มีแสงไฟที่รอบตัว และเขาก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปในความมืดด้วยตัวเอง
เขาเดินผ่านหน้าต่างพัง ๆ ที่ให้ความรู้สึกถึงสถานการณ์น่ากลัว ด้านหลังเขานั้นเป็นโลกแห่งความมืด และตรงหน้าเขานั้นเป็นหุบเหวแห่งความมืดมิด
เดินผ่านห้องเรียนว่างเปล่า ในที่สุดเฉินเหอก็ไปหยุดอยู่ในฉากโรงเรียนมัธยมมู่หยาง เขายืนอยู่ที่นั่นคนเดียว มองทางแยกถนน ตอนที่เขาตัดสินใจจะเลี้ยวไปทางไหน โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็สั่น
พอดึงมันออกมา เขาก็เปิดข้อความออกอ่าน เป็นข้อความจากถงถง “บอส สุขสันต์วันเกิดครับ!”
ก่อนที่เฉินเกอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทางแยกที่เขายืนอยู่นั้นก็สว่างขึ้นจากลูกไฟผี มีเสียงตูมดังขึ้นแล้วประตูห้องน้ำที่ข้างตัวเขาก็ถูกผลักเปิดและหุ่นนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็เบียดเสียดกันออกมาในมือถือกระดานดำแผ่นหนึ่งเอาไว้!
กระดานดำของห้องเรียนปิดตายนั้นถูกดึงออกมาจากตัวแขวนและมีรูปวาดเอาไว้บนนั้น มันเป็นรูปของหุ่นตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเริงร่าอยู่ในนั้น พวกมันมีสีหน้าและท่าทางที่ต่างกันไป และที่ยืนอยู่ตรงกลางพวกเขานั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งลากค้อนเหล็กเอาไว้
บางทีด้วยความสามารถด้านการวาดรูปอันจำกัด– พวกเขาจึงไม่สามารถวาดผู้ชายที่ตรงกลางออกมาได้เหมือนนัก กลับกัน พวกเขาเขียนคำเอาไว้รอบตัวเขามากมาย คำอย่างเช่น สดใส มีคุณธรรม ใจดี สุภาพ และทั้งหมดนั้นมีลูกศรชี้ไปยังชายที่อยู่ตรงกลาง หลังจากพวกเขาเห็นเฉินเกอ พวกเขาก็หันกลับพร้อม ๆ กัน อยากจะให้เขาเห็นอีกด้านของกระดานดำ
พวกเขาไม่สามารถร่วมมือกันได้ดีนัก ดังนั้นหุ่นบางตัวจึงบิดแขนและหัวร้อยแปดสิบองศา พวกเขายังอยู่ในท่าประหลาดตอนที่ให้เขาดูอีกด้านของกระดานดำที่เขียนไว้ว่า– “สุขสันต์วันเกิด!”
สองคำนี้เขียนด้วยชอล์กหลายสี นักเรียนของโรงเรียนมัธยมมู่หยางยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มประหลาด บางคนต้องการเข้ามาใกล้ ๆ กับเฉินเกอแต่ว่าคนอื่นคิดว่าผลงานของพวกเขาจะดูน่าประทับใจกว่าถ้าอยู่ห่าง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่นิ่ง ๆ เพราะความเห็นต่างกัน ไม่ช้าหุ่นทั้งกลุ่มก็ล้มใส่กัน แต่ว่าความตั้งใจและความพยายามของพวกเขานั้นเข้าใจได้อย่างชัดเจน
เสียงกระแอมแห้ง ๆ ดังมาจากทางเดินทางซ้าย ลูกไฟผีนั้นเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง และเหลือทางเดินด้านซ้ายเพียงทางเดียว เสียงเพลงครืดคราดดังมากจากส่วนลึกของฉาก มันยังมีเสียงหัวเราะน่ากลัวและเสียงครืดคราดดังแทรกมาด้วย หมอหลายคนจากห้องเก็บศพใต้ดินผลักรถเข็นออกมาช้า ๆ
“Happy birthday to you, happy birthday to you…”
รถเข็นนั้นเต็มไปด้วยการ์ดอวยพรวันเกิดที่ล้วนทำจากวัสดุที่แตกต่างกัน บ้างก็ทำจากบันทึกประวัติผู้ป่วย บางอันเป็นแผ่นพับโฆษณา และบางอันยังฉีกออกมาจากเสื้อผ้าและผ้าปูเตียง ถึงแม้ว่าวัสถุจากต่างกันไป แต่ลายมือส่วนใหญ่นั้นเหมือนกัน ผีปากกาน่าจะช่วยพวกเขาส่วนใหญ่เขียนความปรารถนาดีของแต่ละคนลงในนั้น
ที่ตรงกลางรถเข็นนั้นเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่สูงราวสี่ชั้นทำจากพวกของจำลองและโคลน มันดูเหมือนเค้ก
ที่ริมขอบเค้กนั้นตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่งได้อย่างโดดเด่น มีแค่เอี๋ยนต้าเหนียนผู้เปี่ยมพรสวรรค์นั่นแหละถึงจะมีความสามารถในการทำให้ไอซิ่งหน้าเค้กดูเหมือนเลือดกำลังไหลลงมาได้
“เฉินเกอ สุขสันต์วันเกิด” หมอหลายคนจอดรถเข็นที่ตรงหน้าเฉินเกอ เอี๋ยนต้าเหนียน เหล่าโจว และคนที่เหลือเดินออกมาจากด้านหลังรถเข็น ไป๋ชิวหลินมีเครื่องเล่นเทปอยู่บนฝ่ามือ และเทปเปื้อนเลือดที่ด้านในนั้นก็กำลังเล่นเพลงที่สดใสร่าเริงอยู่เบา ๆ
“พวกคุณ…” เฉินเกอมอง ‘คน’ ทั้งหมดที่ตรงหน้าเขา
“ชู่ ไม่ต้องพูด จุดเทียนแล้วอธิษฐานซะ” เว่ยจิวฉินโบกมือไปด้านหลัง และเจ้าแมวขาวที่ตัวใหญ่กว่าแมวธรรมดามากก็เดินออกมาจากห้องเรียน คาบกระเป๋าสะพายหลังเอาไว้ในปาก มันคืนกระเป๋าให้เฉินเกอ เปิดกระเป๋าแล้วเขาก็เห็นเสี่ยวเซียวกำลังกอดเทียนหลายเล่มที่ห่ออยู่ในกระดาษเอาไว้
“งั้นเธอก็มาอยู่ตรงนี้นั่นเอง” เฉินเกอหยิบเสี่ยวเซียวขึ้นมาวางเธอเอาไว้บนไหล่ของเขา เขาถือเทียนทำมือหลายเล่มเอาไว้แล้วพูด “ใครบอกพวกคุณว่านี่เป็นวันเกิดผม?”
“เป็นผู้ชายคนนั้นที่เธอพามาเจอพวกเราเมื่อเช้านี้ พวกเขาบอกว่านี่เป็นพนักงานหญิงคนนั้นบอกพวกเขามา”
“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอพยักหน้า เขาพลิก ‘เทียน’ ที่ในมือตัวเอง “ต้องจุดมันเหรอ?”
“แน่นอนสิ มันเป็นพิธีกรรม เธอจุดเทียนจำนวนเท่าอายุของเธอ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เธออธิษฐานจะไม่เป็นจริง” ผู้อาวุโสเว่ยพูดอย่างจริงจัง เฉินเกอพยักหน้า เขาดึงไฟแช็กออกมาจากกระเป๋า จุดเทียนทีละเล่มแล้ววางพวกมันลงบนเค้ก แสงอบอุ่นขับไล่ความหนาวเย็น พวกผีนั้นกลัวแสงและไฟเป็นที่สุด แต่ว่าไม่มีใครในพวกเขาหนีหน้าออกไป
“บอส ได้เวลาอธิษฐานแล้ว!”
“อธิษฐานเลย! อธิษฐาน!”
“เธอคิดว่าบอสจะอธิษฐานว่าอะไร?”
“ชู่ ถ้าเขาบอกพวกเรา คำอธิษฐานก็จะไม่มีทางเป็นจริง”
เขากวาดตามองใบหน้าของพนักงานของเขา และเฉินเกอก็ขยี้ตา เขาอธิษฐานเงียบ ๆ จากนั้นก็เป่าเทียนทั้งหมด ฉากใต้ดินกลับไปมืดมิดลงอีกครั้ง แต่ว่าความเงียบนั้นแตกกระจายไปแล้ว พนักงานทั้งหมดมารวมตัวกัน บางคนร้องเพลง บางคนหัวเราะ เหมือนครอบครัวจริง ๆ
“ขอบคุณนะครับ” เฉินเกอยืนอยู่ในความมืด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์เป็น ๆ เพียงคนเดียวในบ้านผีสิง เขาก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลย จิตใจดีและงดงามนั้นไม่ได้ถูกรูปลักษณ์น่ากลัวภายนอกทำลายไป
เขาเห็นความจริงใจของ ‘คน’ เหล่านี้ สิ่งที่คนเป็นในทุกวันนี้ไม่ให้ค่ามันนัก ความภาคภูมิใจที่ทำให้พวกเขาหยัดยืนตรง และความใจดีที่สลักอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขา
“นี่เป็นความโชคดีของผมที่ได้พบพวกคุณทุกคน”
งานเลี้ยงดำเนินต่อไปในยามค่ำคืน จนเที่ยงคืนเฉินเกอถึงนึกได้ว่าเขามีเรื่องสำคัญต้องทำ เขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังและยัดเจ้าแมวขาวเข้าไปในกระเป๋าก่อนที่มันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “มา ราตรีนี้เพิ่งเริ่มต้น ขั้นต่อไป พวกเราจะไปข้างนอกกัน!”
…
เดินออกมาจากฉากใต้ดิน เฉินเกอแบกกระเป๋าหนักอึ้งกลับไปที่ห้องพักพนักงาน
ตอนที่เขาเปิดประตู เขาก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
มีเค้กจริง ๆ วางเอาไว้บนโต๊ะของเขา ข้าง ๆ กันนั้นเป็นการ์ดและลูกกุญแจดอกหนึ่ง
เฉินเกอเดินเข้าไปหยิบการ์ด มันเขียนไว้ด้วยลายมืองดงามของซูว่าน “บอส ฉันไม่คิดว่าฉันจำเป็นต้องมีกุญแจสำรองเพราะฉันเชื่อว่าคุณจะอยู่ใกล้ ๆ เสมอ ฉันจะคืนกุญแจนี่ให้คุณ และสุดท้าย สุขสันต์วันเกิด! ฉันขอให้คุณใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข!”