เธอแย้มปากยิ้มจางๆ หางตากลับมีน้ำตาซึมออกมา
ในเวลาที่ยาวนานของอนาคต เธอกลัวเพียงตัวเองจะเป็นร่างไร้วิญญาณที่ต้องพึ่งพายาพวกนั้นอีก…
ชีวิตแบบนั้นแค่คิดก็ทุกข์แล้ว
ไป๋ซู่เย่หลับไปแล้ว
ได้ฝันที่นานมากๆ
ในฝันย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อน
แสงสดใสกระจ่าง มีโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่าน
เย่เซียวใส่ชุดเจ้าบ่าวยืนอยู่ข้างบาทหลวง
เธอสวมชุดแต่งงานมือถือช่อดอกไม้ย่างเข้าไปหาทีละก้าวๆ ภายใต้เสียงดนตรีบรรเลงคลอ
“เย่เซียว…”
เธอยิ้ม เรียกชื่อเขาเบาๆ
ใต้ผ้าห่มเย่เซียวจูบปากเธอ จูบลำคอของเธอ ไหปราร้า ได้ยินเสียงเธอเรียกตัวเองจึงเงยหน้ามอง
เธอมองเขาในสภาพที่กึ่งหลับกึ่งตื่น “ตอนที่คุณใส่ชุดเจ้าบ่าว ดูดีจังเลย…”
หัวใจบีบรัด
เย่เซียวหายใจหนักอึ้งน้อยๆ ก้มหน้าลงประทับจูบปากเธอ
เธอไร้หัวใจมากขนาดไหนกันที่เวลานี้แล้วยังพูดแบบนี้ออกมาได้อยู่อีก!
เดิมทีไป๋ซู่เย่อยากบอกว่าตอนที่ตัวเองใส่ชุดเจ้าสาวก็สวยมาก งดงามไปทั้งโบสถ์…
แต่ความเจ็บตรงริมฝีปากปลุกเธอตื่นในทันที
ชายหนุ่มที่ทับอยู่บนตัวตนเองไม่ได้ใส่ชุดเจ้าบ่าว ส่วนตัวเอง…ก็ไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว
พวกเขาไม่ได้อยู่ที่โบสถ์…
เมื่อรับรู้ว่าความดีงามทุกอย่างที่สัมผัสเมื่อกี้เป็นเพียงความฝันนั้น ความรู้สึกนั่นมันช่างแย่ยิ่งกว่าโดนน้ำเย็นหนึ่งถังราดหัว คล้ายถูกจับโยนใส่บ่อน้ำเย็นยะเยือกอย่างไร้ความปราณีมากกว่า ถูกสูบเรี่ยวแรงไปทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่แรงจะหายใจ…
เธออยากร้องไห้จังเลย
แต่ความรู้สึกอัดอั้นตรงหน้าอกทำให้ร้องไห้ไม่ออก…
รู้สึกเพียงว่าทรมานไปยันทุกอณูของร่างกาย…
เย่เซียวไม่รับรู้ว่าเธอฝันเช่นไร เห็นเธอตื่นแล้วกลับประกบจูบเธอหนักหน่วง จูบที่ปะทะเข้ามาของชายหนุ่มทำให้เธอเชิดหน้าตอบรับจูบของเขาด้วยอัตโนมัติ
เย่เซียวต้องการเธอ มากเสียจนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว คราวก่อนในห้องนี้ความเจ็บตรงหัวใจสามารถบรรเทาความต้องการที่เขาต้องการเธอจนแทบบ้าได้ แต่วินาทีนี้เขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป
เลิกผ้าห่มกระชากชุดนอนบนตัวเธออย่างรวดเร็ว ช้อนตัวเธอขึ้นพลางแยกขาของเธอให้นั่งควบอยู่บนร่างกายตัวเอง ยกบั้นท้ายเธอขึ้นก่อนจะสอดกายเข้าหาอย่างรุนแรงและหนักหน่วง
เจ็บ
เมื่อครู่เพิ่งลืมตารวมทั้งร่างกายของเธอที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ ขนาดของเย่เซียวทำให้เธอยากจะรับไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วบวกกับในเรื่องนี้เขาไม่เคยรู้จักคำว่า ‘อ่อนโยน’
เธอเจ็บจนหลุดเสียงครางฮึมเบาๆ หรี่ตามองเขา ท่าทางอย่างนั้นเย้ายวนสุดหัวใจ กระตุ้นให้เขาเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าเดิม
เย่เซียวหยุดการกระทำถามเสียงแหบ “เจ็บใช่มั้ย?”
แต่ ณ ตอนนี้ต่อให้เจ็บ…เขาก็ไม่อาจถอนตัว เขาต้องการเธอ ต้องการเธอมากๆ…ความคิดนี้ขอแค่ได้ผุดขึ้นมาก็หักห้ามไม่ได้
ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร”
“ผมจะลองเบาแรงลง แต่ถอนตัวออกไปไม่ได้”
ความจริงเธอไม่ได้อยากให้เขาถอนตัวออกไปเช่นกัน…
ไม่อยากเลยสักนิดเดียว…
ต่อให้เจ็บ เธอก็ยอมรับทุกอย่างนี้อย่างยินยอมพร้อมใจ…
ไป๋ซู่เย่กอดลำคอเขาก่อน จูบปากเขา เดิมทีเย่เซียวก็แทบหักห้ามใจไม่ไหวพอถูกเธอยั่วยวนเข้าแบบนี้ก็ยิ่งควบคุมยากเข้าไปกันใหญ่
…………
นอกหน้าต่าง
‘ปัง–’ เสียงหนึ่งดังขึ้น แสงพลุหลากหลายสีสันราวกับสายรุ้งทะยานสู่ท้องฟ้าเหนือทะเล แทบจะจุดความสว่างให้กับเมืองทั้งเมือง ด้านนอกแสงไฟระยิบระยับ ข้างในร้อนแรงไม่มีที่สิ้นสุด
บนเตียง
ชายหนุ่มและหญิงสาวตระกองกอดพัวพันอย่างกระตือรือร้น
เธอปรับร่างกายให้ชินได้แล้ว ความเจ็บในยามแรกได้หายไปท่ามกลางความเสียวซ่านที่ทำเอาเธอแทบบ้า แรงกระแทกรุนแรงของเย่เซียวทำให้เธอที่หมอบคลานอยู่ใต้ร่างเขาความคิดประติดประต่อไม่ได้ มือกำผ้าปูเตียงข้างใต้แน่น
รอพลุดอกไม้ไฟนอกหน้าต่างปรากฏขึ้นเธอถึงฝืนลืมตาดู
“เย่เซียว…”
“หืม?” เขาที่กำลังรุกรานภายในร่างกายเธอนั้นเสียงแหบพร่าเซ็กซี่ถึงที่สุด
“…คุณไม่ได้พาฉันมาดูพลุดอกไม้ไฟหรอกเหรอ?” เสียงของเธอเย้ายวนกระเส้า
“คุณอยากดูพลุดอกไม้ไฟ?”
“อืม…”
“ได้ งั้นเราไปดูพลุดอกไม้ไฟ”
ขณะที่เขาคิดจะอุ้มเธอไปดูพลุดอกไม้ไฟจริงๆ นั้นไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกคิดผิด
“เย่เซียว คุณอย่าอยู่นี่…” เธอคลานกับพื้นติดหน้าต่างตั้งพื้นในร่างเปลือยเปล่า เย่เซียวรุกล้ำเข้ามาจากด้านหลัง พลุดอกไม้ไฟข้างนอกพาแสงเข้ามาสาดส่องเรือนร่างกันและกัน
แสงไฟที่ห่างไกลออกไปแพรวพราวน่าหลงใหล ทั้งเมืองเยียวอยู่ใต้เท้าพวกเขา
แต่ว่า…
นี่มันหน้าต่างติดพื้นเชียวนะ นี่มัน…ชักจะกล้าเกินไปหรือเปล่า?
เย่เซียวประคองเอวคอดกิ่วของเธอ พละกำลังที่กระแทกกระทั้นเข้ามาไม่ได้ผ่อนเบาลงสักนิด “คุณอยากดูพลุดอกไม้ไฟไม่ใช่เหรอ? ดูดีๆ ตั้งใจหน่อย…”
“…” แบบนี้แล้วใครจะมีอารมณ์ดูพลุดอกไม้ไฟอีก? จะตั้งใจได้อย่างไรไหว?
ยังดีที่พวกเขาอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมและเป็นตึกที่สูงที่สุด ตรงข้ามไม่มีใครเห็นพวกเขาได้
ผลสุดท้าย…
ทั้งคุ่ไม่ได้ดูพลุดอกไม้ไฟเลย เพราะในตาต่างมีเพียงกันและกัน เป็นประกายทอแสงและน่าหลงใหลยิ่งกว่าพลุดอกไม้เหล่านั้น…
ภายใต้ท้องฟ้าแสงเจิดจรัส ร่างกายของชายหนุ่มและหญิงสาวเกี่ยวกระหวัดแนบแน่น
ไป๋ซู่เย่กำลังคิด…
ในอนาคตวันใดวันหนึ่งหญิงสาวที่จะถูกเย่เซียวเพรียกพร้ำต้องการอยู่ภายใต้ร่างเขาแบบนี้จะไม่มีวันเป็นเธออีกต่อไป…
……………………
ตลอดคืนนี้ทั้งคู่แทบไม่ได้นอน
กระทั่งฟ้าสว่างทั้งคู่ถึงได้หลับตาสักที
เมื่อเย่เซียวตื่นมาอีกทีเธอได้เตรียมตัวนั่งหันหลังให้เขาอยู่ริมหน้าต่างเงียบๆ เขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอ
พักใหญ่เธอหันกลับมามองเขา “เย่เซียว ส่งฉันไปที่สนามบินเถอะ ฉันควรกลับไปแล้ว…”
นัยน์ตาเธอรื้นด้วยน้ำใสจางๆ ภาพทุกอย่างตรงหน้าเริ่มพร่ามัว
เขานอนอยู่บนเตียงจดจ้องเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เขายังคาดหวังให้เธอพูดอย่างอื่นบ้างแต่จนท้ายที่สุดเธอมีเพียงความเงียบ
กลับไปเถอะ…
ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปเถอะ…
เขาเลิกผ้าห่มออกลุกจากเตียง “รอผมก่อน ผมจะไปอาบน้ำ”
…………………
ไป๋ซู่เย่ถูกคนของประเทศ S รับกลับไปจากเมืองเยียวโดยตรง
เครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้าจวบจนหายไปจากสายตาเย่เซียวถึงสั่งให้คนขับรถออกรถ
ตลอดทางไร้คำพูดใดๆ
สายตาเย่เซียวมองไปนอกหน้าต่างตั้งแต่ขึ้นรถ บรรยากาศภายในรถอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
รถยนต์ขับตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลไฟ
“ลุงหมิง ผมจะพบพ่อบุญธรรมผม” เย่เซียวเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถอดเสื้อกันหนาวออกส่งให้คนขับใช้ข้างๆ
เฉิงหมิงหยักหน้ารับ “นายน้อย ไปห้องหนังสือเถอะ คุณไฟรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว”
……
ในห้องหนังสือไฟเรนเซ่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นและกำลังใช้พู่กันจีนเขียนบางอย่างอยู่–无欲则刚 คำว่า ‘刚’ยังเขียนไม่เสร็จดี
“ส่งกลับไปแล้วเหรอ?” ไฟเรนเซ่ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่แม้แต่จะเชยตามอง กล่าวเพียง “นั่งสิ”
เย่เซียวรู้ว่าไม่มีเรื่องใดปิดบังเขาได้ เขานั่งลงตรงหน้าโต๊ะหนังสือ “ท่านให้ผมแต่งงาน ได้ แต่ช่วยส่งคืนแม่ผมให้ผมด้วย”
…………………………….