“มาเจรจากับฉันอีกแล้ว?” ไฟเรนเซ่ชะงักพู่กันในมือ น้ำหมึกสีดำแต้มจุดดวงใหญ่ลงบนหน้ากระดาษแผ่นขาว “แม่ของแกมีแต่จะเป็นตัวถ่วงแก เย่เซียว ผู้ชายที่มีผู้หญิงเป็นภาระ ไม่มีวันยิ่งใหญ่หรอกนะ!”

 

 

 “เป็นภาระยังไงท่านก็เป็นแม่ของผม ผมยินยอมพร้อมใจ อีกอย่าง…” เย่เซียวหยุดค้างไปอึดใจ ปรายสายตาไปทางไฟเรนเซ่ “ผมเคยบอกท่านตั้งนานแล้วว่าธุรกิจของท่าน ผมไม่มีความสนใจ”

 

 

 “ไม่สนใจแกก็ต้องสนใจให้ได้!ที่ฉันทุ่มเทมากขนาดนี้ก็เพื่อใคร?”

 

 

เย่เซียวเชยตาเรียบนิ่ง สีหน้าเย็นชาดังเดิม “ท่านทุ่มเทก็คือการหาทุกวิถีทางเพื่อให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่ได้รัก?”

 

 

ไฟเรนเซ่หลุดขำ “เย่เซียว สุดท้ายแกก็อยากให้ฉันอนุญาตให้แกแต่งงานกับเธอ แกยังคงคาดหวังอยู่ ลองใจผู้หญิงที่ใจร้ายใจดำกับแก แกลองกุมหัวใจตัวเองแล้วคิดให้ดี!”

 

 

เย่เซียวตัวสะท้านเฮือก ลมหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม

 

 

 “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แกเย่เซียวกลายเป็นคนที่ยอมผูกติดกับคนอื่น? ถ้าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นบอกแกสักประโยคว่า ‘อย่าแต่งงาน’ ‘อย่าแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น’ ล่ะก็ แกเย่เซียวยังจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับฉันก่อนหน้านี้แล้วแต่งงานกับน่าหลันมั้ย? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าแกจะเชื่อฟังขนาดนี้”

 

 

ถ้อยคำของไฟเรนเซ่ตรงประเด็นทุกอย่างต่อให้ความจริงเขาไม่อยากยอมรับก็ตาม

 

 

แต่หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ยังคาดหวังอยู่ ยังลองเชิงว่าเธอสนใจตัวเองสักนิดหรือไม่ แล้วจะมีคืนพลุดอกไม้ไฟเมื่อคืนได้อย่างไร?

 

 

แต่สุดท้าย…

 

 

 

 

 

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอทำให้แกผิดหวังอีกสินะ? ตอนหมั้นเธอไม่ได้ห้ามแถมยังแสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจ แต่ตอนนี้แกจะแต่งงานแล้ว เธอเคยพูดสักประโยคที่รั้งแกมั้ย? เย่เซียว ตอนนี้แกน่าจะตายใจได้แล้ว!”

 

 

เย่เซียวกำหมัดแน่น ลมหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิมมาก

 

 

ความจริง…

 

 

นับตั้งแต่วันที่ถังซ่งบอกว่าเขาว่าเธอรู้ข่าวแต่งงานของเขาและไร้ปฏิกิริยาใดๆ เขาก็พอจะเดาได้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร

 

 

เมื่อคืน…

 

 

เขายิ่งเข้าใจ…

 

 

นอกจากเธอจะไม่รั้ง กลับยังตัดสินใจแน่วแน่ว่า…จะลืมเขา…

 

 

จะลืมเขาให้หมดจด…

 

 

 “ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะพรากพวกแกหรอกนะ แต่เธอไม่มีค่าพอที่แกจะทำแบบนี้!เย่เซียว ถ้าแกยังไม่ตายใจ ฉันให้โอกาสแกอีกครั้งก็ได้—ถ้าวันที่แกแต่งงาน เธอกล้าก้าวออกมาขวางแกกับน่าหลันแล้วผ่านการทดสอบจากฉัน ต่อจากนี้ไปนอกจากฉันจะไม่ยุ่งเรื่องพวกแกสองคน ฉันจะส่งตัวแม่แกคืนอย่างดีไม่มีส่วนไหนขาดหาย ถ้าพวกแกอยากแต่งงานหรืออยากไปท่องโลกที่ไหนก็ไปได้เลย แต่ถ้าเธอไม่ปรากฏตัว หลังจากนี้แกต้องรับมือทุกอย่างของฉัน ห้ามพูดคำว่า ‘ไม่สนใจ’กับฉันอีก เป็นไง? แกมีความมั่นใจมั้ย? กล้าพนันหรือเปล่า?”

 

 

สายตาเย่เซียวประสานกับไฟเรนเซ่นิ่งๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายปากบางขยับเคลื่อน “ได้ ผมจะพนันกับท่านเอง”

 

 

ความจริงแล้วเขาเย่เซียวไม่มีอะไรที่ต้องเสียอีกแล้ว

 

 

ตอนนี้เหลือเพียงตัวคนเดียว

 

 

เพียงแต่…

 

 

เขายังมีความมั่นใจนี้ได้อีกไหม?

 

 

เขาเปิดประตูห้องหนังสือย่ำเท้าเดินออกไป พิงกำแพงจุดบุหรี่ดูดเข้าปอดหนักๆ สองคำ

 

 

ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยสร้างความมั่นใจให้เขาเลย

 

 

ตั้งแต่แรกเริ่มสิ่งที่เธอทำล้วนเป็นการถอนตัวด้วยความหวังดีเสมอ ไม่เคยแก่งแย่งคล้ายว่าทุกอย่างเป็นเพียงความต้องการของเขาฝ่ายเดียว

 

 

ฉะนั้นในโลกของเธอ เขาเย่เซียวอยู่ในตำแหน่งใดกันแน่? มีหรือไม่มีก็ได้ อึดอัดหรือเป็นเพียงก้อนเนื้อที่เคี้ยวไม่ได้รสชาติแต่จะทิ้งก็เสียดาย?

 

 

…………………………

 

 

อีกฟากหนึ่ง

 

 

ไป๋ซุ่เย่ลงจากเครื่องบินขณะที่ก้าวออกจากประตูก็เห็นท่านผู้เฒ่า ฮูหยินไป๋ ไป๋เย่ฉิงรวมถึงไป๋หลางตรงนั้นแต่ไกล

 

 

เธอเพิ่งปรากฏตัวฮูหยินไป๋ก็ได้วิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา ไม่พูดพร่ำทำเพลงรวบเธอเข้าไปกอดแน่น

 

 

 “ซู่ซู่…มา ให้แม่ดูดีๆ หน่อย!” ฮูหยินไป๋ตาแดงระเรื่อ

 

 

 “แม่ หนูไม่เป็นไร…” เธอพูดปลอบ หลังกลับจากความเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า กลับมายังผืนแผ่นดินอันคุ้นเคยนี้ ราวกับผ่านไปแล้วครึ่งศตวรรษ

 

 

 “แม่ได้ยินว่าแขนของลูกบาดเจ็บแล้วยังป่วยเป็นโรคอะไร ตอนนี้หายหรือยัง? เจ็บตรงไหนให้แม่ดูหน่อย!”

 

 

 “แผลหายตั้งนานแล้ว หายป่วยแล้วเหมือนกัน แม่ดูสิ ตอนนี้หนูสบายดีไม่ใช่เหรอ?”

 

 

 “ดีตรงไหน? แม่เห็นลูกผอมลงตั้งเยอะ!” ฮูหยินไป๋ปาดน้ำตา

 

 

 “พอแล้ว กลับมาได้ยังไงก็เป็นเรื่องดี งานก็เป็นแบบนี้แหละ มีความอันตรายอยู่บ้าง” ท่านผู้เฒ่าพูดแทรก มองลูกสาวแวบหนึ่งที่นอกจากความปวดใจแล้วยังมีความชื่นชม “ภารกิจครั้งนี้ทำได้ไม่เลว ลูกไม่ได้ผิดต่อหน้าที่ของลูก”

 

 

 “ขอบคุณค่ะพ่อ”

 

 

 “รอกลับไปก่อน ลูกผอมลงจริงๆ ให้น้าหลินบำรุงลูกดีๆ หน่อย”

 

 

 “นั่นสิ ซู่ซู่ ครั้งนี้แม่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าห้ามลูกอาศัยข้างนอกคนเดียวอีก ต่อจากนี้ต้องกลับมาจงซันทุกวัน!”

 

 

ไป๋ซู่เย่อมยิ้มน้อยๆ ทีโดยไม่ได้พูดปฏิเสธ ความอบอุ่นของครอบครัวทำให้หัวใจที่เย็นเฉียบของเธออุ่นวาบขึ้นมาชั่วคราว

 

 

มีแรงกดตรงไหล่

 

 

เสื้อโค้ทตัวใหญ่แสนอบอุ่นถูกคลุมตรงไหล่ เธอเงยหน้าจึงสบตาไป๋เย่ฉิง

 

 

 “ข้างนอกหนาว ใส่เสื้อซะ”

 

 

 “อืม”

 

 

 “กลับไปก่อน”

 

 

 “ได้”

 

 

 “ผมไปขับรถให้!” ไป๋หลางเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก หมุนตัววิ่งไปข้างนอก

 

 

……………………

 

 

คนทั้งครอบครัวครึกครื้นอบอุ่น

 

 

ทางครัวได้ทำอาหารอร่อยๆ ไว้เต็มโต๊ะ ความจริงไป๋ซู่เย่ไม่อยากอาหารเท่าไรแต่เพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วงจึงฝืนทานไปนิดหน่อย

 

 

ตกดึกพอตอนกลับห้องถึงพบว่ากระเป๋าเดินทางของตัวเองได้ถูกย้ายมาที่นี่เสียแล้ว

 

 

อาศัยอยู่ที่นี่ก็ดี

 

 

อย่างน้อยก็คึกคัก

 

 

ขณะที่อยู่ตัวคนเดียว เธอกลัวตัวเองจะทนกับความเงียบนั้นไม่ไหว

 

 

เธอเปิดกระเป๋าพลางย้ายของข้างในออกมาทีละอย่างๆ ประตูถูกเคาะ เธอกล่าวโดยไม่เงยหน้า “เข้ามา”

 

 

ไป๋เย่ฉิงผลักประตูเข้ามานั่งบนเก้าอี้มองเธออยู่พักใหญ่

 

 

 “มองอะไร?” เธอแย้มปากแสร้งกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ “ฉันไปแค่ไม่กี่วัน แกก็จ้องฉันขนาดนี้เลยหรือไง”

 

 

 “เย่เซียวเป็นคนช่วยเธอ?” ในที่สุดไป๋เย่ฉิงก็เอ่ยปาก

 

 

เอ่ยถึงบุคคลนั้นเรียกให้สีหน้าไป๋ซู่เย่นิ่งค้างไปวูบหนึ่งแต่ก็พยักหน้าเบาๆ “…อืม”

 

 

ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของไป๋เย่ฉิง

 

 

เย่เซียวนั้นแม้ว่าจะเป็นบุคคลอันตรายโหดเ**้ยมไร้หัวใจในสายตาของทุกรัฐบาลแต่กลับเป็นคนที่มีน้ำใจต่อพวกพ้องเข้ากระดูก ไม่อย่างนั้นสิบปีก่อนเธอไม่มีทางทำภารกิจนั้นได้สำเร็จ

 

 

เขามองไป๋ซู่เย่อย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง “เรื่องของเขาเธอ…”

 

 

 “แกหมายถึงเรื่องที่เขาจะแต่งงาน?” ไป๋ซู่เย่ชิงพูดขัดเขา

 

 

 “…” ไป๋เย่ฉิงมีสีหน้าที่ยากจะคาดเดา “ฉันไม่ได้อยากจะพูดถึงเรื่องที่ทำให้เธอเศร้าหรอกนะ แต่ว่า…เธอต้องปรับสภาพจิตใจตัวเองให้ดี ฉันคิดว่าสภาพจิตใจของเธอไม่คงที่เท่าไหร่”

 

 

……………………………