พวกเขาเป็นฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ในท้องของมารดา

 

 

ฉะนั้นความรู้สึกในใจเธอสามารถกลบเกลื่อนคนอื่นได้แต่กลับหนีไม่พ้นเขา เธอก้มหน้า ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เธอพยายามอย่างมากที่จะเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดในใจ อยากจะแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่ของรักของหวงอย่างกล่องดินสอทำจากเครื่องเคลือบเพิ่งจับขึ้นมาแต่กลับร่วงหล่นกระแทกพื้นแรงๆ ดัง ‘ปึง–’ เพราะแรงสั่นระริกที่ควบคุมไม่ได้

 

 

แตกสลายเป็นชิ้นๆ

 

 

ชิ้นส่วนเครื่องเคลือบกระจายไปทั่ว

 

 

เธอมองนิ่งๆ มองชิ้นส่วนเหล่านั้นราวกับหัวใจของตัวเองที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ และแตกสลายไปตั้งนานแล้ว…

 

 

น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาอย่างห้ามไม่ไหวอีก

 

 

ไป๋เย่ฉิงปวดหัวใจ ลุกยืนไปรั้งตัวเธอมากอดเงียบๆ ใบหน้าเธอซุกกับลาดไหล่เขา พยายามอดกลั้นไม่ให้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา มีเพียงไหล่ที่สั่นเทาบ่งบอกว่าเธออดทนอดกลั้นไว้มากขนาดไหน

 

 

 “ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว หลายปีขนาดนี้ ฉันรู้ว่าเธอใช้ชีวิตทุกวันได้ทรมานขนาดไหน”

 

 

ถ้อยคำของไป๋เย่ฉิงราวกับแทงโดนส่วนที่อ่อนที่สุดของหัวใจเธอ

 

 

น้ำตาเธอพรั่งพรู

 

 

เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นดั่งคนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง

 

 

เธอสะอื้นอย่างสิ้นหวัง “เย่ฉิง ฉันจะหายได้มั้ย? จะลืมเขาได้มั้ย?”

 

 

ไป๋เย่ฉิงไม่กล้าตอบ ต่างบอกกันว่าเวลาจะช่วยทุกอย่างเองแต่ความรักนี้ได้ผ่านไปสิบปีเต็ม นอกจากจะไม่จางลงสักนิดกลับยิ่งฝังรากลึกในเลือดกาย หากจะให้ชะล้างมัน ต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี?

 

 

ชีวิตนี้ยังมีเวลาเหลืออีกกี่สิบปีกัน?

 

 

 “เธอ…เคยคิดที่จะสู้สักครั้งมั้ย?” ไป๋เย่ฉิงถามเสียงเบา

 

 

“สู้?”

 

 

ใช่ว่าเธอจะไม่เคยคิด? เธอคิดอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ฝันยังคิดว่าเจ้าสาวคนนั้นคือตัวเอง

 

 

แต่ว่า…

 

 

เธอกล้าหรือ?

 

 

ต่อหน้าลูกกระสุนบางทีเธออาจจะไม่กลัว แต่ให้ไปสู้เพื่อชิงตัวเขาเธอกลับต้องล่าถอย ร่างกายของเย่เซียวทนรับการทำลายไม่ได้อีกแล้วแม้แต่น้อย ชีวิตของเขาจะดวงแข็งขนาดไหนก็ไม่มีทางรอดได้เสมอไป

 

 

หากเขายอมทอดทิ้งน่าหลันเพื่อมาอยู่กับตัวเองจริงๆ สิ่งที่เขาต้องเจอไม่ใช่แค่ด่านพ่อบุญธรรมของเขา ยังมีกลุ่มลูกน้องในอดีตของเขา…

 

 

เธอกลัวจะเป็นการทำร้ายเขา จะทำเขาตาย…

 

 

สิบปีก่อนเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าเธอไม่มีสิทธิ์แม้จะสู้เพื่อตัวเขาในสิบปีให้หลัง…

 

 

…………………………

 

 

ตระกูลไฟกำลังตระเตรียมงานแต่งงาน

 

 

เย่เซียวกลับกำลังรอคนคนเดียว หากเธอต้องการตามหาตัวเองต่อให้ไม่มีเบอร์โทรของเขาเธอก็หาเขาได้ หรือจะมาที่เมืองเยียว

 

 

ขอแค่เธอคิด!

 

 

แต่ว่า…

 

 

วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าช้าๆ ในโลกของเขายังคงไร้แสงสว่าง

 

 

ผู้หญิงคนนั้น…ไม่เคยปรากฏตัว…

 

 

เธอออกรายการโทรทัศน์ รับการสัมภาษณ์ รับเหรียญเกียรติยศของประเทศ S ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดูดีไม่เปลี่ยน ทุกอย่างดีจนไม่สามารถดีไปกว่านี้ได้อีก ราวกับว่างานแต่งงานของเขาไม่มีผลกระทบต่อเธอสักนิด

 

 

บางทีไม่ใช่ว่าราวกับว่า แต่เป็น…เรื่องจริง

 

 

…………

 

 

ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ

 

 

ขณะที่แสงแฟลชแสบตาสาดมามีชั่ววูบที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเป็นลมหมดสติ รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเสแสร้งต่อไม่ไหว

 

 

ช่วงนี้ยานอนหลับปริมาณน้อยๆ ไม่สามารถทำให้เธอหลับได้อีก เธอจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยา

 

 

ยาต้านโรคซึมเศร้าทานไปไม่ได้ผลสักน้อย เธอไม่เคยรู้สึกมีความสุข ต่อให้จะนาทีหรือวินาทีเดียวก็ตาม

 

 

 “รัฐมนตรี ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

 

 

ไป๋หลางประคองร่างที่โงนเงนของเธอ

 

 

เธอฝืนกายให้ยืนตรงส่ายศีรษะ “ฉันไม่เป็นไร อาจจะเพราะไม่ได้ทานข้าวเช้ามาน้ำตาลในเลือดเลยต่ำ”

 

 

 “งั้นคุณรีบไปทานอะไรหน่อย เลขาเฉินได้เตรียมไว้ให้คุณอยู่ตรงนั้นแล้ว นักข่าวที่นี่ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเอง”

 

 

 “ได้” ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับแล้วเดินออกไปจากสถานที่ตรงนั้น

 

 

ในที่สุดโลกก็เงียบสงบ เลขาเฉินเดินสับเท้ามา “รัฐมนตรี อาหารเช้าของคุณไป๋หลางให้ฉันวางไว้ในห้องพักผ่อนแล้ว”

 

 

 “ขอบคุณ” ไป๋ซู่เย่เคลื่อนตัวไปที่ห้องพักผ่อนช้าๆ

 

 

อาหารเช้าถูกเตรียมไว้อย่างดี เธอไม่อยากอาหารแต่ด้วยเพราะช่วงนี้สภาพร่างกายไม่ดีนัก เธอกลัวว่าหากปล่อยให้ทำร้ายตัวเองแบบนี้ต่อไปอาจจะล้มแล้วลุกไม่ได้อีก

 

 

เธอยกถ้วยโจ๊กขึ้นมา ใช้ช้อนตักเข้าปากหลายคำ

 

 

จู่ๆ…

 

 

เกิดความรู้สึกพะอืดพะอมปั่นป่วนในกระเพาะ

 

 

เธอเอามืออุดปากรีบวิ่งไปข้างนอกเพื่อพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที

 

 

 “รัฐมนตรี ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?” เลขาเฉินเห็นสีหน้าเธอผิดปกติเลยรีบเดินตามไป

 

 

ไป๋หลางย้ำนักหนาว่าช่วงนี้จะต้องจับตามองรัฐมนตรีไป๋ให้ดีเพราะกลัวเธอเป็นอะไรไป

 

 

ไป๋ซู่เย่อาเจียนในห้องน้ำ ช่วงนี้ความจริงเธอแทบไม่ได้ทานอะไรเลยแต่กลับอาเจียนอย่างรุนแรง คล้ายจะขย้อนของในกระเพาะทั้งหมดออกมา

 

 

ท่าทางนี้ทำเอาเลขาเฉินตกใจจนหน้าซีด

 

 

 “นี่อาหารเป็นพิษหรือเปล่า รัฐมนตรี ฉันจะเรียกคนขับรถ เรารีบไปโรงพยาบาลกัน”

 

 

ไป๋ซู่เย่เองก็รู้แล้วว่าตัวเองต้องป่วย เมื่อก่อนต่อให้เธอจะสภาพร่างกายแย่ขนาดไหนก็ไม่เคยอาเจียนมาก่อน ครั้งนี้ทำไม…?

 

 

เธอเงียบไปอึดใจ ในหัวเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นที่ทำเอาเธอตกใจ

 

 

อาเจียน?

 

 

ครั้งก่อนในคืนที่เธออยู่กับเย่เซียวในโรงแรมไม่ได้มีการป้องกันใดๆ เมื่อนั้นเธอกลับจงซันโดยตรง ต่อหน้าท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินไป๋เธอไม่มีทางไปซื้อยาที่ร้านยาได้

 

 

เดิมทีวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัย เธอคิดว่าจะไม่มีปัญหา

 

 

แต่…

 

 

ท้องหรือ?

 

 

 “รัฐมนตรี?” เห็นเธอเหม่อ เลขาเฉินเรียกเธอที

 

 

เธอเพิ่งได้สติกลับมา พักใหญ่ถึงพูดเสียงอ่อนแรง “ยังไม่ต้องไปโรงพยาบาล ฉันไปร้านยาก่อน”

 

 

 “หา?”

 

 

อีกฝ่ายส่งเสียงฉงน ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ตอบกลับเธอแค่กวักน้ำใส่หน้าที เธอมองใบหน้าขาวซีดที่สะท้อนในกระจกแวบหนึ่ง รีบคว้ากระเป๋าเหยียบรองเท้าส้นสูงเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างไม่ลังเล

 

 

 “รัฐมนตรี!” เลขาเฉิงวิ่งตามไปแต่ทันแค่มองแผ่นหลังหนึ่งเท่านั้น

 

 

สักพักไป๋หลางออกมาจากงาน

 

 

 “เอ๊ะ? ท่านล่ะ?” ในห้องพักผ่อนไม่เห็นเธอ

 

 

เลขาเฉินตอบกลับ “รัฐมนตรีไปร้านยาค่ะ”

 

 

 “ร้านยา? ซื้อยาอะไรอีก?”

 

 

 “อาจจะยาเกี่ยวกับลำไส้กระเพาะมั้งคะ” เลขาเฉิงอธิบาย “เมื่อกี้รัฐมนตรีทานอาหารเช้าอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็อาเจียน อาเจียนหนักมาก ฉันให้เธอไปโรงพยาบาลแต่เธอไม่ยอม บอกว่าไปร้านยาก่อน”

 

 

 “อาเจียน?” ไป๋หลางขมวดคิ้ว “ลำไส้กระเพาะเธอมีปัญหาแล้วด้วยเหรอ? เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อน ผมต้องโทรถามคุณหมอฟู่ก่อน”

 

 

 “เมื่อก่อนไม่เคยเห็นรัฐมนตรีเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ อา คุณว่า รัฐมนตรีจะ…” เลขาเฉิงเบิกตากว้างเพราะตกใจกับความคิดของตัวเอง

 

 

 “จะอะไร?” ไป๋หลางหยุดท่วงท่าที่กำลังจะโทรศัพท์

 

 

เลขาเฉิงไม่ได้พูดจบประโยคก่อนจะส่ายศีรษะเอง “ไม่หรอก ฉันคิดไปเอง รัฐมนตรีไป๋ไม่มีแม้แต่ฟนด้วยซ้ำแล้วจะท้องได้ยังไง? ใช่มั้ย?”

 

 

 “ท้อง?!” ส่วนไป๋หลางสะดุ้งวาบ

 

 

 “ฉันไม่ได้พูดนะ คุณอย่าพูดเหลวไหลเดี๋ยวถ้ารัฐมนตรีไป๋ได้ยินจะแย่เอา”

 

 

ไป๋หลางกลับไม่คิดว่านี่เป็นการพูดเหลวไหล

 

 

ครั้งก่อนไปปฏิบัติภารกิจเธออยู่กับเย่เซียวเป็นเวลานานขนาดนั้น จะท้องก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลย

 

 

……………………